ส่วนที่ 4 ตอนที่ 58 กระแสไฟฟ้ากระตุ้น

ความลับแห่งจินเหลียน

จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นก็ได้แต่ถาม “คุณก็นัดกับผู้อาวุโสหูเอาไว้ว่าตอนบ่ายจะมาดูหินหยกก้อนนี้ไม่ใช่เหรอครับ? แต่จะให้เขาลงไปห้องใต้ดินไม่ได้นี่นา เพราะอย่างนั้นผมว่างๆ ไม่มีอะไรทำ เลยเอามันย้ายออกมา พลางศึกษาอะไรสักหน่อยน่ะ…”

 

สายตาของซีเหมินจินเหลียนสำรวจไปเห็นคอมพิวเตอร์ที่กำลังเปิดอยู่ในห้องรับแขก ไหนจะเชือกหลายเส้นที่ผูกมัดหินหยกก้อนนั้นเอาไว้จึงขมวดคิ้วถามว่า “คุณจะศึกษาอะไรกัน”

 

“ผมจะลองดูว่ามันยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า” จ่านป๋ายยิ้ม  

 

“มีชีวิต?” ซีเหมินจินเหลียนพูดพลางนั่งลงบนโซฟา มองไปยังคอมพิวเตอร์ที่มีรูปแสดงโชว์อยู่ อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเข้าหากัน

 

“จินเหลียน เมื่อกี้ผมนำหยกก้อนนี้ไปเจียระไนดู แน่นอนฝีมือของผมยังไม่ค่อยละเอียดเท่าไหร่” จ่านป๋ายพูดต่อ “แต่คุณลองมาดูนี่สิครับ งู…งูตัวนี้ยิ่งดูเหมือนยังมีชีวิตอยู่”

 

ซีเหมินจินเหลียนเดินเข้าไปดู เพราะว่าเจียระไนแค่ผิวหินเท่านั้น ลักษณะผิวจึงมีรอยตัดมากมายหลงเหลืออยู่ กลายเป็นกระจับหลากหลายชิ้น ภายใต้แหล่งกำเนิดไฟ การหักเหและการสะท้อนกลับของแสง เมื่อมองงูที่อยู่ข้างในหยก มันก็เหมือนกำลังเคลื่อนไหว ราวกับมีชีวิตอยู่จริงๆ

 

โดยเฉพาะการที่จ่านป๋ายไม่มีอะไรทำแล้วมาเจียระไน แต่ซีเหมินจินเหลียนคิดว่าฝีมือในการเจียระไนของตัวเองยังขาดทักษะอีกเยอะ แต่คิดไม่ถึงว่าฝีมือของจ่านป๋ายกลับไม่มีอะไรต่างกัน เจียระไนกับไม่เจียระไนยังไม่ต่างกันเท่าไหร่

 

“ชายชราหลินเรียกคุณไปทำอะไรเหรอครับ” จ่านป๋ายถามอย่างไม่ใส่ใจเท่าไหร่นัก

 

“เขาก็เรียกฉันไปฟังเขาเล่าเรื่องประวัติของบ้านเขาน่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม

 

“หืม?” จ่านป๋ายยังคงไม่เข้าใจ แต่ก็ถามออกไปต่อว่า “ประวัติบ้านเขาไม่ได้เฟื่องฟูอะไร แล้วยังมีหน้าจะพูดอีก?”

 

“เมื่อตอนยังวัยรุ่นเขากับผู้อาวุโสหูเคยนับถือเป็นศิษย์อาจารย์กัน แต่เขาไม่ได้เรียนรู้อะไรจากผู้อาวุโสเท่าไหร่ อีกทั้งกลับขโมยหยกของเขามาอีก จากนั้นก็ทำให้เขาร่ำรวยขึ้นเรื่อยๆ” ซีเหมินจินเหลียนคิดไปคิดมาแล้วเล่าเรื่องของชายชราหลินแบบสั้นๆ ให้เขาฟังอีกรอบ ชายชราหลินไม่ได้เรียนกับผู้อาวุโสหู ไม่เช่นนั้นคงจะไม่ต้องซื้อหินหยกก้อนนั้นที่มาจากพม่า แล้วเดิมพันแพ้ราบคาบอย่างนั้น

 

สัญชาตญาณในการดูหินของผู้อาวุโสหู ซีเหมินจินเหลียนก็เลื่อมใสอย่างมาก เธอใช้ความสามารถในการมองทะลุผ่าน แต่หยกที่ผู้อาวุโสหูเก็บสะสมมาทั้งหมดนั้น ทำให้เธอยังตกใจอย่างไม่มีสิ้นสุด

 

หยกฮกลกซิ่ว หยกสีเลือด หยกสีเหลือง หยกสีผสม ล้วนมากจากเขาทั้งนั้น เพียงแต่นิสัยของผู้อาวุโสท่านนี้ ดูจะแปลกไปสักหน่อย

 

“ผู้อาวุโสหูมาเซี่ยงไฮ้ก็เพื่อที่จะมาทวงหนี้” ซีเหมินจินเหลียนพูด

 

 “เขามาเซี่ยงไฮ้ก็เพื่อมาหาคุณต่างหาก” จ่านป๋ายส่ายหัว “0tพูดให้ถูกก็คือ เขามาเพื่อหินก้อนนี้!” พูดพลางเหลือบไปมองที่หินราชางูก้อนนั้น   

 

“หืม?” ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ ผู้อาวุโสหูอาจจะอยากรู้ว่าลักษณะข้างในของหินหยกก้อนนี้เป็นอย่างไร แต่ก็ไม่น่าจะเป็นเพราะเรื่องนี้แค่เรื่องเดียวที่เขาถึงยอมมาจากเจียหยาง? ถ้าหากเขาอยากจะรู้จริงๆ แต่หยกนี่ก็อยู่ในมือของเขามาตั้งหลายปี แล้วทำไมถึงไม่เป็นคนเปิดหินเสียเองล่ะ?

 

เอาเถอะ ถึงเขาจะมีความหวาดระแวง แต่เขาก็ไม่ใช่มีลูกศิษย์อย่างราชาแห่งนักเดิมพันหยกหรอกเหรอ สามารถให้เขาเจียระไนหินให้ก็ไม่น่าจะเป็นอะไร หรือไม่ก็หาคนธรรมดามาปอกผิวหยกก็ได้ คงไม่ต้องยืมมือเธอมาหรอกมั้ง?

 

“เรื่องนี้เหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกับคุณนี่ แล้วเขาจะเรียกหาคุณทำไมกัน” จ่านป๋ายถามอย่างไม่เข้าใจ

 

“ฉันก็คิดอย่างนั้น แต่เขาคิดว่าฉันกับผู้อาวุโสหูสนิทกันดี อยากจะให้ฉันพูดเกลี้ยกล่อมให้ แต่เรื่องนี้อย่าว่าแต่ฉันกับผู้อาวุโสหูไม่สนิทกันเลย ถึงสนิทกันมันก็เป็นเรื่องของอาจารย์และลูกศิษย์ เรื่องหยกจะให้ฉันพูดอะไรได้” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า

 

จ่านป๋ายครุ่นคิดแล้วพูดขึ้น “จินเหลียน ที่จริงผมรู้สึกว่าผู้อาวุโสหูไม่ได้ตั้งใจที่จะมาทวงหนี้ตั้งแต่แรก เขาเพียงแค่บังเอิญเจอชายชราหลินเข้า ก็คิดได้ขึ้นมา ไม่พอใจเลยพูดใส่เขาไป คุณก็รู้ผู้อาวุโสหูท่าทางแปลกๆ สายตาในการมองหินก็ไม่ใช่มองอย่างคนธรรมดา หยกก้อนนั้นเขาอาจจะไม่สนใจเสียด้วยซ้ำ แล้วจะมาทวงหนี้เขาจริงๆ งั้นเหรอ? เพียงแต่ชายชราหลินหวาดระแวงจนเกินไป ถ้าหากเขาอยากจะมาทวงหนี้จริงๆ คงไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านมานานขนาดนี้หรอก”

 

“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ผู้อาวุโสแปลกๆ คนนี้มีเงินมากมาย บางทีอาจไม่ได้สนใจหินหยกก้อนนั้นตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ สำหรับเขาแล้ว…” ซีเหมินจินเหลียนพูดได้เท่านี้ก็ไม่พูดอะไรต่อ ผู้อาวุโสหูเคยบอกว่านี่เป็นแค่เทพธิดาฝึกวิชาแล้วเหลือหินเอาไว้ สิ่งที่เขาอยากหาคือ หินที่นำมาปิดฟ้าเบื้องบน

 

ในเมื่อเป็นแบบนี้ เขาก็ไม่ได้หาชายชราหลินเพื่อทวงหนี้อย่างแน่นอน

 

“อะไรเหรอครับ” จ่านป๋ายถาม 

 

“สำหรับเขาแล้ว นี่ก็เป็นแค่ของกิ๊กก๊อก ไม่ได้มีค่าราคาอะไรหรอก” ซีเหมินจินเหลียนพูดด้วยเสียงนิ่งเฉย

 

“ผู้อาวุโสท่าทางแปลกประหลาดนี้เหมือนกับกินยาผิดขนาด หลังจากกลับมาจากเมืองเจียหยางก็ตามติดพวกเรามาตลอด” จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นก็เข้าใจ ซีเหมินจินเหลียนปิดบังอะไรตนอยู่ ในเมื่อเธอไม่พูด เขาก็จะแกล้งทำเป็นไม่รู้พร้อมถามว่า “เพียงแต่เขาอายุปูนนี้แล้ว ผมก็ไม่อยากจะไปหาเรื่อง ขอแค่เขาไม่ทำเรื่องอะไรแผลงๆ ก็พอ เขาอยากจะตามก็ตามไป อ้อ จริงสิ คุณรู้ไหมว่าช่วงนี้ผู้อาวุโสหูพักอยู่ที่ไหน”

 

ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัว เธอจะไปรู้ได้ยังไงว่าเขาพักอยู่ที่ไหน?

 

“เขาซื้อที่พักไม่ไกลจากเราเท่าไหร่ พื้นที่ไม่ได้ใหญ่ธรรมดา ผู้อาวุโสนั่นก็มีระดับทีเดียว!” จ่านป๋ายพูดพลางยิ้ม “ดูแล้วเหมือนว่าเขาคิดที่จะอยู่ที่เซี่ยงไฮ้ยาวเลยล่ะ!”

 

“เขานั่นเหรอ ที่อยู่วัดรกร้างจะเป็นคนมีระดับอะไร?” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า ครั้งแรกที่เธอเจอเขาที่เมืองเจียหยาง เธอยังคงไม่ลืมว่าเขาคนนั้นอยู่ที่วัดรกร้าง ร่างกายสวมใส่ชุดกังฟูยาวสีน้ำเงิน มือถือบุหรี่ ผู้อาวุโสคนนี้ชอบนึกถึงความหลัง ตอนนั้นได้ข่าวมาจากปากคนในอย่างเหล่าหลี่ว่า เขาเคยอยู่ที่ไหนก็ไม่อยากจะย้ายที่ แล้วเขาจะยอมตัดใจมาอยู่ยาวที่เมืองเซี่ยงไฮ้ได้ยังไงกัน? 

 

“รสนิยมของคนแก่ไม่เหมือนกับพวกเราหรอกครับ” จ่านป๋ายส่ายหัว “เขาซื้อบ้านครั้งนี้ ในอนาคตถ้าคุณได้เห็นก็คงเข้าใจ นั่นไม่ใช่แค่มีเงินธรรมดาแล้วสามารถซื้อมาเล่นๆ ได้หรอกนะ”

 

ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าไปมา บ้านก็แค่ใช้อาศัยหลบลมฝน อยู่ได้ก็พอแล้ว เธอไม่เชื่อว่าบ้านของผู้อาวุโสหูจะทำมาจากทองทั้งหมดหรอกนะ? เอาเถอะ ถึงบ้านเขาจะทำมาจากทองทั้งหมด แล้วจะทำไม ผู้อาวุโสก็ไม่มีลูกมีหลาน ตายไปก็เอาไปไม่ได้ เขาอายุปูนนี้แล้ว อยากจะใช้เงินที่หามาตอนมีชีวิตอยู่ก็เป็นเรื่องที่เสพสุขอารมณ์ของเขา

 

“พูดอย่างละเอียดก็คือ ผู้อาวุโสมาเพื่อหินก้อนนี้” ซีเหมินจินเหลียนมองเป็นนัยไปที่หินราชางูก้อนนั้น ในใจได้แต่ครุ่นคิด ถ้าหากผู้อาวุโสหูเห็นหินราชางูนี่เข้า แล้วอยากจะซื้อกลับไปในราคาสูง ตอนนั้นเธอจะขายให้เขาดีหรือเปล่านะ?

 

ความเป็นไปได้ก็มีสูงมาก ผู้อาวุโสหูอยู่ๆ ก็มาจากเมืองเจียหยาง คงจะไม่ใช่แค่อยากเห็นผลลัพธ์เพียงแวบเดียวหรอกมั้ง?

 

 แต่เมื่อคิดทบทวนดูอีกทีแล้ว ซีเหมินจินเหลียนก็ตัดสินใจได้ หินที่แปลกประหลาดแบบนี้ เธอจะไม่ขายออกไปแน่ ถึงแม้ว่าจะมีความชั่วร้ายอยู่ในตัวมันก็ตาม

 

จ่านป่ายได้ยินเช่นนั้นก็พยักหน้า ในใจเต้นรัวแล้วพูดว่า “จินเหลียน โชคดีที่พวกเราระวัง ไม่อย่างนั้น ผมว่านะ ถ้าหินหยกนี้ไปอยู่ในมือของคนธรรมดาเข้า พอมีดตัดลงไปที่หยกอาจจะทำให้งูขาดเป็นสองท่อนก็เป็นได้?”

 

ตอนที่เขากำลังพูดประโยคนี้อยู่ สายตาก็มองไปที่หินราชางูก้อนนั้น ไม่รู้ว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่ เขาเห็นว่าดวงตาของงูตัวนั้นกะพริบ ด้วยท่าทางดูหวาดกลัว…

 

งูเมื่อแสนปีก่อนยังรู้จักกลัว? นี่เป็นเรื่องที่น่าหัวเราะขบขันนัก จ่านป๋ายส่ายหน้าแล้วตั้งใจมองไปที่หยกก้อนนั้นอีกครั้ง

 

 “คุณศึกษามาครึ่งค่อนวันแล้ว น่าจะดูออกว่างูตัวนี้มีชีวิตหรือว่าตายแล้วใช่ไหม” ซีเหมินจินเหลียนถาม

 

 จ่านป๋ายลูบไปที่หินราชางูอย่างแผ่วเบาแล้วพูดว่า “ผมก็ไม่รู้ เมื่อกี้ผมแค่ถ่ายรูปออกมาไม่กี่ภาพ จากนั้นก็ศึกษาผ่านจากมุมกล้องที่แตกต่างกัน ยังไม่ได้เชื่อมต่อกับกระแสไฟฟ้า”

 

“คุณคิดจะวิจัยยังไง” ซีเหมินจินเหลียนถาม

 

“ถ้าผมพูดไปคุณอาจจะด่าผมก็ได้!” จ่านป๋ายคิดอะไรแผลงๆ ได้ “ผมเตรียมที่จะเปิดกระแสไฟ จากนั้นจะใช้ไฟไปกระตุ้นงูตัวนั้น ถ้าหากมันยังมีชีวิตอยู่คงจะมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าบ้าง จากนั้นผมสามารถดูผ่านคอมพิวเตอร์ได้…”

 

“นี่คุณ…” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้า เธอไม่ได้เห็นด้วยกับวิธีนี้ “ถ้าหากมันมีชีวิตจริงๆ ถูกคุณใช้กระแสไฟโจมตี มันก็ตายอยู่ดี”   

 

“ไม่หรอกครับ ผมจะควบคุมพลังงานของกระแสไฟฟ้าที่ไหลเข้าไปในตัวของมัน” จ่านป๋ายพูดต่อ “ในเมื่อพวกเราไม่มีอะไรทำ จินเหลียน คุณก็ให้ผมศึกษาสักหน่อยเถอะนะ งูตัวนี้มันเหมือนมีชีวิตอยู่จริงๆ ไม่เช่นนั้นพวกเราหาวิธีให้มันออกมา คุณคิดดูนะ งูที่อยู่มาเมื่อแสนปีก่อน ล้านปีก่อน แม้กระทั่งพันปีก่อน แล้วยังมีชีวิตอยู่ตรงหน้าเรา มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นขนาดไหนกัน?”   

 

“ไม่ได้!” ซีเหมินจินเหลียนรีบปฏิเสธทันควัน จะเอางูออกมาเนี่ยนะ? ล้อเล่นอะไรกัน “ฉันดูแล้วว่างูตัวนี้กับหยกรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกันตั้งนานแล้ว มันก็กลายเป็นหยกแล้ว คุณก็อย่าทำอะไรแผลงๆ เก็บแหล่งกำเนิดไฟของคุณไปซะ ฉันไม่อนุญาตให้คุณทำอะไรไร้สาระกับงูตัวนี้ทั้งนั้น”

 

“จินเหลียน แค่ทดลองนิดเดียวเองครับ!” จ่านป๋ายทำหน้าตาสงสารหันไปมองเธอ ความจริงตอนที่เธอยังไม่กลับมา เขาก็เตรียมอุปกรณ์หลากหลายชนิดไว้แล้ว แต่เขาไม่กล้าจะทดลองเสี่ยงอันตราย กลัวว่ามูลค่าของหยกจะสูญหายไป

 

ซีเหมินจินเหลียนนั่งลงกับพื้นแล้วมองไปที่หยกที่มีงูอยู่ข้างใน เหมือนกับมีชีวิตอยู่จริงๆ มิน่าจ่านป๋ายถึงอยากจะวิจัยนักหนา เพื่ออยากจะรู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า หรือว่ากลายเป็นหยกหมดแล้ว? ความจริงเธอเองก็สงสัยเป็นอย่างมาก

 

แต่การใช้กระแสไฟฟ้าไปโจมตีมัน มันจะเจ็บหรือเปล่า?

 

ซีเหมินจินเหลียนรู้สึกแปลกประหลาดที่ตัวเองคิดเช่นนี้ ถ้าเธอคิดแบบนี้ นั่นก็หมายความว่าเธอยอมรับว่างูตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่? มีแค่สิ่งที่มีชีวิตอยู่เท่านั้น ถึงจะสามารถรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวด…

 

 วันนั้นที่โรงงานแปรรูปหยก เธอพยายามใช้สายตาในการมอง งูตัวนี้น่าสงสารมาก มันเบิกตากว้างมองเธอ เธอเลยรู้สึกว่ามันกำลังขยับอยู่ ใช่แล้วมันกำลังขยับตัว ราวกับอยากจะทุ่มเทพลังทั้งหมดเพื่อที่จะได้ออกมาจากหยก ตอนนั้นเธอเลยตกใจร้องตะโกนออกมา ฉากนี้ช่างเหลือเชื่อเกินจริง แปลกซะยิ่งกว่าแปลก

 

แต่หลังจากนั้น ซีเหมินจินเหลียนก็คิดหน้าคิดหลัง สงสัยตัวเองคงตาลายไป น่าจะเป็นเพราะงูตัวนั้นเหมือนจริงจนเกินไป บวกกับลายในตัวของมัน ทำให้มีอาการของภาพลวงตาเกิดขึ้น

 

เพราะฉะนั้นเธอไม่ลังเลใจที่จะซื้อมันกลับมา ไม่ว่ามันจะมีพลังชั่วร้ายยังไงก็ต้องแกะหินออกมาให้ได้ เพื่อให้รู้ว่าข้างในเป็นอะไรกันแน่ แต่เมื่อดูเสร็จเธอกับจ่านป๋ายต่างรู้สึกเหมือนกัน งูข้างในหยกนี้ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่านะ ตอนนั้นทำไมมันถึงถูกกลายเป็นหยกแบบนั้น

 

“มันกลายเป็นหยกไปเรียบร้อยแล้ว” ซีเหมินจินเหลียนพูด ไม่รู้ว่าทำไม ตอนที่พูดประโยคนี้ ในใจของเธอถึงได้เจ็บปวดเสียใจออกมาโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ

 

ถ้าหากงูตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่ นั่นก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าจริงๆ หินหยกก้อนนี้รวมตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ หลายปีที่ผ่านมาที่อยู่ในหินก้อนนี้เติบโตข้ามผ่านกี่วันและกี่ปี?

 

“ถ้าหากมันกลายเป็นหยกจริงๆ แล้ว คงจะไม่ใช่รูปทรงแบบนี้หรอกครับ” จ่านป๋ายส่ายหัว “ผมรู้สึกถึงความผิดปกติ ถ้าหากไม่ใช่หยกแก้วไร้สี ถ้าข้างในมีงูอยู่ พวกเราก็มองไม่เห็น อาจมีโอกาสที่จะตัดมันออกมา”

 

เขาพูดย้ำเตือนแก่ซีเหมินจินเหลียนครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าหากหยกก้อนนี้ไม่ได้ตกอยู่ในมือของเธอ แต่ไปอยู่ในมือของคนอื่น ถึงจะไม่ได้เริ่มตัดจากตรงกลาง แต่เวลาตัดข้างๆ ก็อาจจะทำให้งูขาดเป็นสองท่อนได้เช่นกัน…

 

“ยังไงก็ช่าง คุณไม่สามารถเอามันออกมาได้ และก็ห้ามใช้กระแสไฟกระตุ้นมันเด็ดขาด!” ซีเหมินจินเหลียนจ้องไปที่เขาแล้วส่งสัญญาณเตือน “ถ้าใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นมัน มันอาจจะเจ็บทรมานก็ได้นะ?”

 

“เมื่อคืนก็ไม่ใช่ว่าคุณเพิ่งฆ่างูไปเหรอครับ!” จ่านป๋ายบ่นพึมพำ “โดนกระแสไฟฟ้าแค่ครั้งเดียว ไม่ถึงกับตายหรอก”

 

“ฉันบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้!” ซีเหมินจินเหลียนพูดย้ำด้วยความหนักแน่น

 

“โอเคครับๆๆ คิดเสียว่าผมไม่เคยพูดก็แล้วกัน ผมจะถ่ายรูปสักหลายๆ รูปเอามาวิเคราะห์ศึกษาก็ได้ โอเคไหม?” จ่านป๋ายพูด

 

“แน่นอนไม่มีปัญหา!” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ฉันไม่รู้มาก่อนเลยว่า คุณยังมีอารมณ์แบบนี้ด้วย ความจริงถึงงูตัวนี้ยังมีชีวิตแล้วจะทำไม? หรือว่าคุณเตรียมจะเอามันออกมาเลี้ยง? มันจะมีชีวิตหรือว่าเป็นหยกไปแล้ว แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเราด้วย”

 

จ่านป๋ายนิ่งอึ้งไปจากนั้นก็พูดออกมาว่า “พูดอย่างนี้ แสดงว่าคุณก็สงสัยว่ามันอาจจะมีชีวิตอยู่?”

 

“พูดจาอะไรไร้สาระ?” ซีเหมินจินเหลียนหัวเราะ “คุณช่วยย้ายมันไปอีกฝั่งหน่อย แล้วก็หาผ้ามาปิดซะ ฉันไม่อยากถูกงูจ้องมองเวลากินข้าว”

 

จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นก็ส่ายหัวอย่างเอือมระอา โชคดีที่หินราชางูนี่ไม่ได้ใหญ่ เลยจัดการย้ายมันไปที่เก้าอี้ไม้แกะสลักขนาดใหญ่ได้สะดวก จากนั้นหาผ้าขนหนูมาปิดไว้ หมุนตัวกลับมาเห็นซีเหมินจินเหลียนนั่งเหม่อลอยอยู่ที่โซฟา

 

“คุณกำลังคิดอะไรอยู่เหรอครับ”

 

“ใช้กระแสไฟฟ้ากระตุ้นมัน มันจะไม่ตายจริงๆ เหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนเงยหน้าขึ้นไปถามเขา

 

“หา?” จ่านป๋ายได้ยินแล้วรู้สึกราวกับอยากจะร้องไห้ ความคิดของผู้หญิงช่างยากจะเข้าใจ แต่ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่า เธอเองก็รู้สึกสงสัยมากเช่นกันว่างูตัวนี้ยังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้วกันแน่ “ถ้าหากคุณยังไม่สบายใจ พวกเราไปที่ตลาดขายสัตว์เลี้ยงแล้วลองซื้องูกลับมาทดลองดีไหม เพื่อทดสอบดูกระแสไฟ จากนั้นค่อยไปลองกับหินก้อนนั้น”

 

ซีเหมินจินเหลียนคิดพิจารณาถึงความเป็นไปได้จึงพูดออกมาว่า “ก็ได้ค่ะ”

 

“ถ้าอย่างนั้นกินข้าวเสร็จแล้วรอให้ผู้อาวุโสหูกลับไป แล้วค่อยไปดีไหม?” จ่านป๋ายพูด

 

“โอเค…” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า ทดลองดูก่อนจะดีกว่า ไม่อย่างนั้นแล้วถ้าสัตว์โบราณมาตายแบบนี้ เธอคงรู้สึกผิดแน่ แต่ถ้าหากว่างูตัวนี้มีชีวิตอยู่จริง อายุของมันคงยาวนานมาก นี่เป็นสิ่งที่เกินความคาดหมาย กลัวว่าแค่กระแสไฟฟ้าธรรมดาก็ไม่อาจทำให้มันตายได้  ตรงกันข้ามในเมื่อกลายเป็นหยกแล้ว เธอจะเล่นยังไงก็เล่นได้เต็มที่ แม้กระทั่งตัดก็ตาม…