ภาค 5 ผู้ขี่มังกรสู่ฟากฟ้า บทที่ 432 กวาดล้างประเทศ

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

อาชาเพลิงพยศถูกพ่านพ่านพลิกคว่ำ ขณะที่มันกำลังจะตะกายขึ้นมาจากพื้น เจ้าแพนด้ายักษ์กลับฟาดขาหน้าใส่อีกครั้ง จนมันล้มลงกับพื้นเช่นเดิม

หนึ่งในศีรษะขนาดใหญ่โอฬารทั้งสามถูกพ่านพ่านตบขาด กระเด็นหวือไปไกล ก่อนจะตกลงบนพื้นอย่างหนักหน่วง

องค์ราชาแห่งประเทศฟู่หรานที่อยู่ในราชวังไกลออกไป พลันมีสีหน้าเคร่งขรึมยิ่งนัก

ในตอนที่อาชาเพลิงพยศถูกพ่านพ่านตบล้ม พวกองค์รัชทายาทแห่งฟู่หรานและผู้บัญชาการทัพง้าวแดงเหลียงฮั่นต่างหมดอาลัยตายอยาก กระนั้นองค์ราชาแห่งฟู่หรานกลับใจเย็นอย่างน่าประหลาด

ในดวงตาทั้งสองของเขาถึงกับปรากฏความฮึกเหิม

องค์ราชาแห่งฟู่หรานยื่นสองมืออกไปด้านหน้า ส่งเสียงคำรามต่ำ ลายแสงของค่ายกลที่ปกคลุมเมืองสินธุเสถียรสั่นไหวเหมือนกับระลอกน้ำ ครอบคลุมศีรษะที่ขาดไปและร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บของอาชาเพลิงพยศ

แต่ว่าพ่านพ่านพลันคำรามขึ้นเช่นกัน ก่อนจะฟาดใส่ศีรษะอีกข้างหนึ่งของอาชาเพลิงพยศจนกระเด็น!

ลายแสงหลายสายที่หมุนวนบนค่ายกลแหลกสลายอย่างต่อเนื่องเพราะฝีมือของพ่านพ่าน

องค์ราชาแห่งฟู่หรานเห็นภาพนี้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาเหาะจากเหนือพระราชวัง พุ่งมาหาพ่านพ่านกับอาชาเพลิงพยศ

ในตอนนี้ พ่านพ่านยืนจังก้าอยู่บนพื้น ยกขาหลังของตัวเองข้างหนึ่ง จากนั้นก็กระทืบใส่ร่างของอาชาเพลิงพยศที่เหลือศีรษะแค่สองข้าง

อาชาเพลิงพยศส่งเสียงร้องขึ้น เต็มไปด้วยความเจ็บปวด เพราะถูกพ่านพ่านเหยียบไว้มิอาจเคลื่อนไหว

ร่างแสงของม้าสามหัวขนาดยักษ์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ครอบคลุมร่างขององค์ราชาแห่งฟู่หราน กีบเท้าทั้งสี่ควบตะบึงดั่งสายลม พุ่งเข้ามาโดยเท้าแทบไม่ติดพื้น

ท่ามกลางพายุสีดำ เยี่ยนจ้าวเกอเห็นดังนั้นก็ยักไหล่เล็กน้อย “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ทราบว่าท่านคิดอะไรกันแน่ แต่พวกข้าไม่คู่ควรกับบุญคุณของท่านหรอก”

พ่านพ่านคำราม น้ำสีดำหลายสายปรากฏขึ้น กลายเป็นกำแพงขวางอยู่เบื้องหน้าองค์ราชาแห่งฟู่หราน

ม้าสามหัวขนาดยักษ์ตัวนั้นชนใส่กำแพงน้ำสีดำอย่างจัง มันส่งเสียงร้องโหยหวน ลำแสงหลายสายแหลกสลาย มิอาจทำลายกำแพงน้ำได้

ในขณะเดียวกัน พ่านพ่านเพิ่มแรงเหยียบอีกครั้ง พลังอันบ้าคลั่งเหยียบย่ำลงด้านล่าง พื้นดินแตกร้าวไปทั่วสี่ทิศอย่างต่อเนื่อง

กระดูกอกของอาชาเพลิงพยศหัก ศีรษะสองข้างที่เหลืออยู่มีเลือดสดๆ พวยพุ่ง เปลวไฟที่หมุนวนอยู่ทั่วร่างใกล้จะดับมอดลง

อาหู่กล่าวว่า “ไปแล้ว”

พายุสีดำม้วนพ่านพ่านไว้อีกครั้ง มันกะพริบตาปริบๆ ร่างกายขนาดยักษ์หดตัวลงอีกหนหนึ่ง ก่อนจะหายเข้าไปในพายุสีดำอย่างรวดเร็ว

องค์ราชาแห่งฟู่หรานมีสีหน้าเขียวคล้ำ แต่ไม่คิดจะไล่ตามอีก เขารีบพุ่งลงไปด้านข้างอาชาเพลิงพยศที่หายใจรวยริน คิดจะรักษาชีวิตมันเอาไว้

ผู้อาวุโสหรงในตอนนี้ต้องหยุดฝีเท้าลงอย่างจนปัญญา มองทิศทางที่พายุสีดำหายไป ไม่พูดอะไรอยู่เนิ่นนาน

องค์รัชทายาทแห่งฟู่หรานและผู้บัญชาการทัพง้าวแดงล้วนมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก

ไม่เพียงแต่ทัพง้าวแดงจะถูกอีกฝ่ายทำลายไปได้ง่ายๆ เท่านั้น แม้แต่องค์ราชาออกฌานมาไล่ตาม ใช้ค่ายกลครอบคลุมเมืองสินธุเสถียรด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่อาจหยุดอีกฝ่ายได้

องค์ราชาอุตส่าห์ปล่อยสัตว์คุ้มครองประเทศ อาชาเพลิงพยศสามหัวออกมา แต่สุดท้ายถูกปี่เซียะภูเขาของอีกฝ่ายทำร้ายแทบปางตายในไม่กี่กระบวนท่า

ในสถานการณ์ที่สูญเสียอย่างหนักหน่วงเช่นนี้ กลับจับเส้นขนของอีกฝ่ายไม่ได้แม้แต่เส้นเดียว

นี่ทำให้ทุกคนในประเทศฟู่หรานเต็มไปด้วยความคับข้องใจ และเริ่มเกิดความรู้สึกหวาดกลัว

องค์รัชทายาทแห่งประเทศจื่ออวี๋เห็นเมืองสินธุเสถียรมีสภาพย่ำแย่เหมือนขนไก่ที่ร่วงเต็มพื้น ย่อมรู้สึกยินดีอย่างเงียบๆ แต่ว่าจิตใจของเขากลับสั่นสะท้านเล็กน้อย ‘พลังแห่งฟู่หรานเหนือความคาดหมาย ถ้าหากไม่ใช่เพราะคนต่างแดนที่มีประวัติความเป็นมาไม่ชัดเจน ประเทศจื่ออวี๋คิดจะเปิดสงครามกับประเทศฟู่หราน เห็นทีจะเสียเปรียบ’

คิดถึงตรงนี้ องค์รัชทายาทแห่งประเทศจื่ออวี๋พลันรู้สึกหวาดกลัว ‘คนต่างแดนเหล่านี้มาจากที่ใดกันแน่ เกี่ยวข้องกับสำนักกระเรียนหิมะจริงๆ หรือ แต่สำนักกระเรียนหิมะไม่มีพลังที่แข็งแกร่งปานนี้กระมัง…’

‘ต้องรีบกลับไปแจ้งเสด็จพ่อ ถึงแม้ว่าตอนนี้พวกคนต่างแดนจะตอแยสำนักเมฆาโลหิต แต่ประเทศจื่ออวี๋ก็ต้องระวังตัวไว้ ก่อนที่พวกเขายังไม่ถูกสำนักเมฆาโลหิตฆ่าทิ้ง ประเทศจื่ออวี๋มิอาจมีเรื่องกับพวกมันได้ ไม่อย่างนั้นฟู่หรานย่อมต้องเป็นบทเรียนที่ประเทศของเราได้เจริญรอยตามแน่’

องค์รัชทายาทแห่งประเทศจื่ออวี๋คำนวณอย่างต่อเนื่อง ทว่าเมื่อเขาเห็นเงาหลังที่เหมือนกับแก่ลงกว่าเดิมของผู้อาวุโสหรง ในใจของเขาพลันเกิดความคิด ‘แต่สำนักเมฆาโลหิตจะจัดการคนต่างแดนเหล่านั้นได้จริงๆ หรือ’

เมื่ออกจากเมืองสินธุเสถียรแล้ว เยี่ยนจ้าวเกอก็หันหลังกลับไปมอง เห็นภายในเมืองมีลำแสงสีเลือดหลายสายพุ่งขึ้นฟ้า เบ่งบานเป็นกลุ่มแสงมากมายกลางอากาศ

‘ส่งสัญญาณให้คนในสำนักเมฆาโลหิตที่อยู่ใกล้ๆ มาช่วยเหลือหรือ’ เยี่ยนจ้าวเกอยิ้มอย่างไม่สนใจ

พวกเกาฟ่างในตอนนี้ตกตะลึงจนชินชาหมดแล้ว

พวกเขาพลันรู้สึกว่า ความกังวลก่อนหน้าของพวกตนเป็นการคิดไปเองโดยแท้

คนอย่างเยี่ยนจ้าวเกอคิดจะรับใช้องค์รัชทายาทแห่งฟู่หรานหรือ?

ล้อเล่นหรืออย่างไรกัน!

ครั้นนึกถึงตอนแรกที่พวกตนคิดเป็นศัตรูกับบุคคลเช่นนี้ พวกเกาฟ่างเกิดความคิดอยากจะเอาศีรษะกระแทกพื้นให้ตายไปเสีย

เยี่ยนจ้าวเกอมีสีหน้าเป็นปกติ พลางมองพวกเขาทั้งสองคน จู่ๆ ชายหนุ่มก็ถามขึ้น “หรงจื้อเมื่อครู่นับว่ามีพลังในระดับไหนในสำนักเมฆาโลหิต”

พวกเกาฟ่างสะดุ้งโหยง ต่างฝ่ายต่างมองหน้ากัน ก่อนที่บัณฑิตวัยกลางคนจะเป็นฝ่ายตอบอย่างระมัดระวัง “สำนักเมฆโลหิตมียอดฝีมือมากมายดุจหมู่เมฆ พวกเราไม่แน่ใจนัก ถึงอย่างไรระดับของพวกผุ้อาวุโสหรงก็สูงกว่าพวกเรามาก”

“แต่ยืนยันได้ว่า คนที่มีพลังฝึกปรือสู่งส่งกว่าผู้อาวุโสหรงมีอยู่ไม่น้อย”

เยี่ยนจ้าวเกอตอบด้วยรอยยิ้ม “ข้าอยากทราบสิ่งที่พวกท่านรู้ บอกข้ามาเถอะ ข้าเชื่อว่าพวกท่านน่าจะไม่โกหกข้ากระมัง”

บัณฑิตวัยกลางคนกับเกาฟ่างได้ยินแล้วล้วนยิ้มเฝื่อน พยักหน้าพร้อมกัน

หลังจากถามตอบได้ครู่หนึ่ง บนใบหน้าของเยี่ยนจ้าวเกอก็เกิดความแปลกใจขึ้นเล็กน้อย พึมพำว่า “ผิดปกติอยู่บ้างจริงๆ”

หลังจากไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มก็สลัดความคิด แล้วหันไปมองอาหู่ พร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พัดห้องให้ลอยตลอดเช่นนี้ รู้สึกอย่างไรบ้าง?”

อาหู่ยิ้มซื่อ “หากทำเช่นนี้ไปนานๆ ก็กินแรงอยู่บ้างขอรับ…”

เยี่ยนจ้าวเกอโบกมือ “เจ้าหมดแรงมิใช่ประเด็นสำคัญ สำคัญที่เคลื่อนที่ช้าเกินไป พวกเรากำลังรีบอยู่”

ชายร่างใหญ่ได้ยินดังนั้น เขาพลันสั่นสะเทือนพลังด้านล่าง ห้องทั้งหมดแหลกสลายในชั่วพริบตา

เขามองไปยังพวกเกาฟ่างที่ไม่มีความคิดขัดขืนอีกต่อไป “คุณชายจะจัดการสองคนนี้อย่างไรหรือขอรับ”

ชายหนุ่มเกอตอบ “แล้วแต่เจ้าแล้วกัน”

อีกฝ่ายได้ยินแล้วก็พยักหน้า ใช้มือหิ้วพวกเกาฟ่างออกห่างไปไกลในชั่วพริบตา ผ่านไปพักหนึ่งค่อยกลับมาสมทบกับพวกเยี่ยนจ้าวเกออีกครั้ง

“หมายความว่าต่อจากนี้พวกเราจะไปสำนักกระเรียนหิมะใช่หรือไม่” สวีเฟยถาม

เมื่อได้ฟังคำอธิบายของเยี่ยนจ้าวเกอ พวกเฟิงอวิ๋นเซิงและสวีเฟยก็สนใจสำนักกระเรียนหิมะขึ้นมา

เยี่ยนจ้าวเกอกล่าว “ถูกต้อง ไปดูสถานการณ์ก่อนค่อยว่ากัน”

ก่อนหน้านี้เยี่ยนจ้าวเกอรู้ที่อยู่ของสำนักกระเรียนหิมะและสำนักเขามังกรเขียวแล้ว ทั้งสองสำนักอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศฟู่หราน ทว่าห่างออกไปไกลมากทีเดียว จำเป็นต้องข้ามอาณาเขตของหลายประเทศ

พวกเยี่ยนจ้าวเกอเหาะไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือด้วยความเร็วสูงสุด

เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่เมืองสินธุเสถียร ถึงแม้ว่าสำนักเมฆาโลหิตจะปิดข่าวอย่างเต็มที่ แต่ก็แพร่งพรายไปทั่วอย่างรวดเร็ว

เมื่อสำนักเมฆาโลหิตได้รับข่าวแล้ว ยอดฝีมือจำนวนมากก็ออกเคลื่อนไหว เริ่มเสาะหาร่องรอยของพวกเยี่ยนจ้าวเกอ

โลกลอยน้ำที่โกลาหลอยู่แล้ว ยิ่งเกิดความปั่นป่วนเพิ่มเข้าไปอีก