Chapter 136: เป็นรองแค่คนๆเดียว

 

ฟู่ว!

 

เฉินเฉินสูดหายใจเอาอากาศที่อึมครึมเข้าไปหนึ่งเฮือกและมาถึงที่ใจกลางของแท่นขนาดใหญ่

 

ในสํานักอสูร เขาทําได้แค่ใช้การฝึกตนสายขัดเกลาร่างกาย เหมือนกับที่เขาสามารถใช้ได้แค่พลังปราณในตอนที่เขาอยู่ในสํานักพยัคฆ์ขาว

 

อันที่จริง หลังจากได้เจอกับทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์ไปก่อนหน้านี้ ระดับการฝึกตนของเขาได้ไปถึงขั้นแก่นทองคําแล้ว

 

เมื่อเทียบกันนั้น นอกจากหยวนฉิงเทียน นายน้อยของ 35 สาขาแห่งสํานักอสูรส่วนใหญ่ทุกคนเป็นเซียนแก่นทองคําแค่ครึ่งขั้นซึ่งอยู่คนละโลกกับเขา

 

หลังจากที่คิดเกี่ยวกับมัน เขาก็มองดูพวกประหลาดนี้แล้วแสยะยิ้มออกมา

 

ในทํานองเดียวกันนั้นพวกนายน้อยสาขาอื่นก็มองมาที่เขาด้วยสายตาที่ลุกโชน

 

“ดูสายตาที่คุกคามของเขาสิ นายน้อยสาขาขัดเกลาร่างกายตั้งใจจะจัดการทั้ง 35 คนด้วยตัวคนเดียวจริงๆเหรอ!?!

 

พูดตามตรง ฝูงชนนั้นรู้ว่านายน้อยสาขาขัดเกลาร่างกายได้ไปถึงระดับแก่นทองคําแล้ว และไม่มีใครรับมือกับเขาได้ ถ้าเป็นการต่อสู้ตัวต่อตัว

 

แต่ว่ามันก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่ถ้าเป็นการต่อสู้อย่างต่อเนื่อง

 

ถ้าเขาอยากสู้กับพวกเขาทั้ง 35 คนด้วยตัวเอง พวกเขาก็ยินดีที่จะทําให้เจ้าบ้าจอมเย่อหยิ่งคนนี้ได้รู้ถึงความแข็งแกร่งของสํานักอสูร

 

หลังจากที่พวกเขาสบตากัน เฉินเฉินก็ส่งเสียงขึ้นอย่างกะทันหัน “พวกเจ้าทั้งหลาย!”

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ นายน้อยสาขาก็รู้สึกเครียดขึ้นมาในทันทีในขณะที่พวกเขาค่อยๆตื่นเต้นขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาทุกคนต่างส่งเสียงโห่ร้องให้แก่การผนึกกําลังกันต่อสู้กับเขา

 

“พวกเจ้าทั้งหลาย! เข้ามาที่ละคน! อย่าแซงคิวล่ะ!”

 

หลังจากที่พูดจบ เฉินเฉินก็ชี้ไปทางหยวนฉิงเทียน

 

“เจ้า! ศิษย์น้องหยวน เจ้าจะได้เป็นคนแรก!”

 

นายน้อยสาขาทุกคนต่างแสดงสีหน้ารังเกียจหลังได้ยินคําพูดของเขา

 

“ทําไมพวกเขาถึงต้องทําตัวเป็นเห มือนผู้ปกครองโลกด้วย? ให้ตายเถอะ ฉันไม่เห็นว่ามันจะมีค วามสุขตรงไหนเลย”

 

เมื่อได้ยินเขา หยวนฉิงเทียนก็ลุกขึ้นอย่างจริงจังและทําความเคารพเฉินเฉิน “ขออนุญาตล่วงเกินนะครับ ศิษย์พี่”

 

หลังจากที่พูดแบบนั้น ร่างของหยวนฉิงเทียนก็ค่อยๆหายไป

 

เมื่อเทียบกับตอนที่เขาพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียวก่อนหน้านี้ พลังโจมตีของเขาเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว!

 

ดังนั้น ในครั้งนี้ เขาต้องตั้งเป้าหมายเล็กๆให้ตัวเองแน่ ๆ และนั่นก็คือการสร้างความยากลําบากซักเล็กน้อยให้ศิษย์พี่ของเขา ซึ่งการทําให้เขาบาดเจ็บบ้างซักเล็กน้อยคงจะดีกว่า!

 

ถึงยังไง เขาก็ก้าวเข้าสู่แก่นทองคําแล้ว แถมยังเป็นแก่นทองคําระดับสูงด้วย!

 

“ระบบ หยวนฉิงเทียนอยู่ที่ไหน?”

 

“เหนือหัวท่านไปทางซ้าย 13 เมตรค่ะ!”

 

“โอเค!”

 

ผัวะ!

 

หยวนฉิงเทียนถูกอัดกระเด็นด้วยหมัดเดียวของเฉินเฉินแล้วเขาก็ตกลงนอกสังเวียนในทันที

 

หยวนฉิงเทียนตกตะลึง ก่อนหน้านี้ เขาได้เคลื่อนไหวอย่างน้อยหนึ่งกระบวนท่า แต่ครั้งนี้ ก่อนที่เขาจะได้เริ่มโจมตีเฉินเฉินก็อัดเขากระเด็นตกสังเวียนแล้ว

 

“วันนี้ศิษย์พี่เอาจริงขนาดนี้เลยเหรอ?”

 

เฉินเฉินเผยรอยยิ้มที่เย็นชาออกมา นี่เป็นเรื่องจริงจังและเขาก็ไม่สามารถผิดพลาดได้ วันนี้เขาต้องทําให้ทุกคนรู้ว่าสิ่งที่มั่นคงจริงๆแล้วมันคืออะไร!

 

“คนต่อไป!”

 

“ข้ามาจากลมลวงตาของสาขาลวงตา!”

 

นายน้อยสาขาลวงตาแนะนําตัวเองและลําแสงสีขาวก็ถูกปล่อยออกมาจากดวงตาของเขาอย่างกะทันหัน

 

ในวินาทีต่อมา หินวิญญาณนับไม่ถ้วน สมบัติสวรรค์และตําราลับทุกรูปแบบรวมทั้งนําอมฤตก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าเฉินเฉิน แล้วก็มีเซียนหญิงเจ็ดสิบถึงแปดสิบคนที่กําลังมองดูเขาด้วยความชื่นชมในดวงตาของพวกเธอ

 

“น่าประทับใจ เขาสามารถสัมผัสถึงสิ่งที่ข้ากําลังคิดอยู่และสั่นคลอนสภาพจิตใจของข้าได้จริงๆ เอาเถอะ มาถึงคําถามแล้ว ระบบ เจ้าหมอนี้อยู่ที่ไหน?”

 

“ด้านหลังไปทางขวาหกเมตรค่ะ”

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉินเฉินก็ต่อยไปตามทิศทางที่ระบบแนะนําอีกครั้งและเซียนหญิงที่น่าเย้ายวนก็กระเด็นไปพร้อมกับการสลายของภาพลวงตา เฟิงหวงทรุดลงกับพื้นด้วยดวงตาที่บวมเป่ง และรู้สึกยอมรับเฉินเฉินอย่างแท้จริง

 

“ข้า ต๋งฟางตั้งแห่งสาขาอสูร”

 

นายน้อยสาขาเดินออกมาและเดินเตร่มาหาเฉินเฉิน ชาย ผ้าบนร่างกายของเขาค่อยๆคลายออก

 

“อุจาดตาชะมัด! หายไปซะ!”

 

ผัวะ!

 

“อั๊ก ศิษย์พี่ ท่านกระแทกอกของข้าทําไม?”

 

ต๋งฟางตั้งพ่ายแพ้

 

“เตี่ยซินจากสาขาอาวุธ! ศิษย์พี่ โปรดชี้แนะด้วย! รับไป ดาบสังหารไร้เทียมทาน!”

 

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว!

 

ดาบสิบสามเล่มถูกยิงออกไป แต่พวกมันไม่ได้ทําลาย การป้องกันของเฉินเฉิน พวกมันสร้างความกลัวให้เต่ ยซินจนวิ่งหนีไปแทน

 

แต่เดิมนั้นเฉินเฉินอยากต่อยเขา แต่เขาตัดสินใจที่ จะอดทนไว้เพราะเขานึกถึงความจริงที่ว่าเขาคงจะต้องการค วามช่วยเหลือของสาขาอาวุธในการสร้างอาวุธของเขาด้วย การใช้ทองศักดิ์สิทธิ์แห่งปัญญา

 

“ศิษย์พี่ นี่คือพิษถึงตายที่ข้าปรุงขึ้นมา”

 

“เอ๊ะ? ขอโทษด้วย ข้าไม่สามารถทําลายร่างกายทอ งคําของศิษย์พี่ได้ ลาก่อน!”

 

“ศิษย์พี่ เจ้าพวกนี้คือหุ่นเชิดต่อสู้สุดแกร่งที่ข้าทุ่มเทสร้า งขึ้นมาอย่างยาวนาน แต่ละตัวนั้นอยู่ที่จุดสูงสุดของสร้าง รากฐาน!”

 

“เอ๊ะ? ศิษย์พี่ อย่าครับ…อย่าทําให้พวกมันเสียหาย เลย! พวกมันแพงนะครับ!”

 

“ศิษย์พี่ รับไป ข้าจะวาดวายร้ายขึ้นมาสาปแช่งท่าน!”

 

“อะแฮ่ม ศิษย์พี่ ท่านตีข้าทั้ง ๆที่ข้าแก่กว่าได้ยังไง? ท่าน ไม่รู้จักเคารพคนที่มีอายุเหรอ?”

 

“ศพพวกนี้ ช่างมันเถอะ พวกนี้เป็นครอบค รัวของข้าและข้าไม่สามารถยอมให้พวกมันถูกทําลายได้ ข้าขอยอมรับความพ่ายแพ้!”

 

หลายนาทีผ่านไป

 

มีแค่เด็กชายตัวเล็กๆของสาขายาที่ถูกทิ้งให้อยู่บนแท่ นใหญ่

 

ในขณะที่มองหน้ากากอันชั่วร้ายของเฉินเฉิน เด็กชาย ก็ตัวสั่นและพูดอะไรไม่ออก

 

เฉินเฉินหยิบถุงขนมออกมาจากแขนของเขาอย่างสบาย ใจและวางใส่มือของเขา

 

“ทําตัวดีๆแล้วไปเถอะ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าควรอยู่”

 

“เห้อ! ท่านทําข้ากลัวแทบตาย!” เด็กชาย หยิบขนมแล้ววิ่งหนีไปในขณะที่ส่งเสียงโหวกเหวก

 

เมื่อเห็นเช่นนี้ เฉินเฉินก็จ้องไปยังพวกนายน้อยสา ขาด้วยรอยยิ้มสบายใจ

 

“มีใครที่ยังไม่ยอมรับอีกไหม?”

 

พวกประหลาดต่างก็เงียบกันหมดเพราะไม่มีพวกเขาคน ไหนที่สามารถรับการโจมตีได้เลย แล้วพวกเขาจะหยิ่งผยอง ได้ยังไงกัน?

 

ถ้าทั้ง 35 คนโจมตีเขาพร้อมกัน มันก็น่าจะยังพอมีโอกาส อยู่บ้างแต่ถ้ามันเป็นการต่อสู้หนึ่งต่อหนึ่ง พวกเขาคงจะมีแต่ พ่ายแพ้

 

ด้วยความคิดเช่นนี้เอง พวกเขาจึงคุกเข่าลงพร้อมกัน ด้วย การยอมรับอย่างท่วมท้น

 

“ขอแสดงความทักทาย ท่านนายน้อยสํานัก!”

 

ก่อนหน้านี้ เขาเป็นนายน้อยสาขาแต่ตอนนี้เขาเป็นนาย น้อยสํานักแล้ว

 

ก่อนหน้านี้ เขาเป็นแค่นายน้อยของสาขาขัดเกลาร่างกาย แต่ตอนนี้เขาเป็นนายน้อยของทั้งสํานักอสูร

 

เฉินเฉินดีใจที่เห็นว่าทุกคนยอมจํานน นับจากนี้ไป เขา จะอยู่เหนือคนอื่นทั้งหมดในสํานักอสูร

 

และที่สําคัญกว่านั้น คนที่อยู่เหนือเขาก็ยังคงถูกพันธนา การอยู่ทําให้ออกไปไหนไม่ได้

 

ในขณะที่เขากําลังอิ่มเอมใจอยู่นี้ เสียงของโจวเหรินหลงก็ ดังก้องไปทั่วทั้งสาขาที่หนึ่งอีกครั้ง

 

“นับจากวันนี้เป็นต้นไป จางเฉันคือนายน้อยของสํานักอ สูรรัฐโจว และเขาจะนําโจวฉาน โจวเฟิง และเซียนระดับ ก่อกําเนิดวิญญาณเก้าคนของสาขาที่เก้า และเซียนแก่นทอ งคําของ 36 สาขาไปยังรัฐจินเพื่อกําราบพวกชั่วร้ายของสํา นักอู๋ซินให้สิ้นซาก!”

 

เมื่อได้ฟังข่าวนี้ ทุกคนในสํานักอสูรก็รู้สึกหวั่นไหวและตื่นเต้น

 

หลังจากต่อสู้กับสํานักอู๋ซินมาหลายปี ในที่สุดทุกอย่างก็มาถึงจุดสิ้นสุดแล้วใช่ไหม?

 

ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ที่เมืองหลวงของรัฐจิน

 

บรรพบุรุษสํานักอู๋ซินกําลังคุกเข่าอยู่ตรงหน้าเหรียญสื่อสารด้วยสีหน้าหวั่นกลัว

 

“เจ้าบอกว่าหุ่นศพอสูรหยินของข้าถูกทําลายเหรอ?” น้ำเสียงที่หดหูดังมาจากเหรียญสื่อสาร

 

“ข้าทําหน้าที่ล้มเหลวครับ! โปรดลงโทษข้าเถอะนายท่าน!”

 

“ไอ้ขยะ ข้าไม่สนใจที่จะลงโทษเจ้าหรอก เอาเป็นว่าลืมเรื่องนี้ไปเถอะ ในอนาคต พวกเราจะทําเป็นว่าไม่มีของอย่างหุ่นเชิดศพอสูรหยิน และเจ้ากับข้าก็ไม่เคยรู้จักกันด้วยเข้าใจไหม?”

 

เมื่อได้ฟังดังนี้ บรรพบุรุษสํานักอู่ซินไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเลยแต่ยิ่งกังวลมากขึ้นแทนในขณะที่เขาอุทาน “นายท่าน สํานักอู๋ซินถูกทําลายและตอนนี้ก็คือช่วงวิกฤตครับ ข้าหวังว่าท่านจะเห็นแก่ความสัมพันธ์ของพวกเราและให้ความช่วยเหลือ!”

 

หลังจากที่พูดออกมาเช่นนี้ บรรพบุรุษสํานักอู๋ซินก็หมดสิ้นเรี่ยวแรงในขณะที่ร่างกายของเขาอ่อนยวบยาบ

 

ของนอกรีตอย่างหุ่นเชิดศพอสูรหยินนั้นเป็นสิ่งต้องห้ามสําหรับมนุษย์และแม้กระทั่งผู้นําประเทศก็คงจะถูกลงโทษ ถ้าถูกพบว่ายุ่งเกี่ยวกับของที่ชั่วร้ายเช่นนี้

 

นอกจากนี้ เขารู้สึกใจหายในตอนที่พูดออกมา ถ้านายท่านตัดสินใจจะฆ่าเขา เขาก็คงตาย

 

อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีทางเลือก ถ้าเขาไม่ขอความช่วยเหลือ สํานักอู๋ซินก็คงจะไม่สามารถรอดพ้นจากการล่มสลายไปได้

 

“เจ้านี้เจ้ากําลังขู่ข้าเหรอ?” ใครบางคนเริ่มหัวเราะคิกคักในเหรียญสื่อสาร

 

บรรพบุรุษสํานักอู๋ซินเหงื่อไหลท่วมและร่างกายของเขาก็สั่นในขณะที่พูด “ข้าไม่กล้าหรอกครับ!”

 

“เจ้าได้บอกใครเรื่องหุ่นเชิดศพอสูรหยินรึเปล่า?”

 

“ไม่ครับ! ข้ารับรองเรื่องนั้นได้แม้กระทั่งศิษย์สํานักอสูรที่ทําลายสํานักของข้าก็ยังไม่รู้ว่าหุ่นเชิดศพอสูรหยินคืออะไร ไม่ต้องพูดถึงการทําลายการยับยั้งของมันเลย ถ้ามันไม่ใช่การระเบิดของจุดพลังวิญญาณสูงสุดล่ะก็…”

 

“เห้อ ช่างมันเถอะ เห็นแก่ที่เจ้ากับข้ารู้จักกันมาหลายปี ข้าจะส่งคนไปจัดการเรื่องนี้ให้ เจ้าก็ดูแลตัวเองล่ะ”

 

หลังจากที่พูดจบ เหรียญสื่อสารก็ระเบิดกลายเป็นขี้เถ้า