จักรพรรดิเทพมังกร – บทที่ 925 : สามตระกูลเก่าแก่!
  และคืนนั้นก็ผ่านไปด้วยความสงบตลอดทั้งคืน..
  ในเช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น..ทุกคนในบ้านต่างก็ตื่นขึ้นมาฝึกวิชาในสวนกันตั้งแต่เช้า หลิงหยุนเลือกที่จะฝึกที่เดิม จึงกระโดดขึ้นไปยืนบนหลังคาบ้าน แล้วหันหน้าไปทางทิศตะวันออกก่อนจะเริ่มฝึกวิชาดาราคุ้มกาย..
  สิ่งสำคัญของการฝึกวิชาดาราคุ้มกายนั้นก็คือการดูดซับเอาพลังสุริยะพลังจันทรา และพลังดวงดาวนับล้านๆ ดวงบนท้องฟ้าเข้าไปในร่างกาย และไม่มีเส้นทางลัดอื่นใดทั้งสิ้น..
  ระหว่างนั้นจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนก็ตรวจพบร่างของฉินตงเฉี่วยและไป๋เซียนเอ๋อ ซึ่งกำลังฝึกฝนอย่างเอาจริงเอาจัง แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนก็สังเกตเห็นว่าหญิงสาวทั้งสองคนนั้นคอยเหลือบมองมาเขาอยู่เป็นครั้งคราว แววตาของทั้งคู่นั้นบ่งบอกว่ากำลังสับสน และเต็มไปด้วยคำถาม แต่หลิงหยุนก็แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นเพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการฝึกฝนของพวกนาง..
  วันนี้ตลอดทั้งวันหลิงหยุนอยู่แต่ในบ้านเลขที่-1ไม่ได้ออกไปใหน นอกเหนือจากการดื่มกินอย่างมีความสุข เขาก็ได้ให้คำแนะนำในการฝึกฝนวิชากับหนิงหลิงยู่ และเหมี่ยวเสี่ยวเหมา หลิงหยุนคาดว่าทั้งคู่คงจะสามารถเข้าสู่ขั้นต่อไปได้ในอีกไม่นานนัก
  แต่แน่นอนว่าหลิงหยุนเองก็ไม่ได้ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์เขาได้เข้าไปท่องโลกอินเทอร์เน็ต และพบว่าเวลานี้เรื่องราวของตนเองนั้นกำลังร้อนแรง และเป็นที่กล่าวขวัญอย่างมาก ไม่เพียงในทีวี แต่ทั่วทั้งโลกอินเทอร์เน็ตต่างก็พูดถึงเรื่องของตนเอง..
  ดูเหมือนครั้งนี้ทางการจะไม่ได้ลบคลิปวีดีโอการแสดงมายากลของเขามันจึงได้แพร่หลายไปบนโลกอินเทอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็ว..
  นั่นเพราะครั้งนี้ทางรัฐบาลไม่ได้ลบคลิปวีดีโอมายากลของหลิงหยุนคลิปนี้จึงได้แพร่หลายไปทั่วในโลกอินเทอร์เน็ตอย่างรวดเร็ว
  เวลานี้หลิงหยุนได้รับฉายาว่า‘ปรมาจารย์แห่งวงการมายากล’ และมีผู้คนชื่นชอบมากมาย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีกลุ่มแฟนคลับตัวยงที่ได้รวมตัวกันโพสถึงหลิงหยุนด้วย และภายในเวลาเพียงแค่วันเดียว ความนิยมในตัวของหลิงหยุนก็พุ่งพรวดขึ้นอย่างน่าตกตะลึง และกลายเป็นที่จับตามองของผู้คน
  ก่อนอาหารเย็น..ถังเมิ่งก็วิ่งหน้าตื่นออกมาจากห้องนอนของหลิงหยุน พร้อมกับร้องตะโกนด้วยความตื่นเต้น
  “พี่หยุน..พี่ดังใหญ่แล้ว! ตอนนี้พี่กลายเป็นเซลิบริตี้คนดังไปแล้ว เราต้องรีบฉวยโอกาสนี้ไว้ ว่าแต่พี่มีแอคเคาน์ใน Weibo หรือยัง”
  หลิงหยุนยกมือขึ้นเขกหัวถังเมิ่งพร้อมกับพูดขึ้นว่า“นี่นายคิดว่าฉันอยากจะเป็นคนดัง เป็นคนมีชื่อเสียงงั้นเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะต้องการดึงดูดความสนใจของศัตรู ฉันคงไม่เสียเวลาไปเล่นมายากลออกทีวีหรอก แล้วก็หยุดความคิดของนายไว้แค่นั้นเลย ห้ามทำอะไรมากไปกว่านี้เด็ดขาด!”
  ถังเมิ่งได้ฟังถึงกับน้ำตาตกเขาตีอกชกหัวพร้อมกับร้องออกไปอย่างเสียดาย “โธ่เอ๋ย.. รายได้ของฉัน.. เงินของฉัน.. ทุกอย่างพังทลายในพริบตา..”
  ในความคิดของถังเมิ่งนั้น..ชื่อเสียงเท่ากับรายได้! เพียงแค่หลิงหยุนตอบตกลงเท่านั้น เขาก็สามารถจ้างทีมงานมืออาชีพมาช่วยโปรโมต และหลังจากนั้นหลิงหยุนก็จะกลายเป็นต้นไม้เงินต้นไม้ทองที่สามารถเก็บเกี่ยวได้ทันที!
  ในยุคสมัยนี้อะไรที่มีค่าที่สุดงั้นหรือแน่นอนว่าต้องเป็นชื่อเสียงและความเป็นที่นิยม!
  หลิงหยุนไม่สนใจกับไอเดียของถังเมิ่งเพราะเขาเองก็ยังไม่ได้ขาดแคลนเงินทองอะไร อีกทั้งเขาเองก็ไม่ได้ต้องการชื่อเสียงจอมปลอมเหล่านั้นด้วย!
  จุดประสงค์ของเขาก็เพียงเพื่อป่าวประกาศให้กับเหล่าศัตรูได้รู้ว่าหากต้องการพบกับเขาให้ไปที่เขาเซียนเหยินหลิงเท่านั้นเอง..
  หลังจากรับประทานอาหารเย็นเรียบร้อยและร่ำลาฉินตงเฉี่วยกับหญิงสาวคนอื่นๆแล้ว หลิงหยุนกับเจสเตอร์ก็ออกเดินทางไปเซียนเหยินหลิงอีกครั้ง
  แต่ครั้งนี้ฉินตงเฉี่วยกลับรู้สึกกังวลใจมากกว่าครั้งแรกเธอได้แต่ร้องเตือนหลิงหยุนด้วยความเป็นห่วงเป็นใย
  “เจ้าเด็กดื้อ..คืนนี้แตกต่างจากคืนก่อนมาก! เมื่อคืนเจ้าเผชิญกับศัตรูซึ่งหน้า แต่นับจากคืนนี้ไปศัตรูอาจใช้วิธีซุ่มโจมตีเจ้าแทน พวกมันต่างก็ต้องการเห็นเจ้าถูกสังหาร!”
  เรื่องง่ายๆและตื้นเขินเพียงแค่นี้ มีหรือที่หลิงหยุนจะคิดไม่ได้ เพียงแต่เขาไม่ได้รู้สึกหวาดกลัว จึงได้ตอบฉินตงเฉี่วย และหญิงสาวคนอื่นๆ กลับไปด้วยสีหน้าท่าทางที่สงบนิ่งเช่นเคย
  “น้าหญิง..ท่านอย่าได้กังวลใจไป! หากพวกมันใช้วิธีซุ่มโจมตีข้า ข้าก็จะให้พวกมันเห็นกับตาว่าใครกันแน่ที่จะเป็นฝ่ายถูกสังหาร!”
  แม้ว่าฉินตงเฉี่วยจะรู้สึกกังวลใจแต่นางก็รับรู้ถึงความสามารถ และความแข็งแกร่งของหลิงหยุนดี อีกทั้งยังมั่นใจว่าหลิงหยุนจะสามารถเอาตัวรอดกลับมาได้ นางจึงไม่คิดที่จะรั้งหลิงหยุนไว้..
  ครั้งนี้..หลิงหยุนกับเจสเตอร์ไม่ได้ขับรถไป ทั้งคู่ตรงไปยังเขามังกรก่อน จากนั้นเจสเตอร์จึงค่อยกลายร่างเป็นนกยักษ์ให้หลิงหยุนกระโดดขึ้นไปยืนบนแผ่นหลัง แล้วจึงถลาแล่นลมมุ่งหน้าสู่เทือกเขาเซียนเหยินหลิง..
  “เจสเตอร์..ทันทีทิ่บินพ้นตัวเมืองไป เจ้ามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือก่อน ข้าต้องการไปสำรวจดู!”
  ในเมื่อได้ทราบข่าวจากสำนักงานรักษาความมั่นคงว่ารถสีฟ้าน้ำทะเลได้ขับมุ่งหน้าไปในทิศทางนั้น หลิงหยุนจึงต้องการที่จะไปสำรวจดูสักหน่อย..
  หลินเมิ่งหานกับเหยาลู่นั้นหายตัวไปนานถึงสองวันสองคืนแล้วจะพูดว่าหลิงหยุนไม่นึกกังวลใจ และเป็นห่วงพวกนางเลยก็ไม่ถูกต้องนัก! เพียงแต่เมื่อยู่ที่บ้าน หลิงหยุนไม่ต้องการแสดงให้ผู้อื่นเห็นถึงความหวั่นไหวในจิตใจของตนเองเท่านั้น
  เมื่อบินออกนอกเมืองไปทางทิศตะวันตกแล้วเจสเตอร์จึงบินเลี้ยวไปทางทิศเหนือมุ่งหน้าไปยังเทือกเขายาวทันที
  เทือกเขาแถบทิศตะวันตกเฉียงเหนือของเมืองจิงฉูนั้นแตกต่างจากเทือกเขาเซียนเหยินหลิง เพราะเขาในเทือกเขาแห่งนี้ล้วนสูงไม่เกินห้าร้อยเมตร อีกทั้งยังมีหมู่บ้านอยู่มากมาย กลางคืนจึงมีแสงสว่างจากบ้านเรือนสว่างไสวไปทั่วทุกหนทุกแห่ง แต่ก็ยังให้ความรู้สึกสงบ..
  แต่การจะค้นหาหลินเมิ่งหานกับเหยาลู่ในเทือกเขาที่กว้างใหญ่เช่นนี้ก็ไม่ต่างจากการงมเข็มในมหาสมุทร หลิงหยุนจึงต้องเลิกล้มความคิดไป แล้วมุ่งหน้าไปยังเทือกเขาเซียนเหยินหลิงแทน
  แต่เรื่องนี้ก็ได้ทำให้หลิงหยุนหงุดหงิดใจและโกรธแค้นอย่างมาก เขาตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องถอนรากถอนโคนองค์การนักฆ่านี้ให้สิ้นซาก..
  ‘ในเมื่อกล้ายุ่งกับผู้หญิงของเขามันก็ต้องพบกับความหายนะ!’
  หลังจากผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง..หลิงหยุนกับเจสเตอร์ก็มาถึงเทือกเขาเซียนเหยินหลิง และบินขึ้นไปบนยอดเขาแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ถัดจากยอดเขาเทียนเหมาเฟิงทันที!
  “เจ้านายที่เคารพ..พวกเราจะทำอะไรต่อดี” เจสเตอร์ร้องถามหลิงหยุนทันที
  หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับตอบเสียงเบา“นี่เจ้าไม่เหนื่อยบ้างเลยหรืออย่างไรเจสเตอร์! นั่งพักผ่อนเอาแรงกันก่อนดีกว่า..”
  หลังจากนั้น..หลิงหยุนก็รีบนั่งลงขัดสมาธิ และเริ่มดูดซับเอาพลังชีวิตจากต้นไม้ใบหญ้าในป่าเข้าไปในร่างกาย
  และระหว่างนั้นหลิงหยุนก็ไม่ลืมที่จะฝึกวิชาพฤกษาขจีไปด้วยในพื้นที่ซึ่งเป็นป่าทึบหนาแน่นเช่นนี้ ย่อมมีผลต่อความก้าวหน้าของการฝึกวิชาพฤกษาขจี..
  โลกมนุษย์ไม่ใช่โลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่..ดังนั้นไม่ว่าจะฝึกฝนวิชาอะไร การเลือกสถานที่ฝึกจึงเป็นสิ่งที่หลิงหยุนให้ความสำคัญอย่างยิ่ง..
  อีกทั้งในขั้นปรับร่างกายก็ยังต้องการพลังชีวิตน้อยกว่ามากหากเทียบกับขั้นพลังชี่หลิงหยุนออกไปฝึกฝนในค่ายกลหลุมพลัง ดูดซับเอาพลังชีวิตจากหินพลังชีวิต รวมทั้งดื่มน้ำลายมังกรช่วย และยังได้ดูดลมปราณขั้นเซียงเทียนของยอดฝีมือเข้าไปตั้งมากมาย แต่จนป่านนี้เขาก็ยังไม่เข้าสู่ขั้นพลังชี่เสียที หลิงหยุนเองก็ได้แต่นึกสงสัยอยู่ในใจ!
  ‘กลั่นโอสถ..ข้าคงต้องพึ่งพาการกลั่นโอสถ!’novel-lucky
  เวลานี้..นอกเหนือจากการฝึกวิชาดาราคุ้มกาย หลิงหยุนก็จะเพิ่มการฝึกฝนวิชาพฤกษาขจีเข้ามาด้วย เพื่อเตรียมพร้อมกับการกลั่นโอสถหลังจากเข้าสู่ขั้นพลังชี่..
  ยันต์นั้นช่วยหลิงหยุนได้มากในการต่อสู้และการรักษา ในขณะที่โอสถต่างๆ นั้นจะช่วยเขาในเรื่องของการสร้างความแข็งแกร่งของลมปราณ และเพิ่มระดับขั้นของการบ่มเพาะ
  ทั้งคู่นั่งพักบนยอดเขานานร่วมหนึ่งชั่วโมงแล้วหลิงหยุนจึงลุกขึ้นพร้อมกับร้องถามเจสเตอร์ว่า
  “เจสเตอร์..เจ้าพักผ่อนเพียงพอแล้วหรือยัง หากพร้อมแล้ว.. ก็เตรียมตัวเข้าสู่สนามต่อสู้กันได้แล้ว!”
  เจสเตอร์ตอบกลับทันที“เจ้านายที่เคารพ.. เจสเตอร์ได้พักผ่อนตลอดกลางวันมาแล้ว อีกอย่างเวลาค่ำคืนก็เป็นเวลาตื่นนอนของเหล่าแวมไพร์ ข้าจึงไม่รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย!”
  หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับใช้มังกรคำรามร้องตะโกนออกไป“หลิงหยุนมาแล้ว!”
  เสียงร้องตะโกนของหลิงหยุนดังกระหึ่มไปทั่วทั้งหุบเขาเหล่านกกาที่ได้ยินต่างก็ตกอกตกใจ และพากันโบยบินหนีไปทันที..
  หลังจากร้องตะโกนออกไปแล้วหลิงหยุนก็หันไปยิ้มให้กับเจสเตอร์ และพูดขึ้นว่า “เอาล่ะ.. รอที่นี่สักครู่ก่อน มีคนกำลังมาแล้ว.. อยู่เล่นกับพวกมันก่อนแล้วค่อยไปที่ยอดเขาเทียนเหมาเฟิง!”
  ดูเหมือนว่าบนยอดเขาเทียนเหมาเฟิงนั้นจะเป็นสถานที่ที่หลิงหยุนตั้งใจจะให้เป็นสนามต่อสู้ที่แท้จริงเท่านั้น..
  ฟรึบ..ฟรึบ.. ฟรึบ..
  เสียงผู้คนวิ่งออกมาจากป่าทึบหลิงหยุนเห็นร่างสีดำมากมายกำลังกระโจนไปตามยอดไม้อย่างรวดเร็ว และจากวิชาตัวเบาของพวกมันนั้น ทำให้รู้ว่าแต่ละคนล้วนเป็นยอดฝีมือทั้งสิ้น..
  “ศัตรูของข้ากำลังมาแล้ว..เจสเตอร์! เจ้ามีหน้าที่ดูแลตัวเอง แล้วก็ทำหน้าที่เป็นยานพาหนะให้กับข้าเท่านั้นพอ!”
  หลังจากร้องบอกเจสเตอร์ให้ฮึกเหิมแล้วหลิงหยุนก็ยืนเอามือไขว้หลังนิ่ง และกำลังยืนรอศัตรูอยู่ด้านหลังก้อนหินใหญ่
  เงาดำสามเงาปรากฏขึ้นท่ามกลางความมืดและทันทีที่พบหลิงหยุน พวกมันก็ร้องตะโกนออกไปทันที
  “พบแล้ว..หลิงหยุนอยู่ที่นี่!”
  ระหว่างที่ร้องตะโกนออกไปนั้น..ร่างของยอดฝีมือทั้งสามคนก็กระโดดไปยืนอยู่ด้านหลังของหลิงหยุน..
  ทางด้านหลิงหยุนที่ยืนเอามือไขว้หลังก็ค่อยๆ หันกลับมาอย่างช้าๆ พร้อมกับรอยยิ้มที่แสนเย็นชา แล้วจึงร้องถามออกไป..
  “ข้า– หลิงหยุน.. อยู่ที่นี่แล้ว! พวกเจ้าเป็นใครกัน”
  “ข้า..ชางกวนเฉิง แห่งตระกูลชางกวน!”
  “ข้า..ซีเหมินเต๋อ แห่งตระกูลซีเหมิน!”
  “และข้า..หนานกงจาง แห่งตระกูลหนานกง!”
  ยอดฝีมือทั้งสามคนต่างก็รายงานตัวตามกฎของยุทธภพ..
  หลิงหยุนพยักหน้ารับรู้แล้วจึงตอบกลับไปว่า “นึกว่าใครที่ใหน ที่แท้ก็คนของตระกูลเก่าแก่ทั้งสามนั่นเอง! เหตุใดพวกเจ้าจึงต้องการเข้าร่วมสนุกในครั้งนี้ด้วยงั้นรึ?”
  ชางกวนเฉิงเองก็ไม่คิดที่จะปิดบังและร้องตะโกนบอกหลิงหยุนออกไปตามตรง “หลิงหยุน.. พวกเรามาที่นี่เพื่อสอบถามเจ้าสักสองสามเรื่อง!”
  หลิงหยุนคร้านที่จะพูดไร้สารระจึงตอบกลับ“มีอะไรก็พูดมา..”
  ชางกวนเฉิงขมวดคิ้วเล็กน้อยและไม่พอใจที่หลิงหยุนพูดจากับตนเองด้วยน้ำเสียงที่ห้วน และไม่ให้เกียรติตนเองในฐานะที่เป็นคนของตระกูลเก่าแก่เลยแม้แต่น้อย..
  ซีเหมินเต๋อกับหนานกงจางเองก็รู้สึกเช่นเดียวกันทั้งคู่ต่างก็ไม่ชอบ และไม่พอใจกับท่าทีการแสดงออกของหลิงหยุน
  “เจ้าเด็กหลิงหยุน..เจ้ามันยะโสโอหังเกินไปแล้ว! พี่ชางกวนแค่ต้องการสอบถามเจ้านิดหน่อย แต่เจ้ากลับใช้น้ำเสียงเช่นนี้กับพวกเรางั้นรึ”
  หลิงหยุนถึงกับแค่นหัวเราะพร้อมตอบกลับไปว่า“นี่นับว่าข้ามีมารยาทกับพวกเจ้ามากแล้วนะ! ไม่เช่นนั้นป่านนี้วิญญาณของพวกเจ้าคงหลุดจากร่างไปแล้ว หรือพวกเจ้าคิดว่าข้าต้องเคารพเกรงกลัวพวกเจ้างั้นรึ”
  หลิงหยุนพูดต่ออย่างไม่แยแส“พวกเจ้าอยากจะถามอะไรข้าก็รีบๆ ถามมา อย่าพล่ามไร้สาระ! หรือถ้าพวกเจ้าไม่พอใจ จะสู้กันก่อนแล้วค่อยถามก็ได้..”
  ยะโสโอหังจองหอง แล้วก็ทะนงตัวมากเกินไปแล้ว!
  ใบหน้าของชางกวนเฉิงเปลี่ยนเป็นแดงด้วยความโมโหทันทีและร้องถามออกไปอย่างไม่พอใจ “หลิงหยุน.. บอกมาว่าเจ้าเคยลงไปที่หลุมยักษ์หรือไม่”
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมตอบไปตามความจริง“เฮ้อ.. เรื่องน่าเบื่ออีกแล้วสินะ! พวกเจ้ามารอข้าทั้งคืนเพื่อที่ถามเรื่องน่ารำคาญนี่น่ะหรือ หากเจ้าจะถามเรื่องแค่นี้ เหตุใดไม่กลับไปที่ตัวเมือง แล้วหาร้านกาแฟนั่งคุยกันเล่า?”
  จากนั้นหลิงหยุนก็ประกาศด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัด“ฟังให้ดี.. ข้าเคยไปที่หลุมยักษ์นั่น แล้วก็ได้พบกับคนจากตระกูลของพวกเจ้า ดูเหมือนจะชื่อชางกวนเจี๋วย.. ซีเหมินกัง.. แล้วก็หนานกงเจี้ยน..”
  “แต่ทุกคนล้วนตายกันหมดแล้ว!และข้าไม่ได้เป็นคนสังหารพวกมันด้วย แต่ทั้งหมดตายเพราะค่ายกลสังหารในหลุมยักษ์นั่น!”
จักรพรรดิเทพมังกร – บทที่ 926 : จุดประสงค์ที่แท้จริง!
  “อะไรนะ!นี่เจ้าเจี๋วยตายแล้วรึ?”
  ชางกวนเฉิงถึงกับร้องอุทานออกมาทันทีที่ได้ยินว่าลูกชายของตนเองเสียชีวิตแล้วร่างผอมของเขาสั่นสะท้าน และริมฝีปากก็เม้มเข้าหากันแน่น!
  “เจ้ากัง!”
  “เจ้าเจี้ยน!”
  ทั้งซีเหมินเต๋อและหนานกงจาง ต่างก็มีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเช่นกัน แล้วทั้งสามคนก็ร้องห่มร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ..
  ดังคำพูดว่า..สายสัมพันธ์พ่อลูกนั้นเชื่อมถึงกัน ลูกชายของพวกเขาต่างก็ลงไปสำรวจที่ก้นหลุมยักษ์ แต่จนป่านนี้ยังไม่มีผู้ใดกลับออกมา จึงไม่แปลกที่พ่อของพวกเขาจะมาไถ่ถามจากหลิงหยุน..
  แม้ว่าลูกๆของพวกเขาจะหายไปนานร่วมสามเดือน และแม้ว่าพวกเขาต่างก็ได้เตรียมใจยอมรับกับโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นแล้ว แต่นั่นคือสายเลือด.. เมื่อลูกชายสุดที่รักของตนเองต้องมาตายจากไปเช่นนี้ คนเป็นพ่อจะทำใจได้อย่างไรกัน
  หลิงหยุนยังคงยืนนิ่ง..แม้ว่าเรื่องเหล่านี้จะไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลยสักนิด แต่ความเจ็บปวดของชายผู้เป็นพ่อทั้งสามคนนั้น หลิงหยุนสามารถรับรู้ และเข้าใจได้เต็มอก!
  หลังจากที่ชางกวนเฉิงร้องไห้เสียใจไปแล้วเขาก็รวบรวมสติ และสงบจิตสงบใจ แต่แล้วจู่ๆ ก็ยกมือขึ้นชี้หน้าหลิงหยุนพร้อมกับร้องตะโกนถามเสียงดัง
  “แต่มีข่าวร่ำลือไปทั่วว่า..ตงฟางถิงแห่งตระกูลตงฟาง กับตู้กู่โม่แห่งตระกูลตู้กู่ ก็เข้าไปที่ก้นหลุมยักษ์นั่นด้วยเช่นกัน เหตุใดพวกเขาทั้งสองคนจึงไม่ตายด้วยค่ายกลสังหารเล่า”
  หลิงหยุนขมวดคิ้วพร้อมกับจ้องหน้าชางกวนเฉิง“หากเจ้าต้องการพูดจากับข้า ก็เก็บอาวุธของเจ้าซะ! ข้าไม่ชอบให้ผู้ใดใช้อาวุธชี้หน้าข้าเช่นนี้!”
  เมื่อเห็นชางกวนเฉิงยอมเก็บอาวุธในมือแต่โดยดีหลิงหยุนจึงตอบกลับด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
  “วันนี้นับว่าข้ายังอารมณ์ดี!”แล้วจึงพูดต่อทันที..
  “พวกเจ้าคิดว่าที่ก้นหลุมยักษ์เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยงั้นรึพวกเจ้าเองก็ควรจะรู้ด้วยว่าหากต้องการจะลงไปสำรวจหาสมบัติล้ำค่าที่นั่น ก็ควรต้องเตรียมการไว้ล่วงหน้าว่าจะต้องไปพบเจอกับอะไรบ้าง? หากรู้ตัวว่ายังแข็งแกร่งไม่พอ ก็ไม่ควรลงไปที่นั่น ลูกชายของพวกเจ้าไม่แข็งแกร่งเท่าตงฟางถิงกับตู้กู่โม่ พวกมันจึงถูกค่ายกลสังหารนั้นคร่าชีวิตไป!”
  “อ่อ..แล้วข้าจะบอกอะไรให้! เป็นเพราะความโลภ และความประมาทเลินเล่อของลูกชายเจ้า จึงทำให้ค่ายกลสังหารนั้นทำงาน แม้ข้าต้องการจะหยุด แต่ทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้ว!”
  “ทุกคนต่างก็รู้กันดีว่า..การลงไปหาสมบัติล้ำค่านั้น ล้วนขึ้นอยู่กับโชคชะตาและวาสนา ในเมื่อพวกมันไร้ซึ่งวาสนา จะตำหนิใครได้เล่า”
  หลิงหยุนอธิบายทุกอย่างชัดเจนเขาไม่ได้โกหก หรือพูดเกินจริงเลยแม้แต่คำเดียว.. ทุกอย่างล้วนป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นทั้งสิ้น!
  ยอดฝีมือทั้งสามนี้ล้วนมาจากตระกูลเก่าแก่และหลิงหยุนเองก็ไม่ได้มีความแค้นส่วนตัวกับตระกูลเหล่นี้ เขาจึงไม่ต้องการเป็นศัตรูกับทุกคนหากไม่จำเป็น
  แต่ถึงแม้จะอธิบายทุกอย่างไปตามความเป็นจริงแต่หลิงหยุนกลับไม่พูดออกมาแม้แต่คำเดียวว่า เขาเป็นคนช่วยตงฟางถิงกับตู้กู่โม่ให้รอดชีวิตจากค่ายกลนั่นได้ แต่กลับยกให้เป็นความสามารถของอีกฝ่ายแทน..
  หลังจากที่ได้ฟังคำอธิบายของหลิงหยุนชางกวนเฉิง ซีเหมินเต๋อ และหนานกงจางต่างก็หันไปมองหน้ากัน และดูเหมือนว่าทั้งสามคนกำลังครุ่นคิดว่าคำพูดของหลิงหยุนนั้นเชื่อถือได้หรือไม่
  หลังจากที่ชายผู้เป็นพ่อทั้งสามคนสื่อสารกันทางจิตอยู่ครู่ใหญ่ซีเหมินเต๋อจึงหันไปทางหลิงหยุนพร้อมกับถามขึ้นว่า
  “พวกเราต่างก็เห็นว่าเจ้าถือกระบี่โลหิตแดนใต้ออกทีวี!”
  หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับเรียกกระบี่โลหิตแดนใต้มาถือไว้ในมือเขาตวัดกระบี่ไปมา และตอบกลับไปว่า
  “ใช่แล้ว..มันคือกระบี่โลหิตแดนใต้! มีปัญหาอะไรงั้นรึ”
  สีหน้าของซีเหมินเต๋อถึงกับเปลี่ยนเป็นหวาดผวาทันทีเขาจ้องมองกระบี่โลหิตแดนใต้ในมือหลิงหยุนด้วยแววตาหวาดกลัว แล้วจึงพูดต่อว่า..
  “ผู้ใดที่ครอบครองกระบี่โลหิตแดนใต้มันผู้นั้นจะถูกนับว่าเป็นคนของพรรคมารทันที! แม้ว่าคนผู้นั้นจะไม่ใช่คนของพรรคมาร แต่หากยังครอบครองกระบี่มารเล่มนี้ไว้ ท้ายที่สุดมือของคนผู้นั้นก็จะเปื้อนไปด้วยเลือด และกลายเป็นผู้ที่ชื่นชอบการเข่นฆ่า ป่าเถื่อน และโหดร้าย!”
  หลิงหยุนตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่ยินดียินร้าย“งั้นรึ! แต่นั่นมันเรื่องของข้า ข้าไม่ได้ขอให้เจ้ามาช่วยตักเตือนข้า?”
  หนางกงจางถึงกับทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจ“แต่พวกเรากำลังสงสัยว่าที่ก้นหลุมยักษ์นั้นไม่ได้มีค่ายกลสังหารอยู่จริง และลูกชายของพวกเราสามคน ก็คงจะตายด้วยน้ำมือของเจ้า!”
  หลิงหยุนได้แต่ถอนหายใจแววตาของเขาบ่งบอกว่ากำลังหงุดหงิดรำคาญอย่างมาก ม่านตาเริ่มหดเล็กลง..
  ‘ช่างน่ารำคาญสิ้นดี!เห็นแก่ที่พวกเจ้าเจ็บปวดกับการสูญเสียลูกชาย ข้าจึงได้เมตตาอดทนอธิบายให้พวกเจ้าฟัง ข้าไม่น่าเสียเวลาพูดดีกับพวกเจ้าเลยสินะ’
  หลิงหยุนฉีกยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า“งั้นรึ เพียงแค่ข้าครอบครองกระบี่โลหิตแดนใต้ พวกเจ้าก็กล่าวหาข้าว่าเป็นคนกระหายเลือด และเพราะข้าครอบครองกระบี่โลหิตแดนใต้ พวกเจ้าจึงกล่าวหาว่าข้าสังหารลูกชายของพวกเจ้า..”
  ชางกวนเฉิงทำเสียงสูงอย่างไม่พอใจนัก“ถูกต้อง! เจ้าอาจจะพยายามเก็บเรื่องที่ตนเองครอบครองกระบี่โลหิตแดนใต้ไว้เป็นความลับ และเมื่อลูกๆของพวกเราพบความลับของเจ้าเข้า เจ้าก็เลยสังหารพวกเขาทิ้งซะ! หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะแย่งสมบัติล้ำค่ากัน.. แต่จะอะไรก็ตามพวกเราต่างก็คิดว่าเจ้ามีส่วนในการตายของพวกเขาทั้งสามคน!”
  หลิงหยุนถึงกับโมโหและได้แต่คิดว่าตรรกะบ้าๆ อะไรกัน! ช่างไร้สาระสิ้นดี! แล้วหลังจากนั้นหลิงหยุนจึงปิดปากเงียบ และไม่พูดอะไรอีกเลย..
  “เจ้ามีปีศาจอย่างแวมไพร์เป็นบริวารอีกทั้งทั้งตัวเจ้าเองก็ยังครอบครองกระบี่โลหิตแดนใต้ เช่นนี้แล้วจะให้พวกเราเชื่อถือคำพูดของเจ้าได้อย่างไรกัน”
  ชางกวนเฉิงหรี่ตาพร้อมกับเงยหน้าขึ้มองเจสเตอร์ที่บินอยู่เหนือศรีษะของหลิงหยุนพร้อมกับกระซิบด้วยเสียงเย็นชา..
  น้ำเสียงของชางกวนเฉิงนั้นบ่งบอกว่าเขาไม่มีทางปล่อยหลิงหยุนไปอย่างแน่นอนหลังจากนั้นก็มีเหล่ายอดฝีมือกระโดดออกมาจากหลังต้นไม้อีกมายมาย..
  แต่หลิงหยุนเพียงแค่เหลือบมองและคาดเดาว่าน่าจะเป็นคนของสามตระกูลนี้อย่างแน่นอน..
  หลิงหยุนยักคิ้วขึ้นสูงพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่ยี่หระ“หากพวกเจ้าไม่เชื่อคำพูดของข้า และคิดว่าข้าเป็นศัตรูที่สังหารลูกชายของพวกเจ้า ถ้าเช่นนั้นพวกเจ้าก็เข้ามาล้างแค้นข้าได้เลย!”
  ซีเหมินเต๋อถึงกับโกรธจนควันออกหูเมื่อได้ยินหลิงหยุนร้องตะโกนท้าทายเช่นนั้นเขายกมือขึ้นชี้หน้าหลิงหยุนพร้อมตอบกลับไปเสียงดัง
  “เจ้าเด็กน้อยแซ่หลิง..ในที่สุดเจ้าก็ยอมรับแล้วสินะ!”
  หลิงหยุนนิ่งเงียบและปล่อยให้ซีเหมินเต๋อพล่ามไปตามที่ใจต้องการ..
  ชางกวนเฉิงขมวดคิ้วริมฝีปากขยับไปมา ดูเหมือนว่ามันกำลังพูดผ่านกระแสจิตกับซีเหมินเต๋อ แล้วจึงร้องถามหลิงหยุนต่อ..
  “ข้ายังมีเรื่องที่จะถามเจ้าอีกหนึ่งเรื่อง..สมุดจักรพรรดิในตำนานอยู่กับเจ้าหรือไม่”
  หลิงหยุนได้แต่นึกหยัน..‘ในที่สุดพวกเจ้าก็เผยจุดประสงค์ที่แท้จริงออกมาแล้วสินะ! ที่แท้ก็กำลังตามหาสมุดจักรพรรดินั่นเอง..’
  และแน่นอนว่าหลิงหยุนไม่มีทางยอมรับอย่างเด็ดขาดว่าสมุดจักรพรรดินั้นอยู่กับตนเอง..
  “ข้าไม่พบสิ่งใดที่เกี่ยวกับสมุดจักรพรรดิที่เจ้าพูดถึงและไม่รู้ว่าสมุดจักรพรรดิคืออะไร พวกเจ้าถามผิดคนแล้ว!”
  สิ้นคำพูดของหลิงหยุน..ชายชุดดำที่อยู่ด้านหลังชางกวนเฉิงก็ร้องตะโกนขึ้นมา “พี่ใหญ่.. เจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมผู้นี้พูดจาไม่น่าเชื่อถือ พวกเรามากันตั้งมากมาย พี่ยังต้องคุยอะไรกับมันอีก จับตัวมันกลับไปแล้วค่อยเค้นถามจะดีกว่า!”
  ฟิ้ว!
  “อ๊าก!”
  สิ้นเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดร่างของชายชุดดำผู้นั้นก็ถูกตะปูซัดเข้ากลางหน้าผากขาดใจตายในทันที
  หลิงหยุนสังหารมันภายในเวลาเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว!
  “คิดจะเค้นถามข้า..เจ้าคู่ควรงั้นรึ รนหาที่ตายแท้ๆ!” หลังจากจัดการสังหารชายชุดดำแล้ว หลิงหยุนก็พูดอย่างเหยียดหยัน..
  “เหล่าชี!”
  ชางกวนเฉิงหันไปมองด้านหลังทันทีและพบว่า ‘เหล่าชี’ นั้นได้ฟุบลงไปกองกับพื้นแล้ว..
  “เจ้าเด็กชั่วช้าสามานย์..เวลานี้คำพูดของเจ้าเชื่อถือไม่ได้อีกแล้ว!”
  ชางกวนเฉิงยกมือขึ้นพร้อมกับร้องสั่งคนของตนเอง “นำตัวมันกลับไป!”
  ในเวลาเดียวกันนั้นซีเหมินเต๋อและหนางกงจางก็ยกมือขึ้นสั่งคนของตนเองด้วยเช่นกัน จากนั้นทุกคนต่างก็กระโดดเข้าไปล้อมร่างหลิงหยุนไว้ทันที
  แต่หลิงหยุนยังคงยืนนิ่งพร้อมกับถือกระบี่ไว้ในมือเขาจ้องมองยอดฝีมือที่ล้อมไว้อย่างไม่นึกเกรงกลัว หรือหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย
  และเมื่อยอดฝีมือราวหกเจ็ดคนจู่โจมเข้ามาใกล้หลิงหยุนจึงตวัดกระบี่ในมือ และเพียงแค่สัมผัสเข้ากับไอดำรอบกระบี่ ยอดฝีมือทั้งเจ็ดคนแม้จะไม่เสียชีวิต แต่ก็แขนหักบ้าง ขาหักบ้าง และที่โชคดีหน่อยก็แค่ถูกกระบี่ตัดอาวุธของตนเองขาดเท่านั้น!
  แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนก็ไม่ลังเล..เขาจัดการตวัดกระบี่กลับหลังทันที ด้วยความรุนแรง และอานุภาพของกระบี่โลหิตแดนใต้ ยอดฝีมือทั้งเจ็ดแปดคนต่างก็ถูกหลิงหยุนพรากวิญญาณออกจากร่าง โดยไม่มีโอกาสแม้แต่จะกรีดร้องออกมาด้วยซ้ำไป!
  “หลิงหยุน..นี่เจ้า..!”
  เมื่อเห็นร่างไร้วิญญาณของเหล่ายอดฝีมือร่วงลงพร้อมกันเช่นนี้ซีเหมินเต๋อจึงได้เข้าใจว่าเพราะเหตุใดหลิงหยุนจึงได้จองหอง และยะโสโอหังถึงเพียงนี้!
  “จิตใจของเจ้าช่างเหี้ยมโหดนัก!”
  ชางกวนเฉิงถึงกับนิ่งอึ้งไปเขาอยู่มาจนอายุห้าสิบปี ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก็มาก พบเห็นการต่อสู้แก้แค้นมามากมาย แต่ไม่เคยพบเจอใครที่เหมือนหลิงหยุนเลยแม้แต่คนเดียว!
  หลิงหยุนยิ้มบางพร้อมกับพูดขึ้นว่า“คิดเสียใจแล้วงั้นรึ เจ้าเป็นคนบีบบังคับให้ข้าทำเช่นนี้ นี่คือสิ่งที่พวกเจ้าเรียกร้องเองไม่ใช่รึ?”
  หลิงหยุนยกมือขึ้นชี้หน้าทั้งสามคนพร้อมกับพูดขึ้นว่า“พวกเจ้าอย่าเสียเวลาอีกเลย.. อยู่ที่นี่ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงกฎยุทธภพบ้าบออะไรอีก.. พวกเจ้าทั้งสามคนเข้ามาพร้อมกันเลย!”
  ชางกวนเฉิงซีเหมินเต๋อ และหนานกงจางต่างก็หันไปมองหน้ากันอีกครั้ง จากนั้นทั้งหมดก็พยักหน้า และชางกวนเฉิงก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมา
  “เจ้าเด็กยะโส..ไม่จำเป็นหรอก ข้าชางกวนเฉิงเพียงผู้เดียวก็สามารถจัดการกับเจ้าได้แล้ว!”
  จากนั้น..ร่างของชางกวนเฉิงก็หายไปทันที และไปปรากฏขึ้นอีกครั้งข้างกายหลิงหยุนห่างไปเพียงหนึ่งเมตรเท่านั้น!
  หลิงหยุนได้แต่กระหยิ่มยิ้มย่องแต่ก็นึกเสียดายเล็กน้อยที่เขาไม่สามารถมองเห็นขั้นกำลังภายในของอีกฝ่าย และได้แต่คาดเดาจากการประมือ..
  เมื่อเห็นว่าวิชาตัวเบาของชางกวนเฉิงนั้นไม่ได้เหนือไปกว่าวิชามังกรพรางร่างของตนเองแล้วหลิงหยุนจึงไม่ได้นึกหวาดเกรงแม้แต่น้อย..
  แสงสีเงินระยิบระยับจู่โจมเข้าที่ลำคอและต้นขาของหลิงหยุนพร้อมกัน ความเร็วของตะขอคู่นั้นนับว่าสร้างความอัศจรรย์ใจให้กับหลิงหยุนมาก..
  เคร้ง..เคร้ง..
  กระบี่สองเล่มในมือของหลิงหยุนสกัดกั้นตะขอคู่ที่ฟาดฟันลงมาที่ลำคอและต้นขาของตนเองไว้ จากนั้นจึงยกขาขึ้นเตะเข้าใส่ที่ท้องของชางกวนเฉิง!
  “แข็งแกร่งไม่เบาทีเดียว!”
  ชางกวนเฉิงถึงกับต้องร้องอุทานออกมาในขณะที่ร่างของมันกระโดดถอยออกไปให้พ้นรัศมีฝ่าเท้าของหลิงหยุนและถึงกับตกใจในพละกำลังของหลิงหยุนอย่างที่สุด..
  แต่หลิงหยุนเองก็นึกเสียดายไม่น้อยที่กระบี่วิเศษของตนเองนั้นไม่สามารถตัดตะขอคู่ของชางกวนเฉิงได้ เรียกได้ว่าไม่มีแม้แต่รอยบิ่นด้วยซ้ำไป..
  “ซีเหมิน..หนานกง.. เจ้าเด็กนี่เป็นปีศาจ! มันแข็งแกร่งมากเกินไป ข้าไม่สามารถจัดการกับมันเพียงลำพังได้!”
  ยอดฝีมือที่เหลือต่างก็ยกอาวุธในมือของตนเองขึ้นมาและต่างก็รู้ดีว่าควรทำเช่นไรต่อไป..
  หลังจากที่หลบลูกเตะของหลิงหยุนได้ชางกวนเฉิงจึงตัดสินใของความช่วยเหลือจากซีเหมินเต๋อ และหนานกงจางทันที เพราะรู้ว่าลำพังตนเองเพียงคนเดียวนั้นคงจะไม่สามารถเอาชนะหลิงหยุนได้อย่างแน่นอน!
  “นี่..พวกเจ้าคิดจะรุมเจ้านายของข้างั้นรึ ถ้าอย่างนั้นข้าก็ต้องร่วมสนุกด้วยแล้วสิ!” เจสเตอร์ร้องบอกพร้อมกับขยับปีลงมายืนข้างหลิงหยุนทันที
  “เจสเตอร์นี่เจ้าบินลงมาทำไมกัน ข้ารับมือกับพวกมันทั้งสามคนได้.. เจ้าไม่ต้องห่วง!”
  หลิงหยุนไม่ได้พบคู่ต่อสู้เช่นนี้มาเป็นเวลานานจึงรีบปฏิเสธความช่วยเหลือของเจสเตอร์ทันที!