เย่เทียนไม่ใช่คนวู่วาม ถึงจะโดนบีบบังคับจนไม่มีทางเลือกถึงได้มาเมืองเอก แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเมืองเอกเลย
ก่อนหน้านี้ตอนคาดคั้นกับหยุ่นหมัว นอกจากข่าวของแก๊งหย่งเย่แล้ว เย่เทียนรู้เรื่องลับอีกหลายเรื่อง เรียกได้ว่าเค้นหยุ่นหมัวซะแห้งสนิท
ในนั้นมีเรื่องเกี่ยวกับเมืองเอกไม่น้อย
ที่แท้หบังจากที่เย่เทียนจัดการหัวหน้าของเซิ่งเหอเซิ่ง จูยิ่วถิง ไปก่อนหน้านี้ เซิ่งเหอเซิ่งก็มีวิกฤติชิงอำนาจกันภายใน
บวกกับอิทธิพลใหญ่รอบๆเมืองเอกต่างอยากได้ส่วนแบ่ง เรียกได้ว่าทั้งเมืองเอกจลาจลกันหมด จนบัดนี้เพิ่งจะพอสงบลงบ้าง
เซิ่งเหอเซิ่ง จ้าวอำนาจในอดีตแตกหัก เมืองเอกอันใหญ่หลวงถูกแบ่งออกเป็นสามส่วน!
ฝ่ายหนึ่งคือพรรคมังกรอัคคีเดือดข้ามคูน้ำแห่งเมืองหลิน อีกฝ่ายคือแก๊งท้องถิ่นในเมืองเอกที่ยอมอัปยศเพื่อรอวันผงาดมาหลายปี แก๊งซินเซ่งอัน
ส่วนฝ่ายสุดท้ายสืบทอดกองกำลังของเซิ่งเหอเซิ่งมากว่าครึ่งหนึ่งแก๊งหย่งเซ่งเหลียนที่ตั้งขึ้นมาใหม่ ส่วนจระเข้เป็นหัวหน้าลำดับสามของเซิ่งเหอเซิ่งในครานั้น ผู้นำสูงสุดของแก๊งหย่งเซ่งเหลียนในตอนนี้!
คาดเดาได้ไม่ยากว่าทำไมตอนนั้นจระเข้ถึงไม่สนสายตาของเหล่าศัตรูที่จ้องมองมาอย่างหิวกระหาย และบุกโจมตีเชิ่งหู่อย่างแข็งกร้าว
ยังไงซะ ถ้าไม่ใช่เพราะเย่เทียน เซิ่งเหอเซิ่งอันยิ่งใหญ่จะแตกแยกกันได้ยังไง?
สิ่งที่สำคัญที่สุดของที่สุด ตามข้อมูลที่หยุ่นหมัวบอก การล่มสลายของแก๊งมังกรทำให้แก๊งS.P.Lไม่มีฐานทัพในประเทศจีนอีกต่อไป ที่เขามาประเทศจีนแตไม่ได้ไปเมืองเจียงหนันก่อน ก็เพราะต้องการฉวยโอกาสที่เมืองเอกกำลังโกลาหล สนับสนุนกองกำลังอิทธิพลขึ้นมาใหม่
ความจริงแล้ว ด้วยกำลังของสมาชิกแก๊งS.P.L เขาได้กลายเป็นผู้นำเบื้องหลังของแก๊งซินเซ่งอันไปแล้ว!
น่าเสียดายที่เย่เทียนไม่สนสมบัติอันน้อยนิดของแก๊งซินเซ่งอัน และไม่คิดจะเข้าไปยุ่งกับเรื่องวุ่นๆของเมืองเอก!
ที่เขามาเมืองเอกในคราวนี้ก็เพราะเฉินหวั่นชิงขอมา
แต่ในเมื่อมาแล้ว เย่เทียนไม่รังเกียจที่จะทำอะไรบางอย่าง!
ไม่ว่ายังไงหลังจากช่วยเจ้าของร้านปิ้งย่างกำจัดพวกนักเลงอย่างเหลยหั่วแล้ว เย่เทียนไม่ได้อยู่ต่อนาน คล้อยหลังจากเติมท้องให้อิ่มอย่างว่องไว เขาก็รีบโบกแท็กซี่ไปที่ฮันเตอร์บาร์!
เห็นภาพแสงสีกะพริบวูบวาบจากฮันเตอร์บาร์ตรงหน้าแล้ว เย่เทียนแสยะยิ้มมุมปากอย่างอดไม่ได้
ในความเป็นจริง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เย่เทียนมาฮันเตอร์บาร์ สมัยก่อนที่นี่เป็นหนึ่งในสิบแปดร้านที่คึกคักมากที่สุดใต้เครือเซิ่งเหอเซิ่ง ครั้งหนึ่งเขาก็เคยมาอาละวาดอยู่ครั้งหนึ่ง!
คิดไม่ถึงว่าเพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน ฮันเตอร์บาร์ก็กลับมาคึกคักอีกครั้ง กระทั่งดูจากจำนวนคนเข้าออกแล้ว คึกคักยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก!
คิดไปแบบนั้น เย่เทียนก็เงยหน้าขึ้นมองป้ายร้านของฮันเตอร์บาร์ ริมฝีปากกระตุกรอยยิ้มเย็นอย่างอดไม่ได้ เดินเข้าไปด้านในโดยไม่ลังเล
เมื่อบุกเข้ามาข้างในฮันเตอร์บาร์แล้ว เสียงเพลงกระหึ่มก็ดังเข้าหูมาในบัดดล แสงสีนีออนสาดเข้ามาเต็มตา
กลุ่มชายหญิงที่แต่งตัวเปิดเผยในฟลอร์โยกตัวไปมาอย่างบ้าคลั่งตามจังหวะดนตรีที่โหมให้เต้นสุดๆ ถึงขั้นส่งเสียงคำรามราวสัตว์ป่าเป็นครั้งคราว เป็นการร่ายรำของเหล่ามารจริงๆ!
นอกเหนือไปจากนี้ บนที่นั่ง ตรงบาร์ ต่างมีคู่หนุ่มสาวที่โอบไหล่ถึงเนื้อถึงตัว อิงแอบหยอกล้ออยู่ด้วยกัน
ยังไงซะนี่ก็ยังไม่ดึกมาก เย่เทียนไม่รีบร้อน เขาหาที่นั่งและนั่งลงโดยไม่คิดมาก สั่งเฮนเนสซีมาหนึ่งแก้วและสังเกตสถานการณ์ที่บาร์เงียบๆ
“คนหล่อ อยากเลี้ยงเหล้าฉันสักแก้วมั้ยคะ?”
แต่เย่เทียนนั่งลงได้ไม่กี่นาทีก็มีผู้หญิงที่แต่งตัวสะสวยคนหนึ่งเดินเข้ามา นั่งลงข้างเย่เทียนอย่างเย้ายวน
เย่เทียนเงยหน้าเล็กน้อยเพื่อมองหญิงสาวที่แต่งหน้ามาจัดจ้าน เขาจะไม่รู้ได้ยังไงว่าเธอทำอาชีพอะไร แล้วจะมีความสนใจได้ยังไง
อีกอย่าง เย่เทียนไม่ได้มาเที่ยวเล่นนะ เขามีเวลาว่างซะที่ไหน
“เรื่องเลี้ยงเหล้าคุณไม่มีปัญหา แต่ คุณต้องช่วยอะไรผมอย่างหนึ่ง”
เย่เทียนคลี่ยิ้มเผยให้เห็นฟันขาว มีเสน่ห์ประหลาดใต้การสาดส่องจากแสงนีออน “ดูท่าทางคุณมาเที่ยวที่นี่บ่อยนะครับ ช่วยเรียกคนคุมที่นี่มาให้ผมหน่อยสิ”
“คุณรู้จักพี่ตงเหรอคะ?”
หญิงสาวเสียงตกใจ มองเย่เทียนตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสีหน้าประหลาด
“คุณช่วยเรียกเขามาให้ผมก็รู้เองครับ”
เย่เทียนยักไหล่ ควักแบงค์ร้อยออกจากกระเป๋าหลายแบงค์และยัดใส่หน้าอกของหญิงสาว
อาจเพราะธนบัตรได้ผล หญิงสาวไม่พูดมากอะไรอีก เธอลุกไปเรียกคนคุมที่นี่มาด้วยท่าทางดีใจ
ครู่เดียว หญิงสาวก็เดินยิ้มแย้มเบิกบานและคล้องแขนชายฉกรรจ์คนหนึ่งกลับมา
ชายคนนั้นใส่สร้อยทองเส้นใหญ่ที่คอ สักลายเสือดุดันที่แขน สภาพตามฉบับนักเลง
ด้านหลังพวกเขามีผู้ชายที่ท่าทางไม่เหมือนคนดีตามมาด้วยสามสี่คน
เห็นได้ชัดว่าชายสวมสร้อยคอที่หญิงสาวคนนั้นคล้องแขนมาคงจะเป็นพี่ตง คนคุมฮันเตอร์บาร์!
“คุณผู้ชาย เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่าครับ?”
พี่ตงโอบหญิงสาวและนั่งลงตรงข้ามเย่เทียนอย่างถือวิสาสะ มองเย่เทียนตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างพิศวง รู้สึกเพียงคุ้นหน้าเย่เทียนที่อยู่ตรงข้าม แต่ก็นึกไม่ออกว่าเคยพบที่ไหนกันแน่
เขาไม่ใช่แค่คนคุมบาร์ธรรมดา แต่เป็นสมาชิกเก่าที่ติดตามจระเข้มาตั้งแต่เซิ่งเหอเซิ่ง ตอนที่เย่เทียนทำลายสถานที่บันเทิงทั้งสิบแปดแห่งของพวกเขา บังเอิญว่าเขาก็เป็นหนึ่งในลูกน้องที่เฝ้าร้านอยู่ในตอนนั้น
น่าเสียดายที่ผ่านการเข่นฆ่าในช่วงที่ผ่านมาแล้ว ความทรงจำที่เขามีต่อเย่เทียนก็เริ่มเลือนลาง
กระทั่งถ้าไม่ใช่เห็นว่าเย่เทียนมือเติบขนาดที่แค่ส่งข่าวก็ให้หญิงสาวครนี้หลายร้อยหยวน เขาคงไม่มาหรอก
“แต่ผมไม่รู้สึกคุ้นหน้าคุณเลย”
เย่เทียนผงะ ก่อนจะยิ้มกว้างและยกแก้วเหล้าขึ้นมาจิบ “อาจเพราะระดับคุณยังไม่ถึง ไม่ทราบว่าพี่ใหญ่ของคุณจระเข้มามั้ย? ให้จระเข้มาคุยกับผมดีกว่า”
“เพื่อนเอ๋ย ไม่ทราบว่าคุณอยากพบพี่ใหญ่ของผมด้วยเรื่องอะไรครับ?”
คิ้วพี่ตงขมวดเป็นปม ถ้าเป็นปกติ เจอคนท่าทางสามหาวอย่างเย่เทียน เขาสั่งให้ลูกน้องไล่ออกไปนานแล้ว
แต่วันนี้เย่เทียนมาถึงก็ขอเจอจระเข้เลย พี่ตงประเมินตื้นลึกหนาบางของเย่เทียนไม่ออกจริงๆ จึงไม่กล้าเสียมารยาทมาก
“หรือจระเข้ไม่เคยบอกคุณเหรอ ว่าไม่ควรถามสิ่งที่ไม่รู้?”
เย่เทียนไม่ตอบพี่ตง กลับกวาดสายตามองเขาอย่างเกียจคร้าน
สีหน้าพี่ตงเปลี่ยนไปในบัดดล เขาอยู่ที่แก๊งหย่งเซ่งเหลียนเรียกได้ว่าอยู่ใต้คนเพียงคนเดียว และอยู่เหนือคนอีกนับหมื่น ใครมาเจอเขาก็ต้องเกรงอกเกรงใจ เคยโดนปฏิบัติใส่แบบนี้ซะที่ไหน?
“เอาเถอะ ผมไม่มีอะไรจะคุยกับคุณ ผมถามคุณคำเดียวว่าตอนนี้จระเข้อยู่ที่นี่มั้ย?”
แต่ไม่รอให้พี่ตงตั้งสติ เย่เทียนยกแก้วเหล้าขึ้นกระดกรวดเดียวหมด ก่อนจะลุกพรวดขึ้น และเหล่มองพี่ตงอย่างดูหมิ่น
“ฉันไม่สนว่านายเป็นใคร แต่ฉันขอเตือนนายว่าขอโทษฉันเดี๋ยวนี้เลยจะดีกว่า มิฉะนั้นฉันรับประกันได้ว่านายไม่มีทางได้พบพี่ใหญ่ของฉันแน่นอน”
รู้สึกถึงสายตาดูแคลนของเย่เทียน ความโมโหที่พี่ตงข่มไว้ก็พุ่งพรวดออกมา เขาเองก็ตบโต๊ะลุกขึ้น สีหน้าอึมครึม
“ฟังจากที่นายพูดแล้ว ตอนนี้จระเข้น่าจะอยู่ที่นี่สินะ”
เย่เทียนกระตุกยิ้มชั่วร้ายที่มุมปาก “อยู่ที่นี่ก็ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นฉันกลัวว่าจะมาเสียเที่ยว”