จักรพรรดิเทพมังกร – บทที่ 929 : พบคู่ต่อสู้ที่แท้จริง!
หลิงหยุนกระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนแผ่นหลังของเจสเตอร์แล้วทั้งคู่ก็บินตรงขึ้นไปบนยอดเขาเทียนเหมาเฟิงทันที!
ระหว่างทางที่บินขึ้นบนยอดเขาเทียนเหมาเฟิงนั้นหลิงหยุนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหารที่ปกคลุมไปทั่วทั้งแผ่นฟ้า และผืนดิน!
กลิ่นอายสังหารที่รุนแรงนั้นดูเหมือนจะแผ่ซ่านออกมาจากยอดเขาเทียนเหมาเฟิงหลิงหยุนสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังอันโหดเหี้ยมรุนแรงที่กระจายอยู่โดยรอบ และรู้สึกเหมือนว่าบรรยากาศในค่ำคืนนี้จะเย็นยะเยือกเข้าไปถึงกระดูก!
ไม่เพียงหลิงหยุนเท่านั้นที่สัมผัสได้เจสเตอร์เองก็เช่นกัน!
“เจ้านายที่เคารพ..นี่มันประตูนรกหรือยังไง ข้ารู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก ดูนั่นสิเจ้านาย! เหมือนจะมีคนนั่งอยู่ตรงนั้นคนเดียวด้วยสิ!”
เจสเตอร์เป็นแวมไพร์มันจึงมีประสาทสัมผัสที่ดีกว่ามนุษย์มากนัก มันจึงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายสังหารที่รุนแรง และยิ่งบินสูงขึ้นไปมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งสัมผัสถึงอันตรายได้มากขึ้นเท่านั้น..
“ไม่ใช่ดูเหมือน..แต่มันมีคนอยู่จริง!” หลิงหยุนพึมพำออกมาเบาๆ
หลิงหยุนสังเกตเห็นแล้วว่าบนยอดเขาเทียนเหมาเฟิงนั้นมีเงาดำสูงใหญ่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ แม้ว่าจะนั่งอยู่ก็ตาม แต่ร่างนั้นก็ยังดูใหญ่โตมาก อีกทั้งยังนั่งนิ่งไม่เคลื่อนไหวจึงดูราวกับหินก้อนมหึมาก้อนหนึ่งตั้งอยู่!
“เจสเตอร์..เจ้าส่งข้าลงบนยอดเขาแล้วรีบบินหนีไปให้ไกลที่สุด คนผู้นี้สามารถสังหารเจ้าได้ในชั่วพริบตา!”
ม่านตาของหลิงหยุนหดเล็กลงเขาอยู่ในอาการสงบนิ่งยิ่งกว่าเดิม รังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมาจากร่างสูงใหญ่ที่นั่งอยู่นั้น ทำให้หลิงหยุนประเมินได้ทันทีว่า หากเจสเตอร์เผชิญหน้ากับยอดฝีมือผู้นี้ มันจะต้องถูกสังหารตายในทันทีอย่างแน่นอน..
“แต่เจ้านาย..”
เจสเตอร์จ้องมองร่างของชายที่มีรังสีอำมหิตแผ่ซ่านด้วยความเป็นห่วงหลิงหยุนมันจึงต้องการจะต่อรอง แต่หลิงหยุนกลับพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เบา แต่เต็มไปด้วยความหนักแน่นจนอีกฝ่ายไม่กล้าที่จะพูดต่อ..
“ทำตามที่ข้าสั่ง!”
ในระยะที่อีกหนึ่งร้อยเมตรจะร่อนลงบนยอดเขาเทียนเหมาเฟิงนั้นหลิงหยุนก็เริ่มเดินพลังลับหยิน-หยางเพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่การต่อสู้ที่แท้จริง! ท่าทางที่สงบนิ่งและเปี่ยมไปด้วยความมั่นอกมั่นใจของหลิงหยุนนั้น ทำให้เจสเตอร์รู้สึกกดดันน้อยลง และผ่อนคลายมากขึ้น
ทันทีที่เจสเตอร์ร่อนลงใกล้ระดับพื้นหลิงหยุนก็กระโดดลงจากแผ่นหลังของมันทันที ส่วนดวงตาคมกริบนั้นก็จับจ้องอยู่ที่ร่างสูงใหญ่ซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนก้อนหินอย่างไม่ละสายตา..
หลิงหยุนสังเกตเห็นว่าบนหน้าตักที่ใหญ่โตแข็งแรงนั้นมีพลองเหล็กสีม่วงทองยาวกว่าสี่เมตรวางอยู่ และยังคงนั่งหลับตานิ่งโดยไม่สนใจการมาของหลิงหยุนเลยแม้แต่น้อย..
หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้สำรวจไปรอบๆบริเวณยอดเขา แต่ก็พบว่านอกจากชายผู้นี้แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดอยู่บนยอดเขาแห่งนี้อีก มีเพียงชายร่างใหญ่ผู้นี้เพียงผู้เดียวเท่านั้นจริงๆ!
แต่เพียงแค่หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจเท่านั้นชายร่างสูงใหญ่ตรงหน้าก็ลืมตาขึ้นมาทันที ดวงตาทั้งสองข้างของเขานั้นจ้องมองหลิงหยุนนิ่งพร้อมพูดขึ้นว่า
“หลิงหยุน..ในที่สุดเจ้าก็มาแล้วสินะ!”
เสียงของชายผู้นี้ดังกังวานและใสราวกับเสียงระฆังใหญ่ อีกทั้งน้ำเสียงนั้นยังทรงพลังอย่างยิ่ง จนสามารถทำให้แก้วหูของหลิงหยุนสั่นสะเทือนไปหมด
หลิงหยุนสังเกตเห็นว่าชายผู้นี้มีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงกับเฉินเจี้ยนจื่อเขาจึงยืดตัวตรงพร้อมกับถามออกไปยิ้มๆ
“เจ้าคงจะเป็นคนตระกูลเฉินสินะ”
ชายผู้นั้นไม่ตอบและยังคงจ้องมองหลิงหยุนนิ่งนาน แต่จู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า “ข้าเฉินเจี้ยนห่าวแห่งตระกูลเฉิน!”
เฉินเจี้ยนห่าวยกมือขึ้นชี้ไปทางเจสเตอร์ซึ่งกำลังบินอยู่เหนือยอดเขาเทียนเหมาเฟิงพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ข้าไม่ต้องการเห็นเจ้าค้างคาวนั่นอยู่ที่นี่..”
หลิงหยุนยกมือขึ้นโบกให้เจสเตอร์บินหลบไปพร้อมกับสั่งว่า“เจสเตอร์.. เจ้าบินไปอยู่ที่เขาลูกอื่นก่อน และไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ห้ามเจ้าเข้ามาใกล้บริเวณนี้อย่างเด็ดขาด!”
“รับทราบเจ้านาย!”
เจสเตอร์รู้ดีว่าบนยอดเขาแห่งนี้กำลังจะกลายเป็นสนามต่อสู้ที่ดุเดือดและน่าหวาดกลัวขึ้น แต่ไม่ว่าจะอย่างไรมันก็ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมการต่อสู้ในครั้งนี้อยู่ดี จึงได้แต่รับปากหลิงหยุน และบินจากไปทันที
เฉินเจี้ยนห่าวชี้ไปทางหินก้อนใหญ่ข้างหลิงหยุนพร้อมกับเชื้อเชิญให้เขานั่งลง“เจ้านั่งลงก่อน!”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยและนั่งลงตามคำเชื้อเชิญของเฉินเจี้ยนห่าว ท่าทางที่สง่างาม และอากัปกิริยาที่ง่ายๆ สบายๆ ของหลิงหยุนนั้น ทำให้ดูราวกับว่าเขากำลังนั่งอยู่ในร้านกาแฟกลางใจเมืองมากกว่าที่จะนั่งอยู่บนยอดเขาเทียนเหมาเฟิง..
เฉินเจี้ยนห่าวจ้องมองหลิงหยุนนิ่งนานและจู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นว่า “วันนี้.. ระหว่างเจ้ากับข้า จะมีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ได้ลงจากยอดเขาแห่งนี้!”
หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ“ก็ดี!”
เฉินเจี้ยนห่าวพยักหน้าเล็กน้อยและพูดต่อทันที “แต่ก่อนที่จะถึงเวลานั้น ข้าอยากจะถามอะไรเจ้าสักสองสามเรื่อง..”
หลิงหยุนผายมือออกพร้อมกับตอบไปว่า“เจ้าถามมาได้เลย.. หากตอบได้ข้าก็จะตอบ!”
“เจ้าคือผู้ที่สังหารเฉินเจี้ยนเหยินในป่าเสินหนงเจี๋ยใช่หรือไม่”
หลิงหยุนตอบกลับยิ้มๆ“มันคือหนึ่งศพที่ถูกข้าสังหาร!”
“และที่ทะเลจีนตะวันออกบริเวณเกาะเตียหยู..เจ้าได้รังแกเฉินเจี้ยนโหยวซึ่งเป็นสมาชิกของกลุ่มเทพอินทรีย์หรือไม่”
“เจ้าก็คือผู้ที่ไปบุกช่วยเกาเฉินเฉินแห่งตระกูลเกาและหลิงเย่วแห่งตระกูลหลิงออกมาใช่หรือไม่”
“ถูกต้องทั้งหมด!”
“ที่คฤหาสนต์ด้านใต้ของตระกูลเฉินเป็นเจ้าที่เข้าไปสังหารยอดฝีมือของตระกูลเฉินกว่าร้อยคน และลักพาตัวลุงของข้า – เฉินไห่คุนไปใช่หรือไม่”
“เป็นข้าเอง!”
“และบนยอดเขาหยุนเมิ่ง..เพื่อช่วยเกาเฉินเฉิน เจ้าถึงกับสังหารแวมไพร์กว่าสองร้อยตน และสังหารน้องชายของข้าเฉินเจี้ยนจื่อ แล้วจับตัวน้องชายของข้าเฉินเจี้ยนกุ่ยไปใช่หรือไม่”
“นอกจากนี้แล้วเจ้ายังทำร้ายเฉินเซินในเวลากลางวันแสกๆและจับตัวเขาไปใช่หรือไม่”
“ทั้งหมดล้วนเป็นฝีมือของข้าเอง!”
“และเมื่อคืนนี้..มาร์ควิสแอนเดอร์สันกับเหล่าแวมไพร์อีกกว่าห้าร้อยตน และนินจาทั้งสิบเจ็ดคน ล้วนตายด้วยฝีมือของเจ้าใช่หรือไม่”
หลิงหยุนยิ้มกว้างพร้อมกับตอบไปว่า“เจ้ายังเอ่ยชื่อไม่ครบ! ยังมีลุงของเจ้า – เฉินไห่ซานอีกหนึ่งคน!”
เฉินเจี้ยนห่าวโกรธจนหน้าดำหน้าแดงพลองเหล็กสีม่วงทองซี่งวางอยู่บนตักนั้นลอยขึ้นไปบนท้องฟ้าก่อนจะร่วงหล่นลงมา และฝังปลายข้างหนึ่งลงไปบนพื้นดินลึกกว่าหนึ่งเมตร โดยที่เฉินเจี้ยนห่าวยังไม่ได้ขยับตัวเลยแม้แต่น้อย!
หลิงหยุนเงยหน้าขึ้นจ้องมองเฉินเจี้ยนห่าวและได้แต่นึกประหลาดใจอยู่เงียบๆ ‘เหตุใดชายผู้นี้จึงมีรูปร่างสูงใหญ่เกินมนุษย์เช่นนี้นะ ดูเหมือนจะสูงกว่าเสี่ยวอู๋ถึงสิบเซ็นติเมตร เพียงแค่นั่งเฉยๆ ก็มีรังสีที่น่ากลัวแผ่ซ่านออกมาได้แล้ว..’
และนี่คือลักษณะโดดเด่นของผู้ที่อยู่ในระดับสูงสุดขึ้นเซียงเทียน-8ที่กำลังจะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9 ต่อไป!
เฉินเจี้ยนห่าวถามต่อ“เหตุใดเจ้าจึงต้องช่วยตระกูลเกากับตระกูลหลิงด้วย”
หลิงหยุนยังคงนั่งนิ่งและตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก “ข้าช่วยตระกูลเกาเพราะเกาเฉินเฉินเป็นคนรักของข้า ส่วนสาเหตุที่ข้าช่วยตระกูลหลิงนั้น เจ้าคงต้องเดาเอาเอง..”
ดวงตาของเฉินเจี้ยนห่าวเบิกกว้างและกระโดดตรงเข้าไปหาหลิงหยุนพร้อมกับร้องตะโกนถามทันที
“เจ้าเป็นอะไรกับลูกแหกคอกของตระกูลหลิงที่ชื่อหลิงเสี่ยว”
หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของเฉินเจี้ยนห่าวดวงตาของเขาก็หรี่ลงทันที และตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก
“เจ้าคนแซ่เฉิน..รู้หรือไม่ว่าเพียงแค่คำพูดประโยคนี้ของเจ้า ข้าก็ไม่สามารถไว้ชีวิตเจ้าได้แล้ว!”
“ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า.. ฮ่า..”
เฉินเจี้ยนห่าวถึงกับเงยหน้าขึ้นหัวเราะเสียงดังและจู่ๆ ก็ร้องตะโกนออกมาว่า “ดูเหมือนว่า.. คืนนี้พวกเราสองคนคงต้องมีใครคนหนึ่งคนใดตายไปข้างสินะ!”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า“เจ้าเองก็เพิ่งจะบอกข้าแบบนี้ไม่ใช่รึ!”
ฝ่ามือใหญ่ของเฉินเจี้ยนห่าวยื่นออกไปคว้าพลองเหล็กใหญ่ยาวข้างตัวพร้อมกับดึงมันขึ้นมาจากพื้นดินก่อนจะกระแทกลงไปอีกครั้ง และถามออกไปว่า
“แล้วสมุดจักรพรรดิในตำนานเล่าอยูที่เจ้าใช่หรือไม่”
หลิงหยุนลุกขึ้นยืนทันทีเขายกมือขึ้นปัดฝุ่นตามร่างกาย และตอบกลับไปด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก
“คำถามนี้ข้าจะตอบก่อนที่เจ้าจะสิ้นใจตาย!”
เฉินเจี้ยนห่าวแสยะยิ้มพร้อมกับพูดออกมาอย่างเหยียดหยัน“หึ.. เจ้าสังหารคนตระกูลเฉินของข้าไปตั้งมากมาย คืนนี้ข้าเฉินเจี้ยนห่าวที่เพิ่งเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9 จะเป็นผู้ล้างแค้นให้กับทุกคนเอง!”
หลิงหยุนยิ้มอย่างมีเลศนัยพร้อมตอบกลับไปทันที“ดูเหมือนว่าเจ้ากับข้าจะมีอะไรเหมือนๆกันสินะ.. ข้าเองก็เพิ่งจะเข้าสู่ขั้นพลังชี่เช่นเดียวกัน และต้องการจะให้เจ้าได้ลิ้มรสกระบี่วิเศษของข้าอยู่พอดี!”
“อะไรนะ!ขั้นพลังชี่งั้นรึ?”
เฉินเจี้ยนห่าวถึงกับสีหน้าเปลี่ยนไปทันทีดวงตาทั้งคู่จ้องมองหลิงหยุนด้วยความรู้สึกตกอกตกใจ..
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับถามขึ้นว่า“ถูกต้อง.. ขั้นพลังชี่! มีอะไรงั้นรึ หรือเจ้าเคยได้ยินมาก่อน?”
หลิงหยุนแสร้งทำเป็นเหมือนไม่รู้สึกหนักใจอะไรแต่ความจริงในใจของเขานั้นสั่นสะท้านไปหมด และที่เขาจงใจพูดว่าตนเองเพิ่งเข้าสู่ขั้นพลังชี่นั้น ก็เพื่อเป็นการทดสอบบางสิ่งบางอย่าง..
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเฉินเจี้ยนห่าวจะรู้จักขั้นพลังชี่ด้วยซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ปกติ!
“นี่เจ้าคือผู้ที่ฝึกบ่มเพาะพลังงั้นรึ!”
หลิงหยุนไม่ตอบ..แต่กลับยกมือซ้ายขึ้น และเมื่อยันต์ธาราปรากฏ เพียงแค่ร้องสั่งเบาๆ ลูกบอลน้ำสีฟ้าก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศ..
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เจ้าเคยเห็นมายากลของข้าในทีวีแล้วสินะ”
สีหน้าของเฉินเจี้ยนห่าวเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นอย่างมากทันทีแววตาของเขาเป็นประกายด้วยความโลภ และมือขวาก็คว้าพลองเหล็กท่อนใหญ่ขึ้นมาพร้อมกับร้องตะโกนออกไป
“ข้ามีเรื่องต่อรองกับเจ้า..หากเจ้าสอนวิชาบ่มเพาะพลังให้กับข้า ข้าจะไม่สังหารเจ้า และจะไม่สนใจเรื่องที่เจ้าสังหารคนตระกูลเฉินไปมากมาย เจ้าคิดเห็นเช่นไร”
น้ำเสียงของเฉินเจี้ยนห่าวสั่นเล็กน้อย..แต่หลิงหยุนกับยิ้มสดใส และเอ่ยออกมาอย่างเหยียดหยัน
“เรื่องระหว่างเราเป็นอันจบสิ้นงั้นรึเจ้าคิดว่าจะจบก็จบได้หรืออย่างไร? เจ้าถามความเห็นของข้าแล้วหรือยัง? อยากจะให้ข้าสอนวิชาบ่มเพาะงั้นรึ? เจ้าฝันไปเถอะ!”
“เช่นนั้นก็ดี!”
เฉินเจี้ยนห่าวได้ฟังคำตอบของหลิงหยุนก็สั่นเทิ้มไปทั้งร่างและพูดออกมาได้เพียงเท่านั้น สีหน้าและแววตาของเขาก็ปรากฏกลิ่นอายสังหารขึ้นมาทันที!
“งั้นเจ้าเตรียมตัวตายได้แล้ว!”
เฉินเจี้ยนห่าวตวัดพลองยาวกว่าสี่เมตรสีม่วงทองในมือพุ่งเข้าใส่หลิงหยุนหลิงหยุนเองก็ไม่กล้าประมาท และรีบใช้มังกรพรางร่างถอยหนีทันที..
“เจ้าคิดจะหนีงั้นรึ”
เฉินเจี้ยนห่าวทำเสียงเหยียดหยันพร้อมกับพุ่งพลองเหล็กสีม่วงทองตามหลิงหยุนไปทันที
“เยี่ยมมากทีเดียว!”
หลิงหยุนเห็นวิชาตัวเบาของเฉินเจี้ยห่าวแล้วก็ถึงกับเอ่ยออกมาด้วยความชื่นชม และได้แต่แอบคิดในใจว่า ในที่สุดเขาก็ได้พบกับคู่ต่อสู้ที่แท้จริงแล้ว!
จักรพรรดิเทพมังกร – บทที่ 930 : พละกำลังแข็งแกร่งทั้งคู่!
เฉินเจี้ยนห่าวนั้นไม่เพียงมีวรยุทธเหนือกว่าน้องชายของเขาเฉินเจี้ยนจื่อที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือของหลิงหยุนมากแต่กำลังภายในยังแข็งแกร่งกว่าอีกด้วย!
หลิงหยุนสามารถประเมินเฉินเจี้ยนห่าวได้อย่างถูกต้องแม่นยำในเวลาเพียงชั่ววินาที!
แต่ถึงกระนั้นก็ยังช้าไปเพราะเวลานี้ไม้พลองสีม่วงทองก็ได้พุ่งเข้ามาจวนเจียนจะถึงแผ่นหลังของหลิงหยุนแล้ว และในเสี้ยววินาทีนั้นหลิงหยุนก็ไม่มีเวลาที่จะคิดอะไรได้อีก นอกจากต้องใช้วิชาเงาลวงตาหลบไม้พลองที่พุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว!
เงาของหลิงหยุนนั้นยังคงอยู่ตำแหน่งเดิมแต่ร่างจริงของเขานั้นได้กระโดดออกไปไกลราวสิบกว่าเมตรแล้ว!
“วิชาตัวเบาของเจ้าไม่เลวเลยทีเดียวแต่นั่นยังเร็วไม่พอหรอกนะ!”
เฉินเจี้ยนหาวหัวเราะพร้อมกับพูดเย้ยหยันในขณะที่ร่างของเขานั้นได้มาปรากฏอยู่ตรงหน้าหลิงหยุนแล้วและมือก็ควงพลองเหล็กหมุนเข้าใส่หลิงหยุนอย่างดุเดือดอีกครั้ง!
พลองเหล็กนั้นหมุนเข้าใส่ร่างของหลิงหยุนอย่างรวดเร็วและไม่เปิดโอกาสให้เขาได้หายใจเลยด้วยซ้ำ!
เมื่อเห็นพลองเหล็กสีม่วงทองในมือของเฉินเจี้ยนห่าวหมุนเข้าใส่ตนเองด้วยความรวดเร็วจนเห็นเป็นม่านพลองสีม่วงทอง หลิงหยุนจึงรีบกระโดดถอยหลังหนีอีกครั้งทันที..
หลิงหยุนผ่านประสบการณ์การต่อสู้มาอย่างโชกโชนจึงรู้ดีว่าตนเองนั้นไม่มีทางที่จะกระโดดหนีรัศมีพลองเหล็กพ้นอย่างแน่นอน หากไม่กระโดดขึ้นไปบนอากาศ..
นั่นเพราะเฉินเจี้ยนห่าวไม่ใช่ยอดฝีมือธรรมดาๆอีกทั้งพลองเหล็กที่เขาใช้นั้นก็ยาวถึงสีเมตร และมีเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่ถึงสิบเซนติเมตร แต่ถึงแม้จะเป็นอาวุธที่ทั้งใหญ่และยาวเช่นนั้น เฉินเจี้ยนห่าวก็ยังสามารถใช้มันได้อย่างคล่องแคล่วราวกับเป็นแขนของเขาเอง..
หลิงหยุนมีเหตุผลร้อยพันที่จะเชื่อได้ว่าหากเขายังยืนอยู่บนพื้นดินเช่นนั้นคงจะต้องถูกพลองเหล็กใหญ่ยาวนั่นฟาดเข้าที่ร่างอย่างแน่นอน!
หลิงหยุนซึ่งมีเพียงมือเปล่าจึงกระโจนขึ้นไปกลางอากาศและเฉินเจี้ยนห่าวก็แสยะยิ้มออกมาพร้อมกับร้องตะโกนบอกหลิงหยุน
“เจ้าลงมาเถอะน่า..ถึงอย่างไรเจ้าก็หนีข้าไม่พ้นอยู่ดี!”
ร่างสูงใหญ่ราวกับตึกของเฉินเจี้ยนห่าวกระโดดตามหลิงหยุนไปทันทีและเวลานี้ร่างของเขาก็ลอยขึ้นไปอยู่กลางอากาศสูงจากพื้นกว่าสามเมตร พร้อมกับควงพลองเหล็กในมือเป็นวงกลมอยู่เหนือศรีษะของหลิงหยุน จนเกิดเป็นวงกลมขนาดใหญ่อยู่ล้อมรอบหลิงหยุนไว้..
ภาพที่เห็นในเวลานี้จึงดูคล้ายกับว่าร่มขนาดใหญ่ลอยอยู่เหนือศรีษะของหลิงหยุนส่วนตัวหลิงหยุนนั้นก็คือด้ามของร่ม..
“หลิงหยุน..เจ้ายังไม่รีบนำกระบี่โลหิตแดนใต้ออกมาใช้อีกรึ”
มือของเฉินเจี้ยนห่าวยังคงควงพลองเหล็กสีม่วงทองไม่หยุดและค่อยๆ บีบรัศมีวงกลมให้เล็กเรื่อยๆ สีหน้าของหลิงหยุนเปลี่ยนเป็นตกใจมากยิ่งขึ้น เมื่อพบว่าความเร็วในการควงไม้พลองของเฉินเจี้ยนห่าวนั้นรวดเร็วเหลือเกิน เรียกได้ว่าหากฝนตกลงมาในเวลานี้ เม็ดฝนคงจะไม่สามารถตกต้องตัวหลิงหยุนได้อย่างแน่นอน!
จากการประเมินของหลิงหยุน..ต่อให้เขาใช้วิชาเงาลวงตาก็คงยากที่จะหลบรัศมีของพลองเหล็กนี้พ้นได้ และต่อให้เป็นกระบี่โลหิตแดนใต้ก็คงยากที่จะรับน้ำหนักพลองเหล็กใหญ่ยักษ์นี้ได้ไหวเช่นกัน!
ส่วนชุดผ้าแพรไหมดำที่เขาสวมใส่นั้นก็ไม่สามารถต้านทานแรงกระแทกที่รุนแรงนี้ได้ และแม้ว่าหลิงหยุนจะโคจรดาราคุ้มกายปกป้องร่างกายไว้ เขาก็ไม่กล้าที่จะเสี่ยงใช้ร่างกายของตนเองรับแรงฟาดของพลองเหล็กใหญ่ยักษ์นี้แน่..
เวลานี้กำลังภายในของเฉินเจี้ยนห่าวนั้นเข้าใกล้ระดับเริ่มต้นขั้นเซียงเทียน-9มากแล้ว ดังนั้นการที่เขาประกาศต่อหน้าหลิงหยุนว่าเพิ่งจะเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน-9 จึงไม่นับว่ากล่าวเกินจริงนัก!
และการที่หลิงหยุนสามารถหลบการจู่โจมของเฉินเจี้ยนห่าวได้ถึงสองครั้งสองคราทั้งที่ในมือไม่มีอาวุธนั้นยิ่งเท่ากับเป็นการดูถูกฝีมือของเฉินเจี้ยนห่าวอย่างมาก เขาจึงบีบบังคับให้หลิงหยุนต้องหยิบอาวุธออกมาสู้กับตนเอง!
“ข้าจะให้เจ้าได้สมปรารถนา!”
หลิงหยุนยิ้มเย็น..และเพียงแค่พริบตาเดียววัตถุสีทองแดงขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา มันคือหม้อเสินหนง!
ระหว่างที่กำลังเผชิญหน้ากับพลองเหล็กขนาดสิบเซนติเมตรและยาวกว่าสีเมตรซึ่งกำลังฟาดฟันลงมากลางศรีษะนั้น หลิงหยุนคิดว่าหากเขาเลือกใช้กระบี่โลหิตแดนใต้ แน่นอนว่าคงต้องพ่ายแพ้ยับเยินเพราะไม่สามารถต้านทานน้ำหนักของพลองเหล็กได้ และอาวุธชนิดเดียวที่จะสามารถรับมือได้ในเวลานี้ ก็มีเพียงหม้อเสินหนงที่หนักกว่าสองพันกิโลกรัมนี้เท่านั้น..
หลิงหยุนใช้มือข้างหนึ่งจับขาของหม้อเสินหนงไว้จากนั้นจึงยกขึ้นเหนือศรีษะหมุนเป็นวงกลมอย่างรวดเร็วเร็ว..
เสียงของลมที่ปะทะกับหม้อเสินหนงซึ่งหมุนด้วยความเร็วนั้นดังหวีดหวิวไปทั่วทั้งบริเวณ
หลิงหยุนต้องแข็งแรงมากเพียงใดจึงจะสามารถถือหม้อเสินหนงที่หนักกว่าสองพันกิโลกรัมนี้ไว้ได้ด้วยมือข้างเดียว และหม้อเสินหนงในมือของหลิงหยุนก็กระแทกเข้ากับพลองเหล็กขนาดใหญ่ที่ค่อยๆ บีบรัดเข้ามาเรื่อยๆ จนเกิดเสียงดังตูมขึ้น!
ร่างของเฉินเจี้ยนห่าวไม่สามารถยืนอยู่กลางอากาศได้อีกและกระโดดลงมาที่พื้นดินทันที!
เมื่อฝ่าเท้าใหญ่ทั้งสองข้างสัมผัสกับพื้นหินแข็งแกร่งเฉินเจี้ยนห่าวก็ถึงกับชา และขนลุกไปทั่วทั้งร่างกาย เขายืนจ้องมองสิ่งที่หลิงหยุนถืออยู่ในมือพร้อมกับพึมพำออกมา!
“นั่น..นั่นมันหม้อเสินหนง!”
หลิงหยุนยังคงยืนถือหม้อเสินหนงด้วยท่าทางสง่าผ่าเผยแม้ว่าสีหน้าของเขาจะยังคงสงบนิ่ง แต่ภายในใจนั้นกลับกำลังตระหนกตกใจเมื่อพบว่า แม้แต่หม้อเสินหนงยังไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บได้ หลิงหยุนจึงแสร้งหัวเราะ และตอบกลับไปว่า..
“สายตาของเจ้าใช้ได้เลยนี่..ถูกต้องแล้ว! นี่คือหม้อเสินหนง!”
เฉินเจี้ยนห่าวกำพลองยาวในมือไว้แน่นดวงตาเป็นประกายระยิบระยับขึ้นมาทันที แต่ก็ร้องตะโกนถามด้วยความสงสัย
“เจ้าหนู..นี่เจ้าเอาวัตถุชิ้นใหญ่เช่นนี้ออกมาจากที่ใดกัน”
แต่ถึงแม้จะถามออกไปเช่นนั้นแต่เฉินเจี้ยนห่าวก็ไม่สนใจกับคำตอบนัก เพราะเขาสนใจเรื่องหม้อเสินหนงมากกว่า หากเขาสังหารหลิงหยุนได้ หม้อเสินหนงนี้ก็จะตกเป็นของเขาทันที!
หลิงหยุนยังคงกำขาหม้อเสินหนงไว้และตอบกลับไปยิ้มๆ “เจ้าไม่รู้หรอกรึ ข้าเป็นนักมายากลที่สามารถสร้างสิ่งของจากความว่างเปล่าได้!”
สีหน้าของเฉินเจี้นห่าวเปลี่ยนไปทันทีและรู้ว่าต่อให้เขาถามอะไรออกไป ก็คงจะไม่ได้คำตอบอยู่ดี จึงร้องตะโกนบอกหลิงหยุนว่า
“เจ้าหนู..ในเมื่อเจ้ามีหม้อเสินหนงอยู่ในมือ เจ้าก็ยิ่งสมควรตาย!”
ยังไม่ทันจะพูดจบประโยคดีด้วยซ้ำไปพลองเหล็กในมือของเฉินเจี้ยนห่าวก็เงื้อขึ้นสูงหมายฟาดลงบนศรีษะของหลิงหยุนอีกครั้ง!
แต่ครั้งนี้หลิงหยุนไม่กระโดดถอยหนีแต่กลับยกหม้อเสินหนงขึ้นเหนือศรีษะด้วยมือทั้งสองข้าง เพื่อรับพลองเหล็กของเฉินเจี้ยนห่าวที่ฟาดลงมา!
ตูม!
พลองสีม่วงทองนั้นสั่นสะท้านทันทีเมื่อปะทะเข้ากับหม้อเสินหนงเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วทั้งปฐพี และดังก้องไปทั่วทั้งหุบเขาขนาดใหญ่..
และในเวลานั้นเอง..ลมจากแรงเหวี่ยงของพลองเหล็ก กับลมปราณที่หลิงหยุนโคจรไว้รอบตัวเพื่อปกป้องร่างกายนั้น ก็ได้กลายเป็นพายุหมุน และดูดเอาดิน และก้อนหินบริเวณนั้นขึ้นมาจนหมด..
หลิงหยุนยังคงยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนในขณะที่พลองเหล็กสีม่วงทองนั้นกระดอนขึ้นสูงเมื่อประทะเข้ากับหม้อเสินหนง เฉินเจี้ยนห่าวตกใจจนแทบช็อค และมือขวาของเขาก็ชาไปหมด และได้แต่แอบหวาดผวาอยู่ในใจ เพราะคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!
เฉินเจี้ยนห่าวนั้นนับว่าเป็นผู้ที่มีพละกำลังแข็งแกร่งมาตั้งแต่เด็กพละกำลังของเขานั้นเหนือกว่าเด็กทั่วๆไป ดั้งนั้นเมื่อครั้งที่เริ่มฝึกวรยุทธ เขาจึงเลือกใช้พลองยาวที่มีน้ำหนักมากกว่าคนปกติทั่วไปใช้กัน หากเปรียบเทียบเรื่องพละกำลังที่แข็งแกร่งแล้ว ยังไม่มีผู้ใดในตระกูลใหญ่ที่จะสามารถเอาชนะเขาในเรื่องนี้ได้แม้แต่คนเดียว..
แต่ตอนนี้เขากลับได้พบคู่ต่อสู้ที่มีพละกำลังแข็งแกร่งไม่ด้อยไปกว่าตนเองแล้ว!
และนี่ก็เป็นครั้งแรกของหลิงหยุนเช่นกันที่ได้พบกับยอดฝีมือที่มีพละกำลังแข็งแกร่งเช่นนี้ เขาจึงได้แต่นึกประหลาดใจ และหวั่นใจอยู่ไม่น้อย!
มือทั้งสองข้างของเฉินเจี้ยนห่าวสั่นเล็กน้อยและกำลังรวบรวมลมปราณควบคุมลมหายใจ เพื่อเตรียมตัวสู่การจู่โจมครั้งต่อไป
“เอาล่ะ..ถึงคราวของข้าบ้างแล้ว!”
หลิงหยุนมองเฉินเจี้ยนห่าวที่ยืนหายใจหอบเล็กน้อยด้วยสีหน้ายิ้มแย้มและค่อยๆ เดินถือหม้อเสินหนงเข้าไปหาเฉินเจี้ยนห่าว
แม้ว่าหลิงหยุนจะสามารถรับมือเฉินเจี้ยนห่าวไว้ได้หลายครั้งแต่ดูเหมือนว่าพื้นดินใต้ฝ่าเท้าของเขาจะไม่สามารถทานทนได้ และได้กลายเป็นหลุมลึกลงไปเกือบหนึ่งเมตร!
ร่างของหลิงหยุนพุ่งขึ้นไปกลางท้องนภาพร้อมกับสองมือที่ยกหม้อเสินหนงไว้เหนือศรีษะนั้นดูราวกับเทพเจ้าแห่งสงครามก็ไม่ปาน!
ตูม..ตูม.. ตูม.. ตูม..!!!
หลิงหยุนกระโดดขึ้นไปกลางอากาศได้ก็ใช้หม้อเสินหนงนั้นทุบเข้ากลางศรีษะของเฉินเจี้ยนห่าวอย่างรวดเร็ว แล้วจึงกระโดดออกมา จากนั้นก็อาศัยความเร็วกระโดดเข้าไปทุบหม้อเสินหนงใส่ศรีษะของเฉินเจี้ยนห่าวอีกครั้ง หลิงหยุนทำเช่นนั้นอยู่ทั้งหมดเก้าครั้ง แต่ทุกครั้งเฉินเจี้ยนห่าวก็จะสามารถใช้พลองเหล็กรับไว้ได้ทันเสมอ..
จนกระทั่งขาทั้งสองข้างของเฉินเจี้ยนห่าวนั้นจมลึกลงไปในพื้นดินเกือบหนึ่งเมตร!
เฉินเจี้ยนห่าวถึงกับแอบผวาอยู่ในใจที่เห็นว่าพละกำลังของหลิงหยุนนั้นดูเหมือนจะไม่หมดไปเสียที!
หลังจากที่จัดการทุบหม้อเสินหนงใส่เฉินเจี้ยนห่าวไปถึงเก้าครั้งหลิงหยุนก็ถอยออกมาพร้อมกับยกมือขึ้นชี้หน้าเฉินเจี้ยนห่าว และร้องตะโกนออกไปด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น
“เฉินเจี้ยนห่าว..เจ้าไม่ได้เหนือไปกว่าข้าหรอก!”
แต่หลิงหยุนก็ไม่ได้โง่..เขารู้ว่านี่เป็นเพียงการหยั่งเชิงของฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น และเฉินเจี้ยนห่าวเองก็ยังไม่ได้ใช้กำลังภายในที่แท้จริงของตนเองทั้งหมดออกมา..
ส่วนเฉินเจี้ยนห่าวก็ได้แต่คิดว่าหลิงหยุนนั้นกล้าหาญและแข็งแกร่งกว่าที่เขาคิดไว้มาก!
เฉินเจี้ยนห่าวกระโดดขึ้นมาจากพื้นดินอย่างสง่างามพร้อมกับตอบไปว่า“งั้นรึ ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้! น่าสนใจ.. น่าสนใจ..”
ระหว่างที่พูดนั้นเฉินเจี้ยนห่าวก็จัดการดัดพลองเหล็กที่โค้งงอให้ตรงดังเดิม จากนั้นก็กระแทกปลายพลองเหล็กลงกับพื้น
ปัง!!
ส่วนร่างของเฉินเจี้ยนห่าวก็กระโดดพุ่งเข้าใส่หลิงหยุนทันที
“คิดจะเอาชนะข้า..ไม่ง่ายไปหน่อยรึ”
หลิงหยุนเห็นเฉินเจี้ยนห่าวพุ่งมาเช่นนั้นก็รู้ดีว่าอีกฝ่ายคิดจะทำอะไรหลิงหยุนได้แต่นึกหยัน และรีบเรียกหม้อเสินหนงเก็บเข้าไปทันที
“หมัดปีศาจเถียนกัง!”
หลิงหยุนพุ่งหมัดเข้าใส่ร่างของเฉินเจี้ยนห่าวทันทีเฉินเจี้ยนห่าวเองก็ไม่ลังเล ปล่อยหมัดของตนเองเข้าใส่หมัดของหลิงหยุนเช่นกัน
สิ้นเสียงก้อนหินบริเวณนั้นแตกละเอียดร่างของเฉินเจี้ยนห่าวกับหลิงหยุนต่างก็กระเด็นถอยหลังออกไปคนละสามก้าว!