ตอนที่ 710 ให้ควันธูปตระกูลมู่หรงได้จุดติดต่อไป / ตอนที่ 711 คนบาปของตระกูลมู่หรง

ชายาหยุดเย้าข้าเสียทีเถิด

ตอนที่ 710 ให้ควันธูปตระกูลมู่หรงได้จุดติดต่อไป 

 

 

จูจิ่นอุ้มมู่หรงเซียงหนานวิ่งเข้ามา ตอนที่มาถึงข้างกายของมู่หรงหง มู่หรงหงก็นอนแผ่กับพื้นแล้ว ใต้ตัวมีแอ่งเลือดขนาดใหญ่ 

 

 

“ท่านพ่อ ท่านทำอะไรเจ้าคะ” 

 

 

จูจิ่นขอบตาแดง ตื่นตกใจจนไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี 

 

 

มู่หรงเซียงหนานยังคงอยู่ในอ้อมอกของจูจิ่น แววตาว่างเปล่ามองมู่หรงหง ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ 

 

 

“อาจิ่น เจ้าต้องปกป้องเซียงหนานให้ดี” 

 

 

มู่หรงหงพูดออกมาอย่างยากลำบาก 

 

 

จากนั้นก็มองมู่หรงกวานเย่ว์ที่ยังยืนอยู่ แล้วพยายามออกแรงพูดออกมาว่า 

 

 

“กวานเย่ว์ ความผิดพลาดร้ายแรงที่สุดในชีวิตของการเป็นพ่อ ก็คือส่งเจ้าเข้าวัง ตอนนั้นเจ้าบอกพ่อว่าไม่อยากเข้าวัง เพื่อความปรารถนาที่เห็นแก่ตัวของตนเอง ข้าก็ดึงดันส่งเจ้าเข้าวัง 

 

 

ข้ารู้ว่าคนฉลาดอย่างเจ้าเข้าวังไปจะต้องทำการใหญ่ สุดท้ายเจ้าก็ไม่ได้ทำให้พ่อผิดหวัง ให้กำเนิดองค์ชายอย่างราบรื่น มิหนำซ้ำยังส่งองค์ชายขึ้นบังลังก์ฮ่องเต้ ทำให้ตระกูลมู่หรงมีหน้ามีตายิ่งขึ้นก็เพราะเจ้า 

 

 

พ่อรู้สึกดีใจกับทางที่ตนเองเลือกมาตลอด ตอนนี้พ่อถึงได้รู้ว่าตนเองทำพลาดไปแล้ว 

 

 

ในช่วงเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรือง นี่อวิ๋นไปแล้ว กวานเสวี่ยไปแล้ว ความปรารถนาเดียวของพ่อก็คือเซียงหนานได้เติบโตอย่างปลอดภัย ให้ควันธูปของตระกูลมู่หรงได้จุดติดต่อไป 

 

 

กวานเย่ว์ ตอนนั้นพ่อขอโทษเจ้าด้วย พ่อยินดีใช้ชีวิตนี้ชดเชยให้เจ้า ขอร้องเพียงแต่เจ้าปล่อยเซียงหนานไป เหลือควันธูปไว้ให้ตระกูลมู่หรง มิเช่นนั้นพ่อคงไม่มีหน้าจะไปพบบรรพบุรุษในปรโลก” 

 

 

มู่หรงกวานเย่ว์ยืนไม่พูดอะไร นางนั่งยอง ๆ ลง แววตาประกายความเจ็บปวดบาดลึก 

 

 

“ท่านพ่อ ท่านอย่าบีบบังคับข้า ข้าจะเอาชีวิตท่านไปทำอะไร” 

 

 

“พ่อไม่กล้าบังคับเจ้า พ่อแค่อยากให้เซียงหนานปลอดภัย เจ้าจะใช้วิธีใดก็ได้ทุกอย่าง ขอเพียงอย่าเอาชีวิตของเซียงหนานมาเป็นเดิมพัน ตระกูลมู่หรงเดิมพันไม่ไหว” 

 

 

มู่หรงหงเริ่มร้อนใจแล้ว พูดไปพลางก็พ่นเลือดออกมาคำใหญ่ แล้วไออย่างรุนแรง เขาไม่มีเวลาสนใจอะไรอื่น ยื่นมือออกไปจับข้อมือของมู่หรงกวานเย่ว์ จับแรงมาก ราวกับจะจับข้อมือมู่หรงกวานเย่ว์ไม่ปล่อย 

 

 

“รับปากพ่อ กวานเย่ว์ รับปากพ่อ อย่าให้พ่อตายตาไม่กลับ…แค่กแค่ก…” 

 

 

“ไทเฮาทำทั้งหมดนี้เพื่อใครกันแน่ หากทำเพื่อฝ่าบาท คนที่ไทเฮาทำร้ายคือคนใกล้ชิดฝ่าบาท จะให้ฝ่าบาทเผชิญกับเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร 

 

 

ข้ากับไทเฮาต่างก็เป็นแม่ ในฐานะที่ลูกและฐานะแม่ ไทเฮาไม่สนใจจริยธรรม แล้วจะให้ฝ่าบาทเรียนรู้เรื่องความกตัญญูได้อย่างไร ในเมื่อตัวไทเฮาเองยังไม่เคยบรรลุคำว่ากตัญญูเลย” 

 

 

ตอนนี้จูจิ่นแทบอยากจะฆ่ามู่หรงกวานเย่ว์เสียเดี๋ยวนั้น แต่มู่หรงเซียงหนานยังอยู่ในมือ ที่นี่ก็เป็นอาณาเขตของมู่หรงกวานเย่ว์ นางไม่กล้าต่อต้านมู่หรงกวานเย่ว์ มิเช่นนั้นนางกลัวว่ามู่หรงกวานเย่ว์จะทำอะไรมู่หรงเซียงหนานอีก 

 

 

มู่หรงเซียงหนานที่มีดวงตาว่างเปล่าจู่ ๆ ก็ร้องไห้ขึ้นมา จริง ๆ เขาไม่เข้าใจอะไรเลย เขามองมู่หรงหง ไหล่สั่น แต่ไม่กล้าร้องเสียงดังเกินไป 

 

 

“เซียงหนาน ไม่ต้องร้อง ต่อไปต้องเชื่อฟังคำสอนของแม่เจ้านะ” 

 

 

มู่หรงหงปลอบเซียงหนาน เห็นมือของตนเองเปื้อนเลือด ก็ไม่กล้ายื่นมือไปลูบมู่หรงเซียงหนาน กลัวว่าจะทำให้มู่หรงเซียงหนานตกใจ 

 

 

มู่หรงกวานเย่ว์หมดสิ้นเรี่ยวแรง ยังคงไม่เอ่ยอะไรออกมา จู่ ๆ มู่หรงหงก็คลำเอากระดิ่งเล็ก ๆ ออกมาจากอกเสื้อ ตัวสั่นสะท้าน ยัดกระดิ่งเล็ก ๆ ใส่มือมู่หรงกวานเย่ว์ 

 

 

“นี่เป็นของที่เจ้าโปรดปรานที่สุดเมื่อยังเล็ก ๆ เมื่อก่อนพ่อเก็บรักษาเอาไว้ ต่อไปเจ้า…เจ้า…ต้องรักษามันเองแล้ว…” 

 

 

มู่หรงกวานเย่ว์กำกระดิ่งจิ๋วไว้แน่น ถึงแม้จะรู้ว่ามู่หรงหงจงใจเอากระดิ่งจิ๋วให้นาง แต่นางก็ยังเห็นภาพตอนที่ตนเองยังเป็นเด็กเล็กปรากฏขึ้นในสมองอยู่ดี 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 711 คนบาปของตระกูลมู่หรง 

 

 

กระพรวนพวงน้อยนี้มู่หรงหงสั่งทำให้กับนางโดยเฉพาะ มู่หรงกวานเย่ว์จึงนำมันติดตัวตลอดเวลาจวบจนกระทั่งเข้าวัง นางจึงค่อยนำกระพรวนน้อยวางไว้ที่มุมหนึ่งของห้อง นึกไม่ถึงว่ามู่หรงหงกลับช่วยเก็บมันเอาไว้แทนนาง 

 

 

นางและเฉินมั่วฉือคือมารดากับลูกชาย ส่วนนางและกับมู่หรงหงคือมารดากับบุตรสาว เฉินมั่วฉือไม่สนใจคำขอร้องของนาง ส่วนนางเล่าเคยสนใจคำขอร้องผู้เป็นบิดาที่ไหนกัน นางช่างอกตัญญูยิ่งนัก 

 

 

มองเห็นแววตาเฝ้ารอคอยของมู่หรงหงแล้ว มู่หรงกวานเย่ว์จึงรับคำในที่สุด 

 

 

“ได้ ข้าจะปล่อยเซียงหนานกลับบ้าน” 

 

 

ได้รับคำสัญญาจากปากมู่หรงกวานเย่ว์ มู่หรงหงที่ยื้อลมหายใจเฮือกสุดท้ายของตนเองเอาไว้อยู่เป็นนานในที่สุดก็ปิดเปลือกตาลงอย่างหมดห่วง มู่หรงกวานเย่ว์กำกระพรวนในมือแน่น นึกไม่ถึงว่ามู่หรงหงจะใช้วิธีการที่ใจเด็ดเช่นนี้มาบีบบังคับนาง 

 

 

จื่ออีเข้าประคองมู่หรงกวานเย่ว์เอาไว้ เพราะมู่หรงกวานเย่ว์ในเวลานี้แทบยืนไม่อยู่ หลังจากที่พระนางสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว จึงเอ่ยปากสั่งการ 

 

 

“ทหาร พานางกลับไปที่ห้อง” 

 

 

‘นาง’ ที่มู่หรงกวานเย่ว์พูดถึงนั่นก็คือหลิงวี้จื้อ เมื่อได้ยินคำสัญญาจากปากของมู่หรงกวานเย่ว์แล้ว หลิงอวี้จื้อถึงวางบ่วงในใจลงได้ และนางก็รู้ดีว่ามู่หรงกวานเย่ว์ไม่มีทางปล่อยนางไป 

 

 

ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดนั่นก็คือทำให้มู่หรงกวานเย่ว์ช่วยชีวิตมู่หรงหนานเซียงเสียก่อน ขอเพียงมู่หรงหนานเซียงปลอดภัย เช่นนี้แล้วมู่หรงหนานเซียงก็จะได้ดำเนินการตามแผนการแทนหลิงอวี้จื้อได้ มิเช่นนั้นหากมู่หรงเซียงหนานยังอยู่ในกำมือของมู่หรวกวนเย่ว์ละก็ หลิงอวี้จื้อเองก็เป็นทุกข์ใจ 

 

 

ยังดีที่มู่หรงกวานเย่ว์ยังหลงเหลือความเป็นคนอยู่บ้าง หากพระนางยังดึงดันไม่ยอมปล่อยมู่หรงหนานเซียงละก็ หลิงอวี้จื้อเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกัน 

 

 

หลิงอวี้จื้อถูกส่งกลับมาที่ห้อง จูจิ่นและมู่หรงหนานเซียงก็ถูกส่งตัวออกไปเช่นนั้น รอจนกระทั่งทุกคนกลับออกไปกันหมดแล้ว มู่หรงกวานเย่ว์ถึงได้ทรุดนั่งลงที่พื้น มองไปยังร่างไร้วิญญาณที่นอนอยู่บนพื้นด้วยสายตาเลื่อนลอย 

 

 

“ไทเฮา บ่าวประคองพระองค์กลับตำหนักนะเพคะ! ที่นี่ให้เป็นหน้าที่ของบ่าวจัดการเอง” 

 

 

มู่หรงกวานเย่ว์กำกระพรวนในมือแน่น เลือดของมู่หรงหงยังเปรอะเปื้อนที่กระพรวน มู่หรงกวานเย่ว์สั่นกระพรวนในมือ เบาๆ เสียงใสกังวานของมันที่ดังขึ้นทำให้พระนางรู้สึกราวกับหัวใจของตนกำลังหลั่งเลือด 

 

 

“จื่ออี เจ้าบอกซิว่าข้ายังเหลืออะไรอีก? ตอนนี้ข้ากลายเป็นคนบาปของสกุลมู่หรงไปเสียแล้ว” 

 

 

“ไทเฮา เรื่องนี้เป็นอุบัติเหตุ ไม่ใครคาดคิดหรอกเจ้าค่ะว่าท่านเสนาบดีจะ…” 

 

 

จื่ออีไม่กล้าเอ่ยต่อไปได้อีก 

 

 

“ข้าบีบบังคับจนท่านพ่อต้องตาย จื่ออี เจ้าบอกซิว่าข้าคือใคร? เดินมาจนกระทั่งถึงตอนนี้ ข้าไม่มีทางให้กลับหลังอีกแล้ว” 

 

 

จื่ออีไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี ดังนั้นจึงได้แต่เอ่ยวาจาเตือนสติมู่หรงกวานเย่ว์เท่านั้น 

 

 

“ไทเฮา อย่าทรงคิดเหลวไหลเลยเพคะ บ่าวจะประคองพระองค์กลับตำหนัก” 

 

 

“ไม่ต้อง ข้าอยากอยู่ตามลำพังกับท่านท่านพ่ออีกสักครู่” 

 

 

จื่ออีได้ยินดังนั้นจึงไม่พูดอะไรขึ้นมาอีก ทำได้เพียงแค่เฝ้ามองผู้เป็นนายอยู่ไกลๆ 

 

 

มู่หรงกวานเย่ว์นั่งลงข้างๆ ร่างไร้วิญญาณของมู่หรงหง ภาพในวัยเยาว์หลั่งไหลเข้ามาในสมองของพระนางไม่หยุด 

 

 

ในตอนนั้น นางที่ยังไร้เดียงสาปราศจากเรื่องทุกข์ร้อนใจ ซึ่งคงไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าในวันหนึ่งบิดาที่นางรักและเคารพที่สุดจะปลิดชีพตนเองต่อหน้าต่อตานางได้ 

 

 

เติบโตมาจนกระทั่งบัดนี้ นางเคยขอร้องบิดาเพียงแค่ครั้งเดียว นั่นก็คือนางไม่ต้องการเข้าวัง นางคุกเข่าอยู่หนึ่งวันเต็มๆ แต่ก็มิอาจทำให้มู่หรงหงใจอ่อนได้ สุดท้ายนางก็ต้องเข้าวังอยู่ดี 

 

 

ยี่สิบปีให้หลัง กลับกลายเป็นมู่หรงหงที่ต้องเป็นฝ่ายคุกเข่าขอร้องนางบ้าง เดิมทีนางอยากที่จะใจร้ายให้ถึงที่สุด แต่สุดท้ายนางก็ใจอ่อนอยู่ดี 

 

 

ส่วนหลิงอวี้จื้อก็เก็บตัวอยู่แต่ในห้องทั้งวัน ไม่ได้พบหน้าจูจิ่นและมู่หรงเซียงหนานอีกเลยนับแต่วันนั้น อีกทั้งยังไม่รู้ข่าวคราวของพวกเขาอีกด้วย 

 

 

วันรุ่งขึ้น ขณะที่หลิงอวี้จื้อกำลังนั่งฟุบหน้าลงกับโต๊ะด้วยความเบื่อหน่ายนั่นเอง พลันประตูก็ถูกคนผลักเข้ามา คนที่เข้ามาคือจู่จิ่น 

 

 

เมื่อเห็นว่าเป็นจูจิ่น หลิงอวี้จื้อก็รีบชันกายลุกนั่งหลังตรง แล้วเอ่ยถามว่า 

 

 

“เซียงหนานเป็นอย่างไรบ้าง?” 

 

 

จูจิ่นส่ายหน้าสีหน้าเป็นกังวล 

 

 

“ไม่พูดไม่จา เอาแต่นั่งเหม่อลอยอยู่ที่ริมกำแพง ทำราวกับไม่รู้จักข้าอย่างไรอย่างนั้น” 

 

 

“ค่อยเป็นค่อยไปเถอะ พาเขากลับไปแล้วก็คอยอยู่เป็นเพื่อนเขาก็แล้วกัน นี่พวกเจ้าจะเดินทางกันเมื่อไหร่?”