เย่เทียนมองพ่อลูกร้านปิ้งย่างที่รักกันมากแล้วอดซาบซึ้งไม่ได้ แม้ว่าเขาจะยังเหลือครอบครัวอีกหลายคนบนโลกนี้ แต่เคยได้สัมผัสความอบอุ่นเช่นนี้ซะที่ไหน
คิดมาถึงตรงนี้ เย่เทียนเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย สายตาที่มองพวกเหลยหั่วอึมครึมลงอย่างสิ้นเชิง
นักเลงพวกนี้เป็นพวกเดนมนุษย์ชัดๆ เป็นมนุษย์ที่ไม่มีกฎเกณฑ์เลยสักนิด ต้องสั่งสอนเสียหน่อย
“ไอ้หนุ่ม ตอนนี้แกทำให้ฉันไม่พอใจมากๆ ถ้าวันนี้ฉันไม่ให้แกได้เห็นดี แกคงไม่รู้ว่าใครเป็นใคร”
เหลยหั่วไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าตัวเองกำลังจะถึงคราวเคราะห์ พอเห็นเย่เทียนบังอาจจ้องตัวเองด้วยสีหน้าอึมครึมก็บันดาลโทสะขึ้นมาทันที
พูดจบ เหลยหั่วก็สะบัดมือใหญ่ ออกคำสั่งกับบรรดาลูกน้อง
“พวกแกมัวยืนอึ้งอะไรกันอยู่ ไปล้อมไอ้เด็กระยำที่ไม่รู้ที่ต่ำที่สูงคนนี้ไว้ อย่าให้เขาหนีไปไหนได้”
เจ้าพวกนักเลงแทบจะทนรอไม่ไหวแล้ว พวกเขารุมกันเข้ามายกใหญ่ ล้อมเย่เทียนไว้แน่น
“พี่เหลยหั่ว พี่จะจัดการไอ้หนุ่มนี่ยังไงดีครับ”
“ตามหลักแล้วเราจะหักแขนไอ้หนุ่มนี่หนึ่งข้างหรือจะหักขาเขาหนึ่งข้างดีครับ?”
“พี่เหลยหั่ว ผมว่าหักทั้งแขนทั้งขาของไอ้หนุ่มนี่ดีกว่าครับ”
บรรดานักเลงหัวเราะอย่างชั่วร้ายขณะวางแผน ประหนึ่งว่าเย่เทียนเป็นเนื้อที่รอเชือด ปล่อยให้พวกเขาย่ำยีได้ตามอำเภอใจ!
“เอาตามที่เจ้าผมทองบอก ไปหักทั้งแขนทั้งขาของไอ้หนุ่มนั่นซะ”
เหลยหั่วใช้ความคิดอย่างจริงจัง ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างโหดเหี้ยม “จะได้ให้ไอ้หนุ่มนี่รู้ไว้ว่าคนที่ชอบเอาหน้าไม่พบจุดจบที่ดีนักหรอก”
“จะหักแขนขาฉันเหรอ?”
เย่เทียนกระตุกรอยยิ้มเย็นที่มุมปาก สายตาที่มองพวกเหลยหั่วเย็นยะเยือกกว่าเดิม
เรื่องเล็กแค่นี้ก็จะหักแขนขาของเขา เจ้าพวกนี้จะทำเหมือนบ้านเมืองไม่มีขื่อมีแปเกินไปแล้ว!
“เข้าไปให้หมดเลย เอาให้ไอ้หนุ่มนี่พิการซะ”
เมื่อสัมผัสถึงสายตาเย็นเยียบของเย่เทียนได้ เหลยหั่วก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาในใจ รีบออกคำสั่งให้ลงมือ
บรรดานักเลงพากันคำรามและพุ่งไปหาเย่เทียนที่ถูกล้อมไว้ตรงกลาง
แต่เย่เทียนจะเห็นพวกเขาอยู่ในสายตาได้ยังไง?
พอเห็นพวกนักเลงพุ่งเข้ามาอย่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูง เย่เทียนแสยะยิ้มมุมปาก เขาไม่ถอยกับรุก กระโจนเข้าไปหานักเลงสองคนที่พุ่งเข้าด้านหน้า
ตึ้งตึ้ง!
แค่นักเลงธรรมดาสองคนจะปัดป้องการโจมตีของเย่เทียนได้ยังไง พวกเขาพลันรู้สึกเจ็บที่ตัว ร่างกายกระเด็นไปข้างหลังอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อนจะกระแทกลงบนพื้นปูนที่ห่างออกไปสามเมตรอย่างแรง
นักเลงสองคนนั้นรู้สึกเพียงปวดและชาไปทั้งตัว ใจคิดจะลุกขึ้นมาแต่กลับไม่มีแรงเลย ได้แต่นอนหมดแรงโหยหวนอย่างเจ็บปวดอยู่บนพื้น
ภาพนี้เล่นเอาเหลยหั่วตกใจจนตาแทบถลนออกมา คิดไม่ถึงเลยว่าพลังของเย่เทียนจะแข็งแกร่งขนาดนี้ หมัดที่ดูเรียบๆนั่นกลับต่อยลูกน้องเขากระเด็นถึงสองคน
“ควักอาวุธ”
เมื่อเห็นสายตาของเย่เทียนทอดมาที่ตัวเองอีกครั้ง เหลยหั่วก็ยิ่งไม่สบายใจเข้าไปใหญ่ เขารีบตะโกนเสียงรัว
นักเลงที่เหลือก็สะเทือนใจเหมือนกัน เห็นได้ชัดว่าตกใจกับพลังที่เย่เทียนแสดงออกมา
บัดนี้ได้ยินคำสั่งจากเหลยหั่ว พวกเขามองหน้ากันด้วยสัญชาตญาณ ต่างเห็นความแน่วแน่จากนัยน์ตาของกันและกัน และพากันหาอาวุธจากตรงนั้นอย่างพวกขวดแก้วและเก้าอี้ ก่อนจะพุ่งไปหาเย่เทียนโดยไม่คิดชีวิต
ถึงแม้พลังที่เย่เทียนแสดงออกมานั้นดูเก่งกาจ แต่ยังไงซะพี่ใหญ่ของพวกเขาก็คือเหลยหั่ว
เย่เทียนส่ายหัวเล็กน้อย แตะขาออกไปอย่างแรง ร่างของเขาเร็วถึงขีดสุดประหนึ่งวิญญาณก็มิปาน
เพียะเพียะ!
ทุกคนตั้งตัวกันไม่ทันเลย รู้สึกเพียงตาลาย ก่อนจะได้ยินเสียงตบดังก้องอยู่ที่ข้างหู
“โอ๊ย หน้าฉันเจ็บจังโว้ย”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
“ทำไมความเร็วของเจ้านั่นถึงไวได้ขนาดนี้ล่ะ”
หลังจากทุกคนได้สติแล้ว พวกนักเลงที่เมื่อกี้ยังท่าทีดุดันกันอยู่บัดนี้ต่างหมอบลงกับพื้น แต่ละคนกุมหน้าและโหยหวนด้วยความเจ็บปวด
เหลยหั่วตาโตอ้าปากค้าง นัยน์ตาลึกล้ำคู่นั้นแทบจะถลนออกมา เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเย่เทียนจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ คนของตัวเองเยอะขนาดนั้นกลับแตะชายเสื้อเขายังไม่โดน
“เป็นยังไง? ตอนนี้ยังอยากหักแขนฉันอยู่มั้ย?”
ไม่รอให้เหลยหั่วตั้งสติได้ เสียงเย้ยหยันของเย่เทียนก็ดังขึ้นข้างหูเสียก่อน
“นาย นายมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เหลยหั่วหันไปอย่างแข็งทื่อด้วยท่าทีอึ้งๆ กลับไม่รู้เลยว่าเย่เทียนมาอยู่ด้านหลังเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาตกใจจนเร่งรีบจะหันกลับมา
“ฉันยืนอยู่ข้างนายนานมากแล้วนะ”
เย่เทียนหัวเราะเบาๆ ถีบเข้าที่ก้นของเหลยหั่วอย่างรวดเร็ว
น่าสงสารเหลยหั่วที่รู้สึกถึงความเจ็บปวดตรงก้น ก่อนที่ตัวเขาจะล้มไปข้างหน้าอย่างทนไม่ไหว หน้าลงพื้นก่อน เรียกได้ว่าล้มคะมำ
“โอ๊ย”
แต่หลังจากเขาส่งเสียงโอดโอย เหลยหั่วไม่อาจมัวเจ็บตัวอยู่ เขาล้มลุกคลุกคลานขึ้นมาและวิ่งออกไปสองสามก้าว
ทว่าเย่เทียนจะยอมปล่อยเขาไปง่ายๆได้ยังไง
เย่เทียนขยับเท้านิดหน่อยและมาอยู่ข้างกายเหลยหั่วอีกครั้ง ฉวยโอกาสที่เขายังไม่ทันลุกขึ้น ถีบออกไปอย่างแรงอีกครั้ง
ตึ้ง!
เสียงทุ้มเสียงหนึ่งดังขึ้น ร่างใหญ่ของเหลยหั่วกระเด็นกระดอนออกไปอีกหลายเมตร
เย่เทียนออกแรงถีบไม่เบา เหลยหั่วรู้สึกเจ็บไปทั่วร่างสุดแสนจะทนไหว เขากระเสือกกระสนอยู่ครู่หนึ่งสุดท้ายก็ไม่อาจลุกขึ้นได้
“เป็นไงล่ะ ตอนนี้ยังอยากหักแขนหักขาฉันอยู่มั้ย?”
เย่เทียนเดินเข้าไปช้าๆ ก้มมองเหลยหั่วอย่างผู้เหนือกว่า สีหน้าเย็นชาอย่างอธิบายไม่ถูก
“ไม่ ไม่แล้ว”
เหลยหั่วรีบโบกมือ รู้สึกเพียงเวียนหัว ขนาดเย่เทียนที่อยู่แค่ตรงหน้ายังรู้สึกเหมือนมีเขาสองคน
เย่เทียนย่อตัวลงมาและพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ “แล้วนายจะรังแกลูกสาวชาวบ้านอีกมั้ย”
“ไม่แล้ว ไม่กล้าแล้ว ฉันไม่กล้าทำอีกแล้ว”
“พี่ชาย ฉันผิดไปแล้ว ฉันมีตาหามีแววไม่ ครั้งนี้พี่ให้อภัยฉันเถอะ”
เหลยหั่วไม่ใช่คนไม่ดูสถานการณ์ เขารีบร้องวิงวอนขอความเมตตาทันที ท่าทางต่ำต้อยนั้นอีกนิดเดียวจะคุกเข่าให้อยู่แล้ว
เย่เทียนกวาดตามองเหลยหั่วอย่างดูแคลน คิดไม่ถึงว่าเจ้านี่จะไร้ศักดิ์ศรีขนาดนี้ โดนอัดแค่สองทีก็ร้องขอชีวิตแล้ว
แต่เย่เทียนขี้เกียจจะถือสากับพวกตัวละครเล็กๆแบบนี้ เขาเบนสายตาไปมองเสว่เอ๋อร์ที่อยู่ไม่ไกล และโบกมือให้เธอ
จนบัดนี้เสว่เอ๋อร์ถึงได้สติ เย่เทียนแสดงพลังได้แกร่งกล้าจริงๆ รวมทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วเพิ่งผ่านไปได้ไม่กี่นาทีเท่านั้น
ทุกคนในที่นี้ไม่มีใครทันเห็นการลงมือของเย่เทียนได้ชัด แต่มันไม่กระทบต่อภาพลักษณ์ยอดฝีมือของเย่เทียนในใจของพวกเขา
ชั่วขณะนั้น สายตาที่ทุกคนมองเย่เทียนเต็มไปด้วยความนับถือ ตากลมโตเป็นประกายของเสว่เอ๋อร์ยิ่งเต็มไปด้วยความชื่นชม เธอรีบวิ่งเหยาะๆเข้าไป
“พี่ชาย พี่ พี่เรียกฉันมามีอะไรเหรอคะ?”
“ที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แค่อยากถามเธอว่าอยากให้ฉันจัดการเขายังไง?”
“อยากให้ฉันหักแขนหักขาเขา? หรือหักขาที่สามของเขาล่ะ?!”
เย่เทียนคลี่ยิ้มสดใส และเอื้อนเอ่ยประโยคที่เปี่ยมไปด้วยแรงอาฆาต……”