Chapter 137: ความลับของสํานักอสูร

 

สมาชิกของ 36 สํานักเริ่มรวมพลกันแล้ว ในขณะที่เฉิน เฉินกลับไปหาโจวเหรินหลง

โจวเหรินหลงมองเฉินเฉินด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

 

เขาไม่ประหลาดใจเลยที่เฉินเฉินจะสามารถเอาชนะนายน้อยของสาขาอื่นได้ทั้ง 35 คน

 

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ๆ โจวเหรินหลงก็พูดขึ้นอย่างเฉยเมย “ตอนนี้เจ้ากลายเป็นสมาชิกระดับสูงของสํานักอสูรแล้ว และสํานักอสูรก็ได้รับรู้ถึงความภัคดีของเจ้า มีเรื่องบางอย่างที่ข้าควรจะบอกเจ้าเอาไว้ อย่างเช่นเรื่องต้นกํา เนิดของโซ่ที่พันธนาการร่างกายของข้าอยู่นี้”

 

เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฉินเฉินก็รวบรวมสมาธิและตั้งใจฟัง เขาอยากรู้ว่ายอดฝีมือคนไหนที่สามารถพันธนาการเจ้าสํานักอสูรที่อยู่ขั้นวิญญาณแก่นแท้ได้

 

“เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว มีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างม นุษย์และอสูรในฐานะอาณาจักรของมนุษย์แน่นอนว่ารัฐโจวได้ส่งเซียนไปให้ความช่วยเหลือ”

 

“แต่ว่า ในปีนั้น ข้าได้ไปถึงช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สําคัญของ การฝึกตนดังนั้นข้าจึงอยู่ที่สํานักอสูรและส่งศิษย์ของข้าไปสามคนพร้อมกับสมาชิกคนอื่นๆเพื่อให้ความช่วยเหลือ

 

“ศิษย์ของข้าทั้งสามคนนี้มีระดับการฝึกตนสูงกว่าเจ้าและคนที่แข็งแกร่งที่สุดก็ไปถึงขั้นต้นของก่อกําเนิดวิญญาณแล้ว เขาเองก็เป็นนายน้อยสํานักอสูรอยู่ในตอนนั้น เช่นเดียวกับเจ้าชายรัชทายาทของรัฐโจว”

 

ในจุดนี้เอง มีความทุกข์โศกอยู่ในดวงตาของโจวเหรินหลง

 

เมื่อได้ฟังเรื่องราวของเขา เฉินเฉินก็เข้าใจว่าพวกเขาทั้งสามคนต้องไม่ได้กลับมาแน่ ๆ ไม่อย่างนั้นเขาจะเป็นสมาชิกแค่คนเดียวในสาขาขัดเกลาร่างกายได้ยังไง?

 

“เหมือนกับที่เจ้าคิดนั่นล่ะ ศิษย์ของสํานักอสูรที่มุ่งสู่แนวหน้านั้นได้ตายไปในการต่อสู้ทั้งหมด แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด แม้กระทั่งสมาชิกของสาขาที่หนึ่งที่มีเซียนก่อกํา เนิดวิญญาณสองคนตามไปด้วยก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย”

 

“เมื่อเทียบกันแล้ว สมาชิกทุกคนของสํานักอู่ซินได้กลับไปยังรัฐจินโดยไร้รอยขีดข่วน ซึ่งมันก็เป็นธรรมดาที่ข้าจะไม่พอใจ”

 

“ในตอนนั้นข้าบังเอิญทะลวงไปถึงขั้นวิญญาณแก่นแท้พอดี ดังนั้นข้าจึงไปที่ราชวงศ์เซี่ยเพียงลําพังเพื่อสืบเรื่องการตายของศิษย์ข้า”

 

“ในท้ายที่สุดนั้นข้าก็ถูกบอกมาว่าลูกศิษย์คนอาวุโสสุดของข้าถูกประหารเพราะเขาทําตัวขี้ขลาดในสนามรบส่งผลให้เผ่ามนุษย์ได้รับความสูญเสียอย่างมาก ในขณะที่พวกเขาที่เหลือต่างก็ตายหมดในการต่อสู้ที่ชายแดน”

 

“ราชวงศ์เซี่ยอยู่ที่ไหนเหรอครับ?” เฉินเฉินถามอย่าง สงสัย

 

ถึงแม้ว่าเขาจะเคยได้ยินมาจากอาจารย์เซี่ยวอู่โยวของเขามาก่อนว่ามีโลกที่ยิ่งใหญ่อยู่เหนือสองประเทศแต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้ฟังเรื่องของราชวงศ์เซีย

 

“อืม ราชวงศ์เซี่ยคือหนึ่งในสี่ราชวงศ์จักรวรรดิของเผ่ามนุษย์ ราชวงศ์ที่เป็นทายาทของจักรพรรดิผู้ซึ่งเป็นผู้นําคน แรกของเผ่ามนุษย์”

 

“เผ่ามนุษย์ทั้งหมดมีอยู่เจ็ดสิบสองอาณาจักรและสี่ราชวงศ์รัฐโจวกับรัฐจินนั้นเป็นหนึ่งในเจ็ดสิบสองอาณาจักรที่เป็นรัฐอิสระและในช่วงสงครามสํานัก รัฐโจวกับรัฐจินก็ จะอยู่ภายใต้การดูแลของราชวงศ์เซี่ย”

 

เมื่อได้ฟังคําอธิบายของโจวเหรินหลง เฉินเฉินก็พยักหน้าตาม

 

“โลกใบนี้ใหญ่จริงๆ แค่เผ่ามนุษย์อย่างเดียวก็ใหญ่โตมากแล้วแต่นี่ยังมีเผ่าพันธุ์อื่นด้วยสินะ!”

 

“ข้าคิดว่าศิษย์ของสํานักอสูรไม่มีวันหนีจากสงครามหรอกครับไม่ต้องพูดถึงศิษย์พี่คนนั้นเลย!” เฉิน เฉินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

 

เขาไม่ได้โกหก

 

สํานักอสูรนั้นมักจะชื่นชอบสงครามและพวกเขาก็ไม่ เกรงกลัวด้วยใครจะไปเชื่อล่ะว่าน่ายน้อยของสํานักอสูร จะเป็นคนขี้ขลาด?

 

ตอนนี้เฉินเฉินได้เป็นนายน้อยสํานักแล้ว เขากล้าที่จะสาป แช่งแม้แต่สวรรค์ไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้กับมนุษย์ร่วมเผ่าพันธุ์เลย

 

เขาจะไม่ขี้ขลาดอย่างแน่นอน

 

โจวเหรินหลงพยักหน้าเล็กน้อยและพิมพ์ออกมา “หลังจากนั้นข้าก็แอบไปสืบเรื่องที่สนามรบ และข้าก็ได้ค้นพบเรื่องแปลกเข้าจริงๆแต่ก่อนที่ข้าจะได้สืบหาความจริง ราช วงศ์เซี่ยก็ตั้งข้อหาข้าด้วยความผิดฐานอบรมศิษย์ของตัวเอง ไม่ดีและข้าก็ถูกลงโทษให้เผชิญหน้ากับกําแพงที่นี้เป็นเวลาหนึ่งร้อยปี”

 

“แสดงว่ามันเป็นฝีมือของพวกคนใหญ่คนโตสินะ ไม่แปลกใจเลย…”

 

ความคิดผุดขึ้นมาในหัวของเฉินเฉินในขณะที่เขาวิเคราะห์เรื่องเหล่านี้

 

เห็นได้ชัดว่า สํานักอสูรรัฐโจวถูกกล่าวหา

 

ถ้าเรื่องแบบนั้นไม่ได้เกิดขึ้น ผลลัพธ์ที่ออกมาในตอนจบจะเป็นยังไงกันนะ?

 

โจวเหรินหลงได้ก้าวเข้าสู่ขั้นวิญญาณแก่นแท้แล้วและผลลัพธ์ของการต่อสู้ระหว่างรัฐโจวกับรัฐจินก็ไม่ได้คลุม เครืออีกต่อไปเมื่อใดที่การต่อสู้ระหว่างสองสํานักสงบลง สํา นักอู่ซินก็คงไม่มีอะไรให้ทํา

 

หรือว่าสํานักอู๋ซินจะมีส่วนเกี่ยวข้องบางอย่างกับเรื่องนี้?

 

ยิ่งเฉินเฉินคิดเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งคิดว่ามันมีความเป็นไปได้เพราะจังหวะเวลามันประจวบเหมาะเกินไป ราชวงศ์เซียไม่ได้ประโยชน์จากสํานักอสูรและเรื่องเดียวที่น่าสงสัยก็คือ สํานักอู๋ซินให้อะไรไปถึงได้กระตือรือร้นขนาดนั้น?

 

“จางเฉิน ถ้าเจ้าไปรัฐจินครั้งนี้และเจอบรรพบุรุษของสํานักอู๋ซินจงบอกเขาว่าข้าจะยกโทษให้เขาและยอมปล่อยสํานักอู๋ซินไปตราบใดที่เขาบอกความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นในช่วงเวลากว่าสิบปีมานี้แล้วเขามีส่วนเกี่ยวข้องยังไง”

 

ก่อนที่เฉินเฉินจะได้พูดต่อ โจวเหรินหลงก็พูดขึ้นมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้มันครอบงําจิตใจของเขาแล้วและด้วยเหตุนี้เองเขาจึง ยอมปล่อยศัตรูของเขาไปในครั้งนี้เพื่อให้ได้รู้ความจริง

 

เฉินเฉินยอมรับอย่างหนักแน่น และค่อนข้างมีความสุขอยู่ลึกๆข้างใน

 

สํานักอสูรโดนเล่นงานมาหนักแล้วและนั่นก็คือสถานการณ์ที่ได้เปรียบสําหรับสํานักเทียนหยุนอย่างแท้จริง

 

ด้วยสภาพนี้ สํานักเทียนหยุนก็จะสามารถพัฒนาไปได้อย่างเนิ่นนาน

 

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่คิดเกี่ยวกับมัน อารมณ์ของเฉินเฉินก็หดหูขึ้นมาอีกครั้ง

 

ถ้าสํานักอู๋ซินสามารถทําให้พวกคนใหญ่คนโตของราชวงศ์เซี่ยใส่ร้ายสํานักอสูรมาได้แล้วครั้งหนึ่ง พวกเขาก็สามารถทํามันได้อีกอย่างแน่นอน

 

ตอนนี้เขาเป็นนายน้อยของสํานักอสูรและถ้าสํานักอู๋ซินกําลังจะใช้อุบายเหมือนกับในตอนนั้น พวกเขาก็น่าจะ เพ่งเล็งเขาในครั้งนี้ถึงยังไงเขาก็เป็นส่วนสําคัญที่ทําให้สํา นักอู๋ซินตกอยู่ในสภาพที่น่ารันทดเช่นนี้

 

“สถานการณ์นี้รับมือยากจริงๆ สถานะและระดับการฝึกตนของเจ้าสํานักสูงอยู่แล้วดังนั้นสํานักอู่ซินน่าจะระวังตัวแต่ข้าไม่ได้เป็นคนยิ่งใหญ่อะไรขนาดนั้น ไม่ได้แล้วล่ะ ข้าต้องแข็งแกร่งยิ่งขึ้นและต้องไปเอาทองศักดิ์สิทธิ์แห่งปัญญาโดยเร็วที่สุด

 

เฉินเฉินตัดสินใจอย่างลับๆ

 

แม้ว่าหนึ่งหมื่นกิโลเมตรจะดูค่อนข้างเป็นระยะทางที่ยาวไกลแต่มันก็ไม่ได้มีความหมายอะไรเลยสําหรับ เซียนแก่นทองคําเพราะเขาสามารถเดินทางได้ในวันเดียว

 

นอกจากนี้ เซียนสํานักอสูรต้องใช้เวลาสองวันใน การรวมพลดังนั้นเขาจึงคิดว่าเขาน่าจะสามารถตามทันอยู่

 

หลังจากที่ออกมาจากภูเขาซึ่งเป็นพื้นที่ของโจวเหรินหลงเฉินเฉินก็รีบไปหานายน้อยสาขาอาวุธ เตียซิน

 

ในตอนนี้ เตียซินกําลังคุยโม้กับคนอื่นอยู่ว่าเขาเป็นแค่หนึ่งในสองคนที่ไม่ได้ถูกเฉินเฉินอัดจนเละ ก่อนที่พวกเขาจะคุยกันจบนั้นเองเขาก็ถูกเฉินเฉินลากตัวออกไป

 

“เตียซิน ข้าอยากจะถามเจ้าซักเรื่องนึ่ง ทองคําศักดิ์สิทธิ์แห่งปัญญาคืออะไร?”

 

เมื่อได้ยินคําว่าทองคําศักดิ์สิทธิ์แห่งปัญญา เตียซินก็ตื่น เต้นขึ้นมาอย่างกะทันหันและตอบคําถาม

 

เขาตอบ “ทองคําศักดิ์สิทธิ์แห่งปัญญาคือวัตถุเสริมแกร่งที่อยู่สิบอันดับแรกในโลกนี้ มันคือวัตถุศักดิ์สิทธิ์ที่พวกเรานักแปรธาตุทําได้แค่ฝันถึง! มีข่าวลือบอกว่าตัวทองคําศักดิ์สิทธิ์แห่งปัญญานั้นไม่ได้แข็งแกร่ง หรือมีพลังปราณที่พิเศษ อะไร แต่ว่ามันมีคุณสมบัติอันน่าหวาดหวั่น ซึ่งก็คือการแปลงสภาพทองทั้งหมดให้เป็นตัวมันเองได้!”

 

“เมื่อมันรวบรวมได้ถึงระดับหนึ่ง มันก็จะสามารถ ดูดกลืนวัตถุอื่นได้และขโมยคุณสมบัติของวัตถุอื่นจากนั้นมันก็จะหลอมรวมคุณสมบัติเหล่านั้นเข้ากับตัวมัน เอง ยิ่งมันดูดกลืนมากเท่าไหร่มันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่า นั้น! ทองคําศักดิ์สิทธิ์แห่งปัญญาได้ชื่อของมันมาจากคุณสมบัตินี้เอง”

 

หลังจากได้ฟังคําอธิบายนี้ เฉินเฉินก็ถึงกับพูดไม่ออก

 

ระบบไม่เคยผิดพลาดจริงๆ จะมีวัตถุอะไรในโลกนี้ที่เห มาะสมกับการเสริมแกร่งอาวุธสําหรับคนรํารวยสมบัติอย่างเขาไปมากกว่าวัตถุชิ้นนี้อีก?

 

ด้วยความคิดนี้เอง เขาก็อารมณ์พลุ่งพล่านขึ้นมาเล็กน้อย เขาถาม ทองคําศักดิ์สิทธิ์แห่งปัญญามีหน้าตายังไง? แล้วมี ข้อสังเกตอะไรเป็นพิเศษรึเปล่าถ้าข้าอยากจะตามหามัน?”

 

เมื่อได้ฟังเช่นนี้ เตียซินก็เกศีรษะของเขาและพูดขึ้น “ข้าไม่สามารถบรรยายหน้าตามันได้ มันเป็นหนึ่งในวัตถุเสริมแกร่งอันล้ําค่าทั้งสิบซึ่งไม่ใช่ของที่หาได้ในสาขาอาวุธ และทองคําศักดิ์สิทธิ์แห่งปัญญาคือวัตถุที่ตามหาได้ยากที่สุด เพราะเจ้าสิ่งนี้สามารถเปลี่ยนรูปร่างของมันได้อย่างอิสระมันอาจจะเปลี่ยนเป็นหินหนืดและกลิ้งไปตามพื้นก็ได้หรือมันอาจจะเกาะติดกับแร่โลหะอื่นก็ได้เช่นกัน ซึ่งนี่คงไม่อาจทราบได้ครับ”

 

เมื่อได้ฟังดังนี้ เฉินเฉินก็พยักหน้าเล็กน้อยแล้วตบไหล่ของเตียซินเบาๆ “บอกอาจารย์ของเจ้าให้พาคนมาเพิ่มด้วยซักสองสามคนในตอนที่เขามาถึงสํานักอสูร แล้วก็ บอกให้ เขาเอาเครื่องมือมาด้วยในตอนที่เขามาถึง ข้าอยากขอให้ เขาช่วยข้าสร้างสมบัติประจําตัวขึ้นมาให้หน่อยในส่วนของ รางวัลนั้น ข้าจะไม่ทําให้เจ้าผิดหวังแน่”

 

หลังจากที่พูดจบ เฉินเฉินก็มุ่งหน้าไปทางตะวันตก

 

“นายน้อยสํานัก ท่านจะไม่เข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองเหรอครับ?”

 

เตียซินถาม

 

“ไม่ ไว้ข้าค่อยชดเชยวันหลัง!”

 

หลังจากที่ตอบไปเช่นนั้น เฉินเฉินก็บินขึ้นไปบนฟ้าแล้ว

 

วัตถุศักดิ์สิทธิ์แห่งโชคชะตาของเขากําลังรออยู่ข้างหน้านั่นแล้วเขาจะมีเวลามาเข้าร่วมงานเลี้ยงฉลองได้ยังไง?

 

“หึหึ ทองคําศักดิ์สิทธิ์แห่งปัญญาช่างเป็นของที่ดีจริงๆ”

 

ด้วยความคิดนี้เอง รอยยิ้มของเฉินเฉินก็ค่อยๆกว้างขึ้นอีก