ภาค 5 ผู้ขี่มังกรสู่ฟากฟ้า บทที่ 434 เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกสนอกสนใจ ต้องมีคนประสบภัย

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอจับอยู่บนจี้หยกที่ห้อยอยู่ตรงเอวของจอมยุทธ์สำนักกระเรียนหิมะ

จี้หยกคล้ายกับสร้างขึ้นจากหยกขาว งานฝีมือประณีตเป็นพิเศษ และสมจริงราวกับมีชีวิต

ที่เยี่ยนจ้าวเกอสนใจก็คือ จอมยุทธ์กระเรียนหิมะทุกคนจะมีจี้หยกคนละหนึ่งชิ้น คล้ายกับว่าเป็นสัญลักษณ์บ่งบอกสถานะของคนในสำนักกระเรียนหิมะ

เยี่ยนจ้าวเกอรับรู้ถึงการคลื่นปราณวิญญาณที่ส่งออกมาจากในจี้หยกเหล่านี้อย่างตั้งใจ ดวงตาค่อยๆ ทอประกายขึ้น

“เป็นศิลาวิญญาณชั้นยอดจริงๆ ด้วย ทั้งยังเป็นแก่นศิลาวิญญาณชั้นยอดที่รวบรวมส่วนสำคัญที่สุดไว้อีกต่างหาก” เยี่ยนจ้าวเกอพึมพำ “สัญลักษณ์บ่งบอกสถานะ ดูเหมือนคนในสำนักจะมีทุกคน หมายความมันไม่ใช่สิ่งที่หายากที่นี่”

เฟิงอวิ๋นเซิง อาหู่ สวีเฟย และอิงหลงถูต่างมองหน้ากัน

ในตอนนี้เยี่ยนจ้าวเกอมีท่าทางเหม่อลอยเล็กน้อย ซึ่งเห็นได้ไม่บ่อยนัก

สวีเฟยครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามเสียงเบา “เหตุใดจ้าวเกอถึงสนใจถึงเพียงนั้น ข้าเคยได้ยินเรื่องศิลาวิญญาณชั้นยอดมาก่อน มันหายสาปสูญไปจากมหาอำนาจแปดพิภพ ก่อนมหาภัยพิบัติมีอยู่น้อยมาก แต่เหมือนกับไม่ใช่ของที่ล้ำค่านัก”

เยี่ยนจ้าวเกอหัวเราะ “เป็นเพราะน้อยที่คนรู้ว่าศิลาวิญญาณชั้นยอดมีประโยชน์มาก”

“ศิษย์พี่สวีเฟย คนในโลกลอยน้ำไม่ถนัดใช้ค่ายกลที่ตั้งขึ้นโดยอาศัยความได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ เพราะว่าฝึกเลือดปีศาจ จึงศึกษาและสร้างกระบวนทัพที่ให้คนจำนวนมากร่วมกันประสานมากกว่า ทว่าเนื่องจากเวลาในการพัฒนาค่อนข้างช้า กระบวนทัพของพวกเขาจึงยังค่อนข้างตื้นเขินไปบ้าง”

เขาครุ่นคิด “ข้าศึกษาตำราโบราณและซากอารยธรรมมากมายที่ถูกค้นพบ ความจริงมีผลสำเร็จที่ยิ่งใหญ่อยู่ เป็นกระบวนทัพที่แข็งแกร่งชนิดหนึ่งก่อนมหาภัยพิบัติ น่าเสียดายที่เงื่อนไขในการตั้งกระบวนทัพค่อนข้างสูง เหมือนเช่นสตรีที่ดีไร้ข้าวมิอาจหุง[1] ได้แต่เก็บไว้บนชั้นวาง

“แต่ถ้าหากมีแก่นศิลาวิญญาณชั้นยอดจำนวนมาก หนึ่งในสองเงื่อนไขของการตั้งกระบวนทัพจะได้รับการแก้ไข”

ชายหนุ่มมองไปรอบๆ “เพราะปราณวิญญาณจากใยดิน ของล้ำค่าที่มีประโยชน์ต่อการฝึกฝนของจอมยุทธ์เผ่ามนุษย์อย่างพวกเราบนโลกลอยน้ำมีน้อยยิ่ง ตลอดทางที่เดินทางมาข้าไม่พบสิ่งของใดๆ ที่พอจะมีความคุ้มค่าเลย เมื่อดูจากมาตราฐานของมหาอำนาจแปดพิภพ หากบอกว่าที่นี่คือดินแดนซึ่งไร้ความเจริญก็ไม่ได้กล่าวเกินไปเลย”

สายตาของเยี่ยนจ้าวเกอจับจ้องอยู่บนจี้หยกข้างเอวของจอมยุทธ์กระเรียนหิมะ “แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว”

เฟิงอวิ๋นเซิงถาม “เมื่อครู่ท่านบอกว่าจำเป็นต้องใช้แก่นศิลาวิญญาณชั้นยอดจำนวนมาก เท่าใดถึงจะเรียกว่ามากเล่า”

เยี่ยนจ้าวเกอตอบเหมือนไม่มีเรื่องราวใด “อืม มากกว่าหนึ่งพันจิน[2] กระมัง”

พวกเฟิงอวิ๋นเซิงมีสีหน้ารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้

“ศิษย์พี่เยี่ยน ถึงจะทราบว่าเมื่อท่านลงมือ มักก่อให้เกิดผลลัพธ์สะเทือนฟ้าสะเทือนดิน แต่ว่าผลลัพธ์เช่นนี้ไม่ใช่ว่าใครจะทำได้” เฟิงอวิ๋นเซิงยิ้มเจื่อน “ผลลัพธ์ที่ดีจำเป็นต้องมีต้นทุนมากพอด้วย”

ชายหนุ่มหัวเราะฮ่าๆ “เช่นนั้นหรือ”

สวีเฟยส่ายศีรษะยิ้มอย่างหนักใจเช่นกัน “ข้าเคยได้ยินแค่ศิลาวิญญาณชั้นยอด ไม่เคยได้ยินแก่นศิลาวิญญาณชั้นยอดมาก่อน แต่ข้ารู้จักหยกครามกับแก่นหยกคราม ศิลาเพิ่มพลังและแก่นศิลาเพิ่มพลัง ดูจากชื่อแล้ว แก่นศิลาวิญญาณชั้นยอดน่าจะเกิดขึ้นจากการรวมตัวส่วนสำคัญของปราณวิญญาณ”

“ตามปกติแล้ว การรวมตัวของส่วนสำคัญเหล่านั้น ปริมาณที่ได้ อย่างมากก็แค่หนึ่งในร้อยส่วนของก้อนศิลาที่ใช้สร้างเท่านั้น”

“เจ้าต้องการแก่นศิลาวิญญาณชั้นยอดมากกว่าหนึ่งพันจิน เช่นนั้นศิลาที่ต้องใช้มีจำนวนเท่าใดกัน ต้องขุดแร่ที่ใช้สร้างศิลาเหล่านั้นอีกกี่ครั้ง ต้องใช้แร่เท่าใดถึงจะทำให้ความต้องการของเจ้าเป็นจริงได้” สวีเฟยถอนใจพลางกล่าว “ศิลาวิญญาณชั้นยอดของมหาอำนาจแปดพิภพสาปสูญไปแล้ว แต่ต่อให้รวบรวมศิลาวิญญาณชั้นยอดที่ผลิตออกมาทั้งหมดในประวัติศาสตร์ ก็ไม่พอให้เจ้าใช้อยู่ดี”

“ศิลาวิญญาณชั้นยอดในโลกลอยน้ำอาจจะมีมาก แต่จะพอกับจำนวนที่เจ้าต้องการหรือไม่”

เยี่ยนจ้าวเกอลูบคางของตนเอง หัวเราะแหะๆ “ข้าอุตส่าห์สนใจโลกลอยน้ำนี้ขึ้นมาหน่อยแล้ว พวกท่านอย่าดับความหวังข้าสิ”

อาหู่ยิ้มซื่อ “คุณชาย ท่านสนใจที่นี่ เกรงว่าที่นี่คงประสบเพทภัยแน่”

ชายหนุ่มยักไหล่เล็กน้อย “พูดตอนนี้ยังเร็วไป จำเป็นต้องยืนยันเรื่องบางอย่างกับเจ้าสำนักซูก่อน”

ขณะที่พูดกัน ก็มีคลื่นพลังงานอันแข็งแกร่งส่งมาจากที่ไกลออกไป

การสั่นไหวของพลังนั้นเป็นครั้งหนึ่งที่แข็งแกร่งที่สุดที่ได้เจอในโลกลอยน้ำ

แต่สิ่งที่ทำให้พวกเยี่ยนจ้าวเกอหวั่นใจก็คือ คลื่นพลังนี้มิใช่ของจอมยุทธ์เลือดปีศาจ แต่เป็นของจอมยุทธ์ที่ฝึกฝนเหมือนพวกเขา

เหนือท้องฟ้าไกลออกไปมีพายุหิมะพัดมา

พวกเยี่ยนจ้าวเกอมองแวบหนึ่ง ‘เปลี่ยนปลอมเป็นจริง หลอมจิตรากลายเป็นญาณ ความสามารถของมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณ’

พายุหิมะเข้ามาใกล้ ภูเขาหิมะเกิดการสั่นสะเทือน คล้ายกับหิมะกำลังถล่ม

แต่ว่าผู้มาเยือนหยุดสภาวะเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว ในตอนที่พุ่งลงมาบนภูเขาหิมะ ก็พลันสลายพายุหิมะ แสงสว่างหมุนเวียน มาถึงเบื้องหน้าพวกเยี่ยนจ้าวเกอ

เยี่ยนจ้าวเกอมองไป เห็นอีกฝ่ายเป็นสตรีวัยกลางคน สวมชุดสีขาว เค้าหน้าดีกว่ามาตรฐาน แต่ว่ามีบุคลิกเปิดเผย มีลักษณะพิเศษเป็นของตัวเอง

จอมยุทธ์สำนักกระเรียนหิมะที่อยู่รอบๆ ยามนี้คำนับพร้อมกัน “คารวะท่านเจ้าสำนัก”

สตรีชุดขาวผู้นั้นพยักหน้าให้ทุกคน จากนั้นนางก็มองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอ เอ่ยปากถามว่า “ข้าชื่อซูอวิ๋น เจ้าสำนักกระเรียนหิมะ ไม่ทราบว่าท่านมีคำเรียกหาว่าอะไร”

ชายหนุ่มยิ้มพลางประสานมือ “ข้าแซ่เยี่ยน นามว่าจ้าวเกอ คารวะเจ้าสำนักซู”

ขณะที่ซูอวิ๋นพิจารณาเยี่ยนจ้าวเกออย่างละเอียด นางก็ถามขึ้นว่า “ท่านบอกว่าเป็นลูกหลานของสหายเก่า เพียงแต่ไม่ทราบว่าเป็นลูกหลาน หรือมีความเกี่ยวข้องอย่างอื่น”

เยี่ยนจ้าวเกอแบมือยิ้มตอบ “ถ้าหากมาแก้แค้น พวกข้าคงไม่พูดเช่นนี้”

ซูอวิ๋นกล่าวอย่างราบเรียบ “ขออภัยที่ข้าสงสัยมากไป แต่นี่เป็นเรื่องที่ยากจะอธิบาย”

“ก็ถูกอยู่” เยี่ยนจ้าวเกอไม่ถือสา ก่อนจะแสดงปิ่นหยกที่มีลายกระเรียนหิมะ “ของสิ่งนี้มีความเป็นไปได้ว่าจะข้าจะแย่งชิงมา จากนั้นก็เอามาสวมรอยหรือไม่”

เจ้าสำนักกระเรียนหิมะกล่าว “เป็นไปได้ แต่ต้องพิสูจน์ ทว่ากลับง่ายยิ่ง”

“อ้อ” เยี่ยนจ้าวเกอเลิกคิ้วเล็กน้อย

ซูอวิ๋นอธิบาย “ปิ่นปักผมชิ้นนี้เป็นเครื่องประดับในอดีตของนายหญิงจริงๆ และข้าทราบว่านายหญิงได้หลอมเลือดและสารจำเป็นของตัวเองในปิ่นนี้ เมื่อสัมผัสกับสายเลือดที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับนายหญิง จะเกิดปฏิกิริยาขึ้น”

“ดังนั้นการพิสูจน์จึงง่ายดายยิ่ง ท่านใส่พลังของตัวเองเข้าไปด้านในก็พอแล้ว และดูว่าปิ่นหยกนี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่”

เยี่ยนจ้าวเกอใช้นิ้วลูบปิ่นกระเรียนหิมะ พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม “มิน่าข้าจึงรู้สึกได้ว่าบนปิ่นสลักพิธีกรรมที่น่าอัศจรรย์เกินบรรยายไว้

“ในอดีตคำนวณไว้แล้วหรือว่าจะมีคนเดินทางนับหมื่นลี้ มาตามหาท่านแม่ที่นี่”

ซูอวิ๋นส่ายศีรษะ “นี่เป็นเครื่องประดับที่นายหญิงสร้างขึ้นในตอนที่ฝึกฝนวิชาบูชาเลือดหลอมอาวุธ เพียงแต่มีผลเช่นนี้พอดี จึงทำให้พวกเราสะดวกขึ้น

“มีแต่สายเลือดบริสุทธ์เท่านั้นจึงจะมีผล ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกังวลว่าตัวปลอมจะหลอมรวมกับร่างกายของตนเอง หลังจากได้รับเลือดและสารจำเป็นบางส่วนของตัวเองจริงเพื่อสวมรอย ดูจากท่าทีของท่าน ไม่เหมือนถูกคนขู่บังคับ”

ชายหนุ่มหันไปมองเฟิงอวิ๋นเซิง สวีเฟย อาหู่ และอิงหลงถู ก่อนจะยิ้มขึ้น “เหตุใดถึงเป็นข้า มิใช่สหายของข้า ในใจท่านคงจะแน่ใจสถานะของข้าแล้วใช่หรือไม่”

ซูอวิ๋นมองเยี่ยนจ้าวเกอ ในที่สุดรอยยิ้มก็ผุดขึ้นบนใบหน้า “หว่างคิ้วของท่านเหมือนกับนายหญิงอยู่สี่ห้าส่วน โดยเฉพาะตอนยิ้ม ดูเหมือนกันยิ่งนัก”

……………………………………….

[1] สตรีที่ดีไร้ข้าวมิอาจหุง สุภาษิตจีน หมายถึง ไร้วัตถุดิบก็ไม่อาจสร้างสิ่งใดได้

[2] 1 จิน เท่ากับ 500 กรัม