ตอนที่ 749 กลศึก

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 749 กลศึก

เป็นไปตามคาด ฟางหลิงซู่รับฟังคำของซูฉือหวู่อย่างสนใจ เขาพยักหน้าและโบกมือให้ทั้งสองเดินมาใกล้ เฝิงผิงจือเห็นแผนการของตนสำเร็จจึงหันไปยิ้มให้ซูฉือหวู่ด้วยความรู้สึกขอบคุณ

แต่หลังจากซูฉือหวู่ได้เห็นรอยยิ้มของนางแล้ว หัวใจก็เต้นแรงขึ้นมา แต่เขาจักเปิดเผยความรู้สึกมิได้ เนื่องจากเฝิงผิงจือเป็นสตรีของประมุขเผ่า

ซูฉือหวู่จึงกระแอมไอขึ้นมาเบา ๆ เพื่อปกปิดความเขินอายของตน

ทว่าทุกอย่างตกอยู่ในสายตาของเฝิงผิงจือแล้ว นางจึงหัวเราะออกมาเบา ๆ พร้อมยกยิ้มมุมปากขึ้นพลางเดินไปตรงหน้าฟางหลิงซู่

ตอนนี้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าพวกนางก็คือแผนที่อาณาเขตเผ่าปิงชวน

เมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ท่านปู่ให้นางดูมันนับครั้งมิถ้วน ดังนั้นนางจึงจดจำได้ขึ้นใจจนสามารถวาดมันออกมาได้

เมื่อมองแผนที่นี้แล้วหากต้องการขยายอาณาเขตก็ไม่มีผู้ใดรู้จักสภาพแวดล้อมโดยรอบของเผ่าปิงชวนได้ดีไปกว่าตระกูลเฝิงอีกแล้ว ด้วยเหตุนี้เฝิงผิงจือจึงรู้สึกมั่นใจขึ้นมา

จากนั้นนางก็มองไปที่ซูฉือหวู่ด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจทำให้เขารู้สึกว่าสตรีที่อยู่ตรงหน้าช่างมีเสน่ห์ยิ่งนัก

เฝิงผิงจือเป็นสตรีที่ฉลาดและมั่นใจในตัวเอง ในบางครั้งก็ดูเย่อหยิ่งไปบ้าง ซูฉือหวู่มองเฝิงผิงจืออยู่เช่นนั้นอย่างไม่กะพริบตา แต่โชคดีที่นางและฟางหลิงซู่มิได้สังเกตเห็น

ก่อนหน้านี้ท่านปู่เคยบอกกับนางว่าหากต้องการขยายอาณาเขตจักต้องขยายจากแถบที่ราบไปก่อนเพราะโดยรอบเผ่าปิงชวนมีแคว้นชิงเยว่เป็นพื้นที่ราบลุ่ม ต้าโจวเป็นพื้นที่ภูเขาซึ่งด้านหนึ่งติดกับทะเลและอีกด้านหนึ่งเป็นภูเขาอันไร้สิ้นสุด

ด้วยเหตุนี้ถ้าอยากขยายอาณาเขตต้องเริ่มจากแคว้นชิงเยว่ก่อน เนื่องจากแคว้นชิงเยว่กลายเป็นแคว้นอ่อนแอที่สุดในบรรดาแคว้นต่าง ๆ ดังนั้นการขยายอาณาเขตไปทางแคว้นชิงเยว่ย่อมมีโอกาสสำเร็จมากกว่า

เฝิงผิงจือมองแผนที่อยู่เป็นเวลานาน จากนั้นนางก็คลี่ยิ้มแล้วก็ไม่มองมันอีก นางหันไปมองฟางหลิงซู่แทน ในความเป็นจริง ฟางหลิงซู่ก็หล่อเหลา แต่เพราะอคติที่มีจึงทำให้นางไม่ได้รู้สึกชอบแต่อย่างใด

“ท่านประมุขเผ่า หม่อมฉันขอทูลตามตรงว่าตอนนี้พวกเรามิสามารถบุกโจมตีต้าโจวได้เพคะ” เฝิงผิงจือมิต้องคิดก็รู้ว่าฟางหลิงซู่อยากโจมตีต้าโจวก่อนเป็นอันดับแรก

ทั้งในแง่ของภูมิประเทศหรือกำลังทหาร ต้าโจวก็ไม่ใช่ทางเลือกดีที่สุดในเวลานี้เพราะแม้ต้าโจวอ่อนกำลังลงแต่ก็มิใช่แผ่นดินที่เผ่าปิงชวนจะยึดครองได้โดยง่าย

“หืม ? ” พอได้ยินเฝิงผิงจือกล่าวเยี่ยงนั้นก็มิรู้ว่าเพราะเหตุใดฟางหลิงซู่จึงเริ่มรู้สึกสนใจในตัวนางขึ้นมา หรือเพราะนางสามารถอ่านใจของเขาได้และชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดออกมา

เมื่อเฝิงผิงจือเห็นว่าสามารถดึงดูดความสนใจของฟางหลิงซู่ได้สำเร็จ สีหน้าของนางจึงดูมั่นใจยิ่งกว่าเดิม นางคลี่ยิ้มแล้วเริ่มกล่าวต่อ

“แท้จริงแล้วท่านประมุขเผ่าเองก็รู้ว่าแคว้นชิงเยว่เป็นตัวเลือกดีที่สุดสำหรับพวกเรา เพียงแต่แคว้นชิงเยว่มีอากาศร้อนกว่าเผ่าปิงชวนมาก มิทราบว่าเหล่าทหารจะทนต่อสภาพอากาศได้หรือไม่”

เมื่อได้ยินเช่นนั้นฟางหลิงซู่และซูฉือหวู่ต่างคาดมิถึงว่าเฝิงผิงจือจะมองปัญหานี้ออก ทำให้ทั้งสองอดมองนางมิได้ เนื่องจากสตรีที่ฉลาดเยี่ยงนี้มีอยู่น้อยมาก

ความฉลาดของอันหลิงเกอมาจากประสบการณ์ แต่ความฉลาดของเฝิงผิงจือได้มาจากความเพียรในการเล่าเรียนจนเกิดผลลัพธ์เช่นนี้ขึ้นมา

“แต่ท่านประมุขเผ่า พวกเราสามารถใช้กลศึกแบบยืดเยื้อได้เพคะ” เฝิงผิงจือกล่าวและยิ้มออกมาอย่างมั่นใจเพราะเชื่อมั่นในกลยุทธ์ของตนว่าจะไร้ปัญหาและสามารถช่วยฟางหลิงซู่ได้

“หืม ? ลองพูดมาสิว่ากลศึกยืดเยื้อเป็นอย่างไร ? ” ทันใดนั้นฟางหลิงซู่ก็เริ่มมองสตรีนางนี้ต่างไปจากเดิมเพราะสติปัญญาของนางทำให้เขาตกตะลึง

“กลศึกยืดเยื้อที่ว่าก็คือเราจักส่งทหารแนวหน้าออกไปทำศึกทีละชุดเพื่อดึงดูดความสนใจของทหารฝั่งตรงข้ามแล้วก็ถอยทัพกลับ จากนั้นก็ส่งอีกชุดไปกระตุ้นและถอยกลับ ด้วยเหตุนี้ทหารของเราก็มิต้องทนกับความร้อนเป็นเวลานานด้วยเพคะ”

ฟางหลิงซู่และซูฉือหวู่เข้าใจความหมายที่นางต้องการสื่อ เดิมทีเรื่องนี้เป็นปัญหาที่จัดการได้ยากแต่ถูกแก้ไขได้อย่างง่ายดายจากนาง ทำให้ฟางหลิงซู่อดหันไปมองเพราะนางฉลาดจนคาดมิถึง

“ท่านประมุขเผ่า กระหม่อมขอลา” เป็นธรรมดาที่ซูฉือหวู่จักมองเห็นความปรารถนาในแววตาของฟางหลิงซู่และรู้ว่าอีกฝ่ายเริ่มสนใจในตัวเฝิงผิงจือแล้ว ตนจึงควรถอยออกมา

ส่วนเฝิงผิงจือก็เข้าใจอย่างรวดเร็วและตอนนี้นางได้เข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของฟางหลิงซู่แล้ว ฟางหลิงซู่ก็กำลังมีความสุขยิ่งนักเพราะปัญหาที่ยุ่งยากมีทางแก้ไขเสียที

ฟางหลิงซู่ปฏิเสธมิได้ว่าสตรีนางนี้ฉลาด เขาจึงเริ่มชอบนางเข้าแล้ว นี่เป็นผลลัพธ์ที่เฝิงผิงจือทราบมาตั้งแต่แรก และซูฉือหวู่ก็เป็นคนที่ช่วยนาง

เมื่อคิดมาถึงตรงนี้แล้วเฝิงผิงจือก็เอนกายเข้าสู่อ้อมกอดของฟางหลิงซู่กว่าเดิมและปล่อยให้เขากอดอยู่เช่นนั้น นางรู้ว่าเขาจะมิทอดทิ้งตราบใดที่ยังสร้างประโยชน์ให้แก่เขา

เป็นอย่างที่ท่านปู่กล่าวไว้ว่าใต้หล้านี้ไม่มีสิ่งใดสามารถพึ่งพาได้นอกจากความสามารถและพรสวรรค์ของตน

เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้หลายวันมานี้ฟางหลิงซู่มิได้ไปหาอันหลิงเกออีก ทว่ามาตัวติดกับเฝิงผิงจือแทน เมื่อทิศทางลมของวังหลังเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืน เฝิงผิงจือจึงกลายเป็นคนที่ได้รับความโปรดปรานแทนชายาประมุขเผ่า

และในบรรดาสนมทั้งสี่ นางก็ได้เลื่อนเป็นสนมอันดับสูงสุด ส่งผลให้ใครต่างก็อิจฉา แต่นี่มิใช่เป้าหมายสูงสุดของเฝิงผิงจือ เพราะนางต้องการเป็นพระชายาประมุขเผ่านั่นเอง

บัดนี้เผ่าปิงชวนและแคว้นชิงเยว่ได้เปิดศึกกันแล้ว เฝิงผิงจือมิต้องมองก็รู้ว่าท้ายที่สุดเผ่าปิงชวนต้องกำชนะ หลังจากผนวกกับแคว้นชิงเยว่แล้วมินานต่อจากนั้นเผ่าปิงจวนก็ยังสามารถผนวกรวมกับอีกสองแคว้นด้านข้างได้ในคราวเดียว

เป็นอย่างที่คิดไว้ว่าหลังทำศึกมาได้หนึ่งเดือน ท้ายที่สุดเผ่าปิงชวนก็เป็นฝ่ายชนะศึก ส่วนสตรีของแคว้นชิงเยว่ก็พากันหนีตายหรือไม่ก็โดนครอบครอง

สำหรับฟางหลิงซู่ถือเป็นชัยชนะแสนยิ่งใหญ่เพราะตอนนี้แผ่นดินของเผ่าปิงชวนเป็นรองแค่ต้าโจวเท่านั้น พอคิดได้เยี่ยงนี้ความทะเยอทะยานของฟางหลิงซู่ก็พุ่งทะยานขึ้นทันที

ตอนนี้เขายังมิอยากยึดครองต้าโจวแม้จะเป็นเรื่องง่าย แต่เขาอยากเล่นกับต้าโจวให้สนุกมือเสียก่อน

เขาเก็บต้าโจวไว้ท้ายสุดเพราะต้องการทรมานมู่จวินฮานให้สาแก่ใจ

สำหรับฟางหลิงซู่แล้ว ตราบใดที่ความแค้นยังมิจางหายก็จะยิ่งสะสมและเติบโตไปตามกาลเวลา

เมื่อซูฉือหวู่กลับถึงจวนแล้ว ในสมองก็ยังเต็มไปด้วยภาพของเฝิงผิงจือ เขานึกถึงไหวพริบและความฉลาดมิกลัวอันตรายของนางตอนที่ได้ร่วมวางแผนกับพวกตน

คำพูดทุกประโยคและทุกการกระทำของเฝิงผิงจือกำลังเป็นเหมือนไฟที่แผดเผาใจเขาเพราะนางช่างฉลาดมีไหวพริบและมั่นใจในตนเองเสียจริง

พอคิดถึงเฝิงผิงจือแล้ว หัวใจของซูฉือหวู่ก็พองโต แม้เขารู้อยู่แก่ใจว่าการคิดเช่นนี้เป็นสิ่งที่ผิดเพราะนางคือสตรีของฟางหลิงซู่ แต่เขาก็อดคิดถึงนางมิได้

พอนึกถึงช่วงเวลาที่นางสนทนากับพวกเขาด้วยความมั่นใจ ซูฉือหวู่ก็พลอยรู้สึกเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นและเมื่อคิดถึงรอยยิ้มของนางก็รู้สึกว่าหัวใจกำลังยิ้มตามไปด้วย