ตอนที่ 712 พาเซียงหนานไปจากที่นี่ / ตอนที่ 713 นี่นะหรือคือผลลัพธ์ที่ทรงต้องการ

ชายาหยุดเย้าข้าเสียทีเถิด

ตอนที่ 712 พาเซียงหนานไปจากที่นี่

 

 

“อีกเดี๋ยวก็จะไป ที่นี่สำหรับเซียงหนานแล้วเป็นดั่งฝันร้าย ข้าจะพาเซียงหนานไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด อวี้จื้อ ที่ข้ามาก็เพื่อบอกลาเจ้า ขอโทษด้วย”

 

 

น้ำเสียงของจูจิ่นเจือเอาไว้ด้วยความรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก เขารู้สึกผิดต่อหลิงอวี้จื้อจากใจจริง ก่อนหน้านี้เขาเองที่เป็นฝ่ายขีดเส้นแบ่งระหว่างตนเองกับหลิงอวี้จื้ออย่างชัดเจน ทว่าตอนนี้หลิงอวี้จื้อกลับยังช่วยชีวิตมู่หรงเซียงหนานโดยไม่สนใจความเป็นความตายของตนเองด้วยซ้ำ

 

 

“น่าเสียดายที่ข้ามาช้าไป เพราะยามที่ข้าเข้าถึงตัวเซียงหนานนั้น นางก็กลับกลายเป็นเช่นนั้นไปเสียแล้ว อาจิ่น บาดแผลทางกายของนางไม่หนักหนาเท่าไหร่ จะมีก็แต่บาดแผลทางใจเท่านั้นที่หนักหนาสาหัสสำหรับเซียงหนานยิ่งนัก”

 

 

หลิงอวี้จื้อไม่รู้ว่าจูจิ่นจะเข้าใจความหมายของนางหรือไม่ ดังนั้นจึงเปลี่ยนรูปแบบวิธีการอธิบาย เอ่ยต่อไปว่า

 

 

“เซียงหนานอายุยังน้อย ดังนั้นจิตใจจึงยังแบกรับอะไรไม่ได้มาก การที่จู่ๆ นางไม่พูดไม่จาก็แสดงว่าได้รับการกระทบเทือนทางใจ ซึ่งอาจต้องใช้เวลาในการรักษายาวนาน เจ้าจะต้องเตรียมใจให้พร้อม”

 

 

มู่หรงเซียงหนานได้รับการกระทบกระเทือนทางจิตใจแสนสาหัส บาดแผลที่เป็นดั่งเงามืดในใจทำให้มิอาจเรียกคืนนางคนเดินกลับมาได้ สิ่งเดียวที่ทำได้นั่นก็คือลดทอนความเจ็บปวดของนางให้ได้มากที่สุด ภายหน้ามู่หรงเซียงหนานจะเป็นเช่นไร หลิงอวี้จื้อจื้อมิกล้าคาดเดา แต่สิ่งที่นางแน่ใจนั่นก็คือมู่หรงเซียงหนานที่สดใสร่าเริงคนก่อนอาจไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว

 

 

“ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนางเอง อวี้จื้อ ข้าตั้งใจจะไม่พานางกลับเมืองหลวง ต่อนี้สถานการณ์เมืองหลวงเต็มไปด้วยความวุ่นวายมีแต่ศึกสงคราม ข้าตั้งใจจะพานางไปพำนักอยู่ในเมืองเล็กๆ ที่โอบล้อมด้วยขุนเขาสายน้ำ จะได้เป็นผลดีในการรักษาอาการของนางด้วย”

 

 

“เมื่อบิดาไม่อยู่แล้ว จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องกลับจวนมู่หรงอีกต่อไป”

 

 

หลิงอวี้จื้อพยักหน้า

 

 

“เช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน ถึงตอนนั้นเมืองหลวงอาจจะวุ่นวาย เจ้าจงอาศัยโอกาสนี้พาเซียงหนานไปจากที่นั่นก็ดี เซียงหนานจะได้รับความกระเทือนไม่ได้อีกแล้ว ในเมื่อต้องไป เช่นนั้นก็ออกเดินทางเร็วสักหน่อยเถอะ”

 

 

จู่จิ่นมองมายังหลิงอวี้จื้อด้วยสายตาเป็นห่วง

 

 

“แล้วเจ้าล่ะ? เจ้าจะทำอย่างไรต่อไป อวี้จื้อ ขอโทษด้วย ตอนนี้ข้าช่วยอะไรเจ้าไม่ได้เลย”

 

 

“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงข้า ข้าไม่เป็นไร”

 

 

หลิงอวี้จื้อยิ้มออกมาด้วยท่าทีสบายๆ ทั้งยังเอื้อมมือตบไหล่จู่จิ่นเบาๆ

 

 

“ต่อไปหากว่ามีโอกาส ไม่แน่ว่าข้าอาจจะไปเยี่ยมเจ้า”

 

 

ทันใดนั้นจูจิ่นก็เขยิบเข้ามาใกล้ กระซิบบอกกล่าวเรื่องราวของไป๋อู่ที่ข้างหูหลิงอวี้จื้อ

 

 

เมื่อได้รู้ว่าเป็นไป๋อู่นั่นเองที่บอกที่ร่องรอยพวกของนางให้จูจิ่นได้รับรู้ หลิงอวี้จื้อก็ตกตะลึงไม่น้อย งงงวยอยู่ตั้งนานที่แท้ก็ไป๋อู่นี่เองที่เป็นคนบอก เรื่องราวในโลกในนี้ช่างพลิกผันเกินกว่าที่มนุษย์จินตนาการเอาไว้เสียอีก

 

 

หลิงอวี้จื้อพยักหน้าน้อยๆ เพื่อแสดงว่าตนเองรับรู้แล้ว จูจิ่นเองก็ไม่พูดมากอีกต่อไป เดิมทีเขามาเพื่อบอกลาหลิงอวี้จื้อเท่านั้น

 

 

จูจิ่นชันกายลุกขึ้น หลิงอวี้จื้อจึงเดินไปส่งเขาที่หน้าประตู

 

 

“ข้าคงไปส่งพวกเจ้าไม่ได้ พวกเจ้าต้องระวังตัว นำเงินติดตัวไปด้วยมากหน่อยละ อย่างไรเสียสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือเงิน เจ้าเอาไปมากหน่อย ไม่ต้องเกรงใจ ชีวิตในภายหน้าหากไม่มีเงินอะไรจะลำบาก”

 

 

“ข้าเตรียมการเอาไว้แล้ว อวี้จื้อ เจ้าต้องระวังตัวด้วยนะ”

 

 

“ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ไทเฮาคงไม่ฆ่าข้าตอนนี้แน่ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องเหล่านี้นะ”

 

 

จูจิ่นไม่ได้กล่าวอะไรอีกต่อไป บัดนี้เขาและหลิงอวี้จื้อมิอาจเป็นเฉกเช่นที่ในอดีตได้อีกต่อไป เมื่อห่างเหินแล้วกไม่มีทางคุ้นเคยได้อีก

 

 

หลิงอวี้จื้อยืนพิงหน้าประตู มองดูแผ่นหลังของจูจิ่นที่หายลับไปจากทางเดิน พวกเขาไปแล้ว นางก็หมดห่วงไปอีกเรื่อง คนที่นางเป็นห่วงก็คือที่สุดก็คือมู่หรงเซียงหนาน หวังว่าต่อไปนางจะค่อยๆ ฟื้นความทรงจำกลับมาได้

 

 

หลังจากที่จูจิ่นและมู่หรงเซียงหนานเดินทางจากไป มู่หรงกวานเย่ว์ก็เตรียมที่จะพาหลิงอวี้จื้อไปจากฮุ่ยโจว เดิมทีแผนการของนางคือให้หลิงอวี้จื้อเขียนจดหมายสักฉบับถึงเซียวเหยี่ยว ล่อให้เซียวเหยี่ยนมาที่นี่

 

 

แต่บัดนี้เห็นทีว่าหลิงอวี้จื้อคงจะไม่มีทางยอมเขียนจดหมายเป็นแน่ มู่หรงกวานเย่ว์จึงเปลี่ยนความคิด นางจะพาหลิงอวื้จื้อไปที่ค่ายทหาร ใช้หลิงอวี้จื้อเป็นเกราะกำบัง นางไม่เชื่อหรอกว่าเซียวเหยี่ยนจะกล้าบุกเข้ามาโจมตี แต่หากเขาเข้ามาโจมตี คนที่จะตายคนแรกนั่นก็คือหลิงอวี้จื้อ

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 713 นี่นะหรือคือผลลัพธ์ที่ทรงต้องการ

 

 

แน่นอนว่าหลิงอวี้จื้อย่อมคาดเดาเจตนาของมู่หรงกวานเย่ว์ได้ เดิมทีหลิงอวี้จื้อคิดจะปลิดชีพตนเองได้ ขอเพียงนางปลิดชีพตนเอง มู่หรงกวานเย่ว์ก็จะไม่มีโอกาสข่มขู่เซียวเหยี่ยนได้อีกต่อไป

 

 

แต่กว่าที่นางจะกลับมามีชีวิตได้อีกครั้งนั้นแสนยากเย็น หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ นางจะไม่มีวันปลิดชีพตนเองเด็ดขาด เพราะหากนางต้องตายอีกครั้งละก็ อาจจะต้องตายจริง ไม่มีโอกาสที่จะได้ฟื้นคืนมาอีกต่อไปแล้ว

 

 

ดังนั้นนางจึงต้องทะนุถนอมชีวิตนี้ให้มาก และตอนนี้จึงทำได้เพียงแค่รับมือตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงเท่านั้น

 

 

หลิงอวี้จื้อได้ยินว่าเฉินมั่วฉือนำทัพออกศึกด้วยตัวเอง ด้วยนิสัยของเฉินมั่วฉือที่นางรู้จัก หลิงอวี้จื้อมั่นใจว่าเขาไม่มีวันใช้นางเป็นเกราะกำบังเป็นแน่ ขอเพียงเฉินมั่วฉือยังอยู่ที่นี่ นางจึงยังมีโอกาสรอดพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปได้ ดังนั้นในช่วงเวลาสองสามวันนี้นางจึงไม่จำเป็นจะต้องไปหาเรื่องมู่หรงกวานเย่ว์แต่อย่างใด

 

 

ขณะที่เดินทางผ่านโรงเตี๊ยมหงฝู มู่หรงกวานเย่ว์ก็ออกคำสั่ง

 

 

“เผาที่นี่ทิ้งเสีย”

 

 

ที่นี่คือโรงเตี๊ยมของไป๋อู่ คำสั่งเช่นนี้ของมู่หรงกวานเย่ว์เท่ากับให้ฆ่าคนปิดปากนะสิ และสำหรับไป๋อู่แล้วถือว่าเป็นคราวซวยโดยแท้ เพราะหลิงอวี้จื้อไม่คิดที่จะทำอะไรกับไป๋อู่อีก

 

 

“ไทเฮา พระองค์ถึงกับจะสังหารไป๋อู่เชียวหรือเพคะ? นางมิได้หาเรื่องพระองค์ ทรงส่งคนไปวางเพลิงเช่นนี้มิเท่ากับสิ้นเปลืองกำลังคนหรอกหรือเพคะ”

 

 

“เจ้าจะขอร้องแทนนาง?”

 

 

มู่หรงกวานเย่ว์และหลิงอวี้จื้อนั่งอยู่ในรถม้าหลังเดียวกัน เมื่อได้ยินหลิงอวี้จื้อเอ่ยปากเช่นนั้น มู่หรงกวานเย่ว์จึงถามกลับด้วยท่าทางเย็นชาทันที

 

 

“หม่อมฉันมิได้จะขอร้องแทนนาง หม่อมฉันไม่รู้จักมักคุ้นกับนางด้วยซ้ำ หม่อมฉันเพียงแค่พบเห็นโดยบังเอิญว่านางถอนตัวออกจากหอนางโลมเริ่มต้นชีวิตใหม่แล้ว เพราะเหตุใดไทเฮายังต้องทรงฆ่านางปิดปากอีกเล่าเพคะ”

 

 

“บิดาของข้าและจูจิ่นตามหาที่นี่พบได้เร็วถึงเพียงนี้ เพราะฝีมือของนาง นางให้ร้ายบิดาของข้า แค่ไฟเผาถือว่าสบายนางมากแล้ว เดิมทีข้าจะสั่งการให้แขวนคอนางด้วยซ้ำ”

 

 

มู่หรงกวานเย่ว์ได้ให้คนไปสืบจนกระจ่างแจ้งถึงได้รู้ว่า ในตอนที่มู่หรงหงและจูจิ่นเพิ่งเดินทางมาถึงฮุ่ยโจวนั้นได้มาพักที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้ ต่อมาพวกเขาก็ไปที่อำเภอ ดังนั้นไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นฝีมือของไป๋อู่หรือไม่ก็ตาม นางก็ยินดีที่จะฆ่าผิดคน แต่จะไม่ยอมให้รอดไปแม้แต่คนเดียว

 

 

“ผู้ที่ให้ร้ายท่านเสนาบดีคือพระองค์แท้ๆ ไทเฮาทรงพระปรีชา แต่กลับโยนความผิดให้กับไป๋อู่เสียได้”

 

 

หลิงอวี้จื้อยิ้มเยาะ นางรู้ดีว่าอย่างไรวันนี้คงหยุดยั้งเหตุการณ์ตรงหน้ามิได้แล้วเป็นแน่ ดังนั้นจึงไม่พูดมากอีกต่อไป เพราะตอนนี้นางเองก็ยังตกที่นั่งลำบากจึงช่วยชีวิตไป๋อู่ไม่ได้ อีกอย่าง นางไม่มีความจำเป็นมากถึงขั้นที่จะต้องช่วยชีวิตไป๋อู่ให้จงได้อีกด้วย

 

 

รถม้าของมู่หรงกวานเย่ว์หยุดฝีเท้าทั้งที่ฟ้าเพิ่งจะมืดได้ไม่นาน เพราะนางเจตนาจะให้หลินอวี้จื้อได้เห็นฉากเพลิงไหม้ใหญ่ในครั้งนี้ด้วย

 

 

หลิงอวี้จื้อที่นั่งอยู่ข้างๆ มู่หรงกวานเย่ว์เลิกผ้าม่านขึ้น ไม่นานนางก็ได้เห็นโรงเตี๊ยมหงฝูที่กำลังถูกเปลวเพลิงโหมกระหน่ำกลืนกินต่อหน้าต่อตา เสียงกรีดร้องโหยหวนดังแว่วออกมาจากด้านในไม่ขาดสาย ไม่รู้ว่าเปลวเพลิงในครั้งนี้คร่าชีวิตผู้บริสุทธิ์ไปกี่คน

 

 

มู่หรงกวานเย่ว์สีหน้าเรียบนิ่ง แต่หลิงอวี้จื้อกลับนิ่วคิ้วขมวด ในยุคนี้ดูเหมือนว่าชีวิตคนไร้ค่าไร้ราคายิ่งนัก เพราะผู้ครองอำนาจกระทำเรื่องเลวร้ายได้อย่างเหริมเกริม เฉกเช่นเดียวกับมู่หรงกวานเย่ว์ในตอนนี้ นางถึงกับวางเพลิงต่อหน้าธารกำนับ แต่กลับไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคำ แขกที่บังเอิญมาพักและต้องตายอยู่ในโรงเตี๊ยมทำได้เพียงแค่น้อมรับว่าเป็นคราวซวยของตนเองเท่านั้น

 

 

จุดนี้ เซียวเหยี่ยนดีกว่าพวกเขามากนัก เซียวเหยี่ยนจะไม่เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ ซึ่งหลินอวี้จื้อเองก็ไม่รู้ว่าตกลงแล้วไป๋อู่จะตายอยู่ในกองเพลิงหรือไม่

 

 

นางปล่อยมือจากผ้าม่าน

 

 

“ไปเถอะ!”

 

 

เห็นว่ามองดูจนเพียงพอแล้ว มู่หรงกวานเย่ว์จึงได้สั่งการลงมา

 

 

มั่วชิงมิได้นั่งรถม้าคันเดียวกับพวกนางแต่อย่างใด แต่นางนั่งอยู่ในรถม้าอีกคันที่ด้านหลัง มู่หรงกวานเย่ว์เห็นสีหน้าของหลิงอวี้ตึงเครียด จึงหัวเราะเยาะออกมาเบาๆ

 

 

“จุดจบของเจ้าก็ไม่ได้ดีไปกว่าพวกเขาเท่าไหร่นักหรอก”

 

 

“แล้วไทเฮาเล่าเพคะ? ไทเฮาจะทรงมีจุดจบที่ดีกว่าหม่อมฉันสักเพียงใดกัน หากฝ่าบาททรงทราบว่าพระองค์บีบบังคับพระอัยยิการของฝ่าบาทจนถึงแก่ความตาย ทั้งยังทำให้เซียงหนานกลับกลายเป็นเช่นนั้นอีก แล้วทรงคิดว่าฮ่องเต้จะทรงปฏิบัติกับพระองค์อย่างไรเพคะ?”

 

 

“ความสัมพันธ์ฉันท์แม่ลูกก็ย่ำแย่พออยู่แล้วเมื่อผนวกรวมกับเรื่องนี้เข้าไปอีก เห็นทีว่าระหว่างแม่ลูกคงเดินมาถึงทางตันเป็นแน่ นี่นะหรือคือผลลัพธ์ที่ไทเฮาทรงต้องการ?”

 

 

มู่หรงกวานเย่ว์ได้ยินดังนั้นก็ถึงหน้าเปลี่ยนสี

 

 

“หุบปากนะ”