ภาค 5 ผู้ขี่มังกรสู่ฟากฟ้า บทที่ 435 คารวะนายน้อย

ตำนานศิษย์พี่เจ้าปฐพี

เยี่ยนจ้าวเกอถือปิ่นกระเรียนหิมะด้วยท่าทีสบายๆ “ตามที่ข้าทราบ มารดาของข้าไม่มีญาติร่วมสายเลือดคนอื่นอีก”

ซูอวิ๋นพยักหน้า “เรื่องที่ข้าทราบเป็นแบบนั้นเช่นกัน ดังนั้นถ้าหากมี สมควรเป็นบุตร”

ชายหนุ่มถามอย่างสนใจ “เช่นนั้นหากบิดาข้ามา จะทำอย่างไร”

เจ้าสำนักกระเรียนหิมะยิ้ม “ถ้าหากสามีของนายหญิงมา ข้าก็ไม่มีทางแยกแยะออก ได้แต่ต้องปฏิเสธ การล่วงเกินเขาเป็นเรื่องที่มิอาจหลีกเลี่ยง

“แต่ข้าเชื่อว่าด้วยมาตรฐานของนายหญิง เขาย่อมไม่อ่อนไปกว่านาง ข้าไม่น่าจะมีพลังขัดขวางเขาได้”

รอยยิ้มของเยี่ยนจ้าวเกอแปลกประหลาดอยู่เก้าส่วน “เช่นนั้นหมายความว่าข้าดูข่มเหงง่ายอย่างนั้นหรือ”

ซูอวิ๋นส่ายหน้า พูดอย่างแน่วแน่ “ไม่ว่าข้าจะเป็นคู่ต่อสู้หรือไม่ แต่ถ้ามีคนประสงค์ร้ายต่อนายหญิง ข้าจะสู้ให้ถึงที่สุด”

เยี่ยนจ้าวเกอครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะกวาดสายตามองจอมยุทธ์สำนักกระเรียนหิมะที่อยู่รอบๆ

เมื่อครู่ซูอวิ๋นพูดในระดับเสียงปกติ ไม่ได้กระซิบแต่อย่างไร ดังนั้นคนโดยรอบจึงได้ยินทุกอย่างอย่างชัดเจน

ทุกคนในสำนักกระเรียนหิมะล้วนมีสีหน้างงงัน

ในความทรงจำแต่เดิมของพวกเขา พลังของเจ้าสำนักมักจะทำให้คนคาดเดาไม่ออก ถึงแม้จะบอกว่าพลังฝึกปรือของตนไม่ได้อยู่ในระดับยอดฝีมือสูงสุดของโลกลอยน้ำก็ตาม แต่แค่พลังที่แสดงออกมาก็แข็งแกร่งสุดขีดแล้ว

วรยุทธ์หลอมปราณที่ผู้อื่นมิอาจทำได้ เจ้าสำนักกลับฝึกฝนจนอยู่ในระดับที่สูงส่งที่สุด ไม่ให้จอมยุทธ์เลือดปีศาจเอารัดเอาเปรียบได้

ในฐานะคนเพียงคนเดียวที่ไม่ฝึกฝนสายเลือดสัตว์ปีศาจ แต่เป็นวรยุทธ์ดั้งเดิมก่อนมหาภัยพิบัติ สำนักกระเรียนหิมะยึดครองพื้นที่แห่งหนึ่งในโลกลอยน้ำได้ มิใช่เป็นเพียงเพราะว่าบุตรีของซูอวิ๋นเแต่งงานกับบุตรชายของเจ้าสำนักเขามังกรเขียว

ความแข็งแกร่งของพลังฝึกปรือที่ซูอวิ๋นมีก็เป็นเหตุผลสำคัญเช่นกัน

พูดอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ว่าสำนักไหนจะสามารถแต่งงานกับบุตรชายของเจ้าสำนักเขามังกรเขียวได้

แต่ในตอนนี้ จอมยุทธ์สำนักกระเรียนหิมะกำลังมองเจ้าสำนักซึ่งพวกเขาเคารพเหมือนเทพเจ้ามาโดยตลอด มีท่าทีเคารพนบน้อม เต็มไปด้วยความศรัทธาในตอนที่พูดถึง ‘นายหญิง’

ซูอวิ๋นในตอนนี้กลับเหมือนไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใด สีหน้าสงบราบเรียบ ให้ความรู้สึกว่านี่เป็นเรื่องสมเหตุสมผลแล้ว

เยี่ยนจ้าวเกอมองนาง ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวอย่างเชื่องช้า “คนที่ไม่มีความเกี่ยวพันทางสายเลือด แต่หน้าตาละหม้ายคล้ายกัน หรือเหมือนกันไม่มีผิด บนโลกใบนี้ใช่ว่าไม่มี”

“ท่านเป็นคนจริงใจ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้ท่าน”

พูดจบ เยี่ยนจ้าวเกอก็แบมือ ยื่นปิ่นกระเรียนหิมะมาด้านหน้า จากนั้นก็แบ่งญาณจริงแท้ส่วนหนึ่งส่งเข้าไปด้านใน

ปิ่นกระเรียนหิมะสั่นไหวเล็กน้อยกลางฝ่ามือเยี่ยนจ้าวเกอ พลันเกิดลำแสงโชติช่วงสว่างวาบขึ้น

ร่างกระเรียนหิมะขนาดยักษ์ตัวหนึ่งปรากฏขึ้นมาท่ามกลางแสงสว่าง จากนั้นก็สยายปีกส่งเสียงร้องไพเราะ

ซูอวิ๋นมองกระเรียนหิมะตัวนี้ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ดวงตาเหม่อลอยอยู่ชั่วขณะ

จอมยุทธ์สำนักกระเรียนหิมะคนอื่นมองกระเรียนหิมะยักษ์ตัวนั้นอย่างตกตะลึงเช่นกัน

มีคนบางคนตอบสนองเร็วยิ่ง บนใบหน้าปรากฏความเข้าใจ

ซูอวิ๋นเป็นผู้ก่อตั้งสำนักกระเรียนหิมะ นางยังมิได้เสียชีวิต แต่ในศาลบรรพบุรุษของสำนักกระเรียนหิมะ ลูกศิษย์ทุกคนมีธูปและตะเกียงที่ต้องบูชาแล้ว ธูปและตะเกียงนั้นมิใช่ของซูอวิ๋น แต่เป็นกระเรียนหิมะตัวหนึ่ง

ผู้คนต่างเล่าลือกันไปมากมาย บ้างบอกว่าซูอวิ๋นช่วยชีวิตกระเรียนหิมะ จึงได้รับการตอบแทน จนมีรากฐานของสำนักกระเรียนหิมะเช่นทุกวันนี้

บ้างบอกว่าความสามารถของซูอวิ๋นมาจากกระเรียนหิมะตัวหนึ่ง

ข่าวลือที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือได้คือ ในอดีตซูอวิ๋นถูกยอดฝีมือผู้หนึ่งเก็บมาเลี้ยง กลายเป็นกึ่งคนรับใช้กึ่งลูกศิษย์ ผู้คนเรียกยอดฝีมือคนนั้นว่ากระเรียนหิมะ แต่ต่อมากลับหายสาปสูญไป

ซูอวิ๋นเปิดสำนัก เพราะนึกถึงบุญคุณของยอดฝีมือผู้นั้น จึงตั้งชื่อสำนักว่ากระเรียนหิมะ ใช้กระเรียนหิมะเป็นสิ่งระลึกถึง พร้อมกับบูชาไปด้วย

ทุกคนในสำนักกระเรียนหิมะทราบว่า ข่าวลือสุดท้ายเป็นจริง

ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าซูอวิ๋นเหตุใดจึงไม่ยกย่องยอดฝีมือคนนั้นเป็นบรรพบุรุษของสำนัก และบูชาธูปตะเกียงของคนเป็น แม้แต่ชื่อยังไม่ยอมบอกคนรุ่นหลัง ทั้งยังใช้กระเรียนหิมะเป็นสิ่งรำลึกถึง

แต่ยอดฝีมือคนนั้นกลับมีตัวตนอยู่จริงๆ และเป็นต้นกำเนิดของสำนักกระเรียนหิมะด้วย

เมื่อเชื่อมต่อกับคำพูดที่ว่าเป็น ‘ลูกหลานของสหายเก่า’ ของเยี่ยนจ้าวเกอ จอมยุทธ์สำนักกระเรียนหิมะทุกคนก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นมา

ซูอวิ๋นมองกระเรียนหิมะเนิ่นนานไม่พูดจา สักพักจึงค่อยถอนใจ เคลื่อนสายตามาจับอยู่บนร่างของเยี่ยนจ้าวเกออีกครั้ง

สายตาที่นางมองไปยังเยี่ยนจ้าวเกอในตอนนี้มีความเคารพและความอ่อนโยนอยู่หลายส่วน กอปรไปด้วยความซาบซึ้งมากมาย

มหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณท่านนี้ได้ทำสิ่งที่ทำให้ทุกคนที่อยู่รอบๆ ตกใจเล็กน้อย

นางคำนับเยี่ยนจ้าวเกอเบื้องหน้าอย่างไม่ลังเล “คารวะนายน้อย ได้เจอท่านถือเป็นเกียรติของข้ายิ่งนัก”

เยี่ยนจ้าวเกอพลันใช้ญาณจริงแท้ประคองนางลุกขึ้น ขณะที่นางยังไม่ทันคำนับเสร็จ

ซูอวิ๋นประหลาดใจนัก นางเป็นถึงมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณ คิดจะหยุดการเคลื่อนไหวของนางจำเป็นต้องใช้พลังมากมายนัก

เมื่อญาณจริงแท้ของทั้งสองกระทบกัน นางจึงเข้าใจว่า ชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปีเบื้องหน้านี้มีพลังฝึกปรือเป็นมหาปรมาจารย์ขั้นกำเนิดญาณเหมือนกับนาง!

อายุยังน้อยกลับมีระดับพลังฝึกปรือขนาดนี้แล้ว เป็นเรื่องที่น่าพรั่นพรึงถึงขนาดไหนกัน?

‘สมควรบอกว่าไม่เสียทีที่เป็นบุตรของนายหญิงมากกว่ากระมัง’ ซูอวิ๋นชมเชยในใจ ‘ไม่ นายน้อยเป็นเหมือนคลื่นลูกหลังไล่ทันคลื่นลูกหน้า!’

เยี่ยนจ้าวเกอรู้สึกได้ถึงการสั่นไหวของญาณจริงแท้จากตัวซูอวิ๋น เขาเข้าใจในทันที ‘คัมภีร์นภารังสรรค์ชีวิต! หนึ่งในผู้สืบทอดสายเลือดหยกกระจ่าง!’

‘อืม ยอดเยี่ยมกว่าวิชาของเขากว่างเฉิงเสียอีก มารดาของข้าผู้นี้มีความเป็นมาอย่างไรกันแน่’

เยี่ยนจ้าวเกิดความคิดแล่นผ่านสมองประดุจสายฟ้า แต่เขาก็ตั้งสติ ให้ความสำคัญกับตรงหน้าอย่างรวดเร็ว

เขามองซูอวิ๋นอย่างเรียบเฉย เอ่ยว่า “ท่านแม่ถ่ายทอดคัมภีร์นภารังสรรค์ชีวิตให้ท่าน ไม่ได้ปฏิบัติกับท่านเป็นหญิงรับใช้” นางมิได้รับท่านเป็นศิษย์ พวกท่านมีอายุใกล้เคียงกัน ข้าขอเรียกท่านว่าท่านน้าซูแล้วกัน”

ซูอวิ๋นมองเยี่ยนจ้าวเกอ ยิ้มเล็กน้อย “นายน้อยทำข้าลำบากใจนัก”

นางในตอนนี้ไม่มีท่าทีเคร่งขรึมเช่นก่อนหน้าอีก หลังจากยืนยันสถานะของเยี่ยนจ้าวเกอได้แล้ว ก็พลันมีท่าทีอบอุ่นเหมือนสายลมในฤดูใบไม้ผลิ

ทุกคนในสำนักกระเรียนหิมะยามนี้ประดักประเดิดมาก ก่อนหน้านี้ยังระมัดระวังตัว แต่ท่าทีของเจ้าสำนักของตนกลับอ่อนน้อมถ่อมตนยิ่ง พวกเขาจึงไม่ทราบว่าควรทำอย่างไร

บารมีของซูอวิ๋นมิอาจสั่นคลอน ต่อให้เจอเรื่องในวันนี้ ทุกคนในสำนักก็ไม่อาจแสดงความไม่พอใจได้

แต่มีบางคนยึดถือทิฐิ ในใจรู้สึกคับข้องแต่ระบายออกมาไม่ได้

บุรุษร่างกำยำอายุสามสิบกว่าปีผู้หนึ่งหันไปมองคนสองคนที่อยู่ด้านข้าง ส่ายหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็คำนับเยี่ยนจ้าวเกอ “ฉางเอินแห่งสำนักกระเรียนหิมะ ขอคารวะคุณชายเยี่ยน”

การคำนับของเขานอบน้อมยิ่ง

“ศิษย์พี่ใหญ่?!” จอมยุทธ์สำนักกระเรียนหิมะคนอื่นมองศิษย์พี่ใหญ่ของตนเองด้วยความตกใจมากกว่าเดิม

ฉางเอินปากไม่ขยับ ใช้ปราณจิตรากระซิบกับสหายร่วมสำนัก ‘ต่อให้ไม่ดูสถานะ ก็ต้องดูพลังฝึกปรือของอีกฝ่ายด้วย!’

คนอื่นมิอาจกระซิบ จึงถามเสียงเบาว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านดูตื้นลึกหนาบางของพวกเขาออกหรือขอรับ”

ฉางเอินแทบจะอยากอุดปากเขาไว้ เขามองพวกเยี่ยนจ้าวเกอด้วยรอยยิ้ม พลางกระซิบต่อ ‘คนอื่นข้าดูไม่ออก ข้าแค่มองพลังฝึกปรือของเด็กหนุ่มผู้นั้นออก’

‘เด็กน้อยนั่นอย่างต่ำสุดเป็นถึงปรมาจารย์ขั้นจิตราชั้นนอกระยะต้นเชียว!’ ฉางเอินกล่าวแทบจบประโยคในคำเดียว ‘พวกเจ้าคิดว่าผู้ใหญ่ที่เขามา จะมีพลังฝึกปรือระดับไหน’