“ นั่นเป็นเพียงสัญญาณเริ่มต้นของสิ่งที่จะเกิดขึ้น ”
โจวเจียนฮั่นพูดอย่างเยือกเย็น
“ แผนการนี้ต้องมีการวางแผนการที่จริงจังจำนวนมาก่อนที่จะเริ่มมีการดำเนินการ จากทั้งหมดนี้ สกุลจวินนั้นเป็นสกุลทางทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรเทียนเชียง และแม้ว่าองค์จักรพรรดิจะไม่กังวลในสกุลของเจ้า อย่างไรก็ตาม แผนการของพวกเขาก็ดูเหมือนจะชัดเจนอย่างมาก ”
“ ฮ่าฮ่า กลิ่นนมแม่ของพวกเขายังไม่แห้งเลย และเด็กทั้งสามคนนั้น คิดจะเอาสกุลของข้าเป็นเป้าหมาย … ”
จวินวูอี้หัวเราะอย่างเยือกเย็น
“ ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยความจริงที่ว่า สกุลตู่กู้นั้นยังไม่สามารถหาคนที่คู่ควรกับลูกสาวของเขาได้ และทำให้สถานะของพวกเขานั้นไม่ชัดเจนในเรื่องนี้ ”
โจวเจียนฮั่นพยักหน้า
“ ซื่อสัตย์มาก ข้าก็มองไปถึงเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน หากสกุลหลักทางการทหารของอาณาจักรเทียนเชียงต้องแตกแยกกัน … หากเสาหลักของอาณาจักรนั้นแตกหัก นั้นจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับพวกเรา และข้าสามารถนำพากองทัพของข้าเข้ามาทำลายกองกำลังของเจ้าได้ภายในชั่วพริบตา และจากนั้นจากนั้นข้าก็สามารถขยายแผนที่ของยูถังได้อย่างง่ายดาย ! มันจะน่าประหลาดใจสักเพียงใด หากข้าสามารถผนวกรวมทั้งโลกนี้เข้าด้วยกันได้ภายในการเคลื่อนพลเพียงครั้งเดียว ?! ”
“ เจ้าบอกเรื่องนี้กับข้าทำไม ? มันมีอะไรสำหรับเจ้า ?! ”
จวินวูอี้คำรามทางจมูก
“ ข้าไม่สามารถปิดบังสิ่งนี้ต่อหน้าจวินวูเห่ย ! ข้าบอกเรื่องนี้กับเจ้าเพราะว่าเจ้านั้นเป็นคนในสกุลของจวินวูเห่ย และเขานั้นเป็นู่ต่อสู้ที่น่าเคารพมากที่สุด ”
โจวเจียนฮั่นหันหน้าและมองไปยังรูปปั้นของจวินวูเห่ยอีกครั้ง จากนั้นเขาก็พูดช้าๆ
“ ข้ากำลังมองไปยังชายและหญิงที่เกิดมาในสกุลจวินด้วยความสามารถของจวินวูเห่ย แต่กระนั้น ข้าจะไม่ปล่อยให้สกุลที่เป็นวีรบุรุษต้องดับสูญไปด้วยพลังด้านมืด ”
“ นี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่ข้าสามารถทำให้แก่ ผู้ ที่หัวใจข้าเคารพนับถือได้ ”
โจวเจียนฮั่นยืนหลังตรงและเดินตรงไปยังรูปปั่นของจวินวูเห่ยอีกครั้ง มองขึ้นไป และเพ่งมองอยู่เป็นเวลานาน แล้วเขาหันหน้ามาในทันที
“ ข้าต้องขอตัว ! ”
“ ข้าไม่ต้องการจะเจอกับเจ้าอีก ! ”
จวินวูอี้พูดด้วยน้ำเสียงที่เกรี้ยวกราด และจากนั้นเขาพยักหน้า
“ … และข้าจะไม่ขอบคุณเจ้า ! ”
โจวเจียนฮั่นยืนนิ่งอยู่เป็นเวลานานก่อนที่จะยิ้มให้กับจวินวูอี้ และถามด้วยน้ำเสียงที่แหบห้าว
“ เจ้าไม่อยากจะเจอข้าหรือ ? ”
ในขณะที่เขาถามเสียงของเขาเบาลงในทันที
“ ข้าไม่สำคัญมากพอหรือ ? หรือบางทีข้าอาจจะไม่มีค่ามากพอ ? ”
จวินวูอี้เงียบอยู่สักพัก แต่จากนั้นเขาก็ยิ้มและพูด
“ เป็นเช่นนั้น ”
“ เข้าใจแล้ว ”
โจวเจียนฮั่นสูดหายใจลึก
“ เมื่อข้าจากไป ข้าจะกลับไปยูถังในทันที ! จวินวูอี้ หากเราได้พบกันอีกในสมรภูมิ … จงอย่าลังเล และอย่าได้คิดว่าข้าจะไม่โจมตีเจ้าอย่าไร้ความว่านี้เพราะเรื่องในวันนี้ ! ”
ด้านข้างๆของใบหน้าของเขา แสดงถึงร่องรอยแห่งความเศ้ราโศก
“ ตลอดหลายปีมานี้ ข้าเฝ้ารอเพื่อสิ่งนี้ และข้าก็เหนื่อยแล้ว ! ขุนพลผู้ที่ไม่สามารถเอาชนะได้ .. แต่ข้านั้นเป็นเพียงขุนพลที่โชคดี ! ”
เมื่อเขาพูดประโยคสุดท้ายจบ เขากลับหลังและเดินจากไป .. โดยที่ไม่มองกลับมา .. โดยที่ไม่พูดอะไรอีกแล้ว เงาอันหดหู่ของเขาเดินจากไป ชุดคลุมสีดำของเขาปลิวสบัดด้วยสายลม หัวของเขาตั้งตรง และร่างของเขาก็ค่อยๆหายไปช้าๆอย่างไร้ร่องรอย …
ทหารของอาณาจักรเทียนเชียงที่อยู่ทั้งสองฝั่งของทางเดินนั้น ทำได้เพียงแค่เพ่งมองไปยัง แม่ทัพของศัตรูด้วยความเกรงขาม
“ ชายผู้นี้ช่างหยิ่งทนงยิ่งนัก ”
จวินวูอี้กระซิบขณะที่เขาเพ่งมองไปยังร่างที่กำลังหายไปของโจวเจียนฮั่น
“ ในอตีด พี่ใหญ่เคยพูดว่า ความหญิ่งทะนงในตัวของเขานั้นคือจุดอ่อนที่ยิ่งใหญ่ และสามารถที่จะใช้เพื่อล่อให้เขาไปติดกับดักได้ และเขาก็ก้าวเข้าไปในกับดักนั้นทุกครั้งโดยที่ไม่ได้เตรียมตัว ”
จวินโม่เซี่ยอดที่จะกลั้นขำไม่ได้
“ ใช่ แต่ตอนนี้เขาควรจะตายไปแล้วเป็นร้อยครั้ง … การที่มีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ง่ายสำหรับเขา ”
“ แม้ว่าชายผู้นี้จะหยิ่งทะนง แต่ความหยิ่งทะนงนี้ คือสมบัติที่ล้ำค่าที่สุดของเขา เขานั้นเชี่ยวชาญในทุกรูปแบบการต่อสู้ ทุกกลยุทธ์ของการซุ่มโจมตี และความรู้ในเรื่องการสู้รบของเขานั้นอยู่เหนือกว่าทุกคน ด้วยความสามาถของเขา เหตุใดเล่าเขาถึงไม่ควรหยิ่งทะนง ? หากข้าเป็นเขา ข้าก็จะเป็นเช่นเดียวกัน ! ”
จวินวูอี้ยิ้ม
“ และพ่อของเจ้า ก็นับถือความสามารถที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้เสมอ แม้ในช่วงที่สิ้นหวังมากที่สุด ชายผู้นี้ก็ไม่เคยยอมแพ้ ความจริงเขาไม่เคยยอมแพ้ แม้ว่าเขาจะพ่ายแพ้มาหลายครั้ง … พ่อของเจ้าและข้า เคยคุยกัน และเขาเคยบอกข้าว่าแม้แต่เขาก็ไม่สามารถที่จะทำเช่นนี้ได้ ! โจวเจียนฮั่น คือชายที่ยอดเยี่ยม ! เขาไม่เคยยอมแพ้ แม้ว่าเขาจะเจอกับสถานการณ์ที่รุนแรงขนาดใหนก็ตาม ! ”
จวินโม่เซี่ยทำได้แค่เห็นด้วยความคำพูดนี้อยู่ในใจ
การแล่นเรือใบโดยไม่มีลมนั้นมิใช่ความสามารถที่น่านับถือ การมีชีวิตอยู่ท่ามกลางความทุกข์ยากและต่อสู้เพื่อความอยู่รอด และตอบโต้กลับไปนั้นคือสัญญาณแห่งวีรบุรุษตัวจริง !
“ ในเวลานั้น เมื่อพวกเราพยายามศึกษาโจวเจียนฮั่น และมันก็เป็นคำพูดและการกระทำของเขาที่ช่วยให้พ่อของเจ้าตัดสินใจเลือกกลยุทธ์เพื่อต่อสู้กับโจวเจียนฮั่น ”
คำพูดของจวินวูอี้นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความหยิ่งทะนง
“ และกลยุทธ์ของเขานั้นยังสามารถใช้ได้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับโจวเจียนฮั่น ! ”
“ ห๊ะ ? ”
จวินโม่เซี่ยสนใจอยากจะรู้เรื่องนี้มากขึ้น
“ ในตอนนั้นโจวเจียนฮั่นนั้นคืออัศวินหนุ่มผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งในอาณาจักรยูถัง และเสนาบดีผู้มีชื่อเสียงในอาณาจักรคนหนึ่งต้องการจะมอบลูกสาวของเขาให้แต่งงานกับโจวเจียนฮั่น แต่หญิงคนนั้นอ้วนและน่าเกลียดอย่างมาก ”
จวินวูอี้ยิ้ม
“ ในตอนนี้ โจวเจียนฮั่นพูดอย่างเถรตรงต่อหน้าเหล่าเสนาบดีทั้งหลายว่า หญิงสาวที่น่าเกลียดเช่นนี้ มีค่าพอกับขุนพลผู้ฉลาดหลักแหลมได้อย่างไร ? ”
จวินโม่เซี่ยหัวเราะลั่น
“ ครั้งแรกที่พี่ใหญ่ได้ยินเรื่องนี้ เขาพูดว่า โจวเจียนฮั่นนั้นหยิ่งทะนง ไม่เข้าใจในอำนาจทางการเมือง และความสามารถนั้นดีเด่นเกินกว่าสหายของเขาทุกอย่าง เขานั้นถือตัวเองอย่างสูง เมื่ออาณาจักรยูถังขาดผู้ที่มีความสามารถเช่นนี้ พวกเขาจะยอมให้เขาแหกกฏเพื่อความรุ่งโรจของเขา แต่มีสิ่งที่แย่สำหรับเขา ความหยิ่งทะนงและรักสันโดษนั้นดีที่จะเรียนรู้คนในทุกแง่มุม แต่ความหยิ่งทะนงก็เป็นข้อบกพร่องที่ร้ายแรงจนทำให้ถึงแก่ความตายได้ ! แม้ว่าในอนาคต เมื่อใดก็ตามที่มีใครสามารถรู้ถึงจุดอ่อนนี้ คนผู้นั้นก็จะสามารถที่จะต่อกรกับโจวเจียนฮั่นได้ ! ”
น้ำเสียงของจวินวูอี้นั้นเต็มไปด้วยความทรงจำ
“ พี่ใหญ่เคยพูดว่า โจวเจียนฮั่นนั้นเป็นขุนพลธรรมดา แต่เขาสามารถก้าวขึ้นมาเป็นขุนพลที่มีชื่อเสียงที่สุดในอาณาจักรยูถังด้วยเวลาเพียงสองปี ! พี่ใหญ่ยังบอกอีกว่า ความอ่อนแอของเขานั้นก็ยังคงอยู่ การมองหาความอ่อนแอของเขานั้นมิใข่เรื่องยาก แต่การจะใช้จุดอ่อนของเขาเพื่อทำให้ดีกว่าเขานั้นมิใช่เรื่องง่าย เพราะบุคลิคที่มุ่งมั่นอย่างไม่หยุดยั้งของเขา มันต้องใช้มากกว่าความหายนะที่รุนแรง เพื่อลบล้างจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเขา แต่สุดท้ายแล้วเขาก็จะกลับมา และนั่นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน พี่ใหญ่ใช้จุดอ่อนของเขาเพื่อเอาชนะเขามายี่สิบครั้ง แต่กลับโชคไม่ดีในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย …. ”
“ มันง่ายที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ แต่มันยากที่จะเปลี่ยนแปลงธรรมชาติของคนคนหนึ่ง ”
จวินโม่เซี่ยถอนหายใจขณะที่ความเคารพอย่างจริงใจต่อพ่อที่เขาไม่เคยได้พบเพิ่มขึ้นในหัวใจของเขา เพียงแค่ประโยคเดียวนี้ก็ได้มอบความรู้เกี่ยวกับขุนพลของศัตรูได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เพียงแค่ประโยคเดียวนี้ก็เพียงพอที่จะจับจุดอ่อนของขุนพลของศัตรูได้
ไม่แปลกในเลยที่จวินวูเห่ยนั้นกลายเป็นที่เคารพดั่งเทพเจ้า ในความคิดของทหารในรุ่นของเขา !
หลังจากที่เข้าใจจุดอ่อนของโจวเจียนฮั่น จวินโม่เซี่ยจึงเข้าใจถึงเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความทุกข์ยากของชายผู้นั้นในทันที
เขาเป็นคนหยิ่งทะนง และเป็นนักรบที่แท้จริง ! หากคนเช่นนี้มีความอดทนต่อความอับอายเนื่องจากชัยชนะ บางทีเขาอาจจะไม่ได้ใส่ใจ และเป็นไปได้ว่าที่เขาอดทนกับมันได้นั้น เพราะเขารู้ว่าเขาสามารถที่จะหากโอกาสที่จะลบล้างความอับอายของเขาได้ แต่ตอนนี้เขาจะต้องอดทนกับความอับอายบางอย่างที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเขาคือ ชัยชะที่น่าสังสัย !
สำหรับคนหยิ่งทะนงเช่นนี้ ชัยชนะเช่นนี้เป็นความเจ็บปวดที่ยิ่งกว่าความตาย
ขุนพลผู้โชคดี !
ชื่อนี้ … เป็นความอับอายที่เกินกว่าชายเช่น โจวเจียนฮั่นจะสามารถอดทนได้ และเป็นเหมือนการผูกโซ่ตรวนของเขา ! ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่มีทางที่จะหนีออกมาจากตรงนั้นได้เลย !
ไม่แปลกใจเลยที่เขาพูดว่า ตลอดหลายปีมานี้ เขาได้อดทนต่อเรื่องทั้งหมดนี้ และตอนนี้ข้าก็เหนื่อยแล้ว !
ในตอนนี้ สุดท้ายจวินโม่เซี่ยก็เข้าใจในความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้อหลังประโยคนี้ สุดท้ายเขาก็เข้าใจถึงความเจ็บปวดที่ไร้ที่สิ้นสุด ความโศกเศร้าและภาระที่ชายผู้นี้อดทนมาตลอดหลายปี !
บางที ทางเดียวที่เขาสามารถที่จะปลดภาระนี้ออกไปได้ คือการเอาชนะน้องสามแห่งสกุลจวิน หนึ่งในสามของขุนพลจวินที่ยังเหลืออยู่ จวินวูอี้ … แต่โอกาสที่จะคว้าเอาสิ่งนี้ก็น้อยนิดอย่างมาก !
โจวเจียนฮั่นยังคงไม่พ่ายแพ้มาตลอดหลายปี และแม้ว่าเขาจะได้เห็นชัยชนะมากมาย แต่หัวใจของเขาก็ยังคงเต็มไปด้วยความพ่ายแพ้ ! ดังนั้นเขาจึงติดตามเฟ้ยเมิงเฉินมายังอาณาจักรเทียนเชียงอย่างร้อนใจ แล้วเขาก็จะสามารถแสดงความเคารพต่อรูปปั้นของจวินวูเห่ยได้ ! ไม่ใช่เพราะอย่างอื่น แต่เพื่อที่จะปลดปล่อยความเจ็บปวดที่อยู่ในหัวใจของเขาออกมา !
จากในมุมนี้ คำพูดของโจวเจียนฮั่นที่จะแก้แค้นให้กับความตายของจวินวูเห่นั้นมิใช่คำโกหก ! เพราะ รูปปั้นของจวินวูเห่ยนี้ คือคนเดียวกันกับผู้ที่นำพาเขาให้พบกับความเจ็บปวดที่มากมายเช่นนี้ !
การแก้แค้นจวินวูเห่ยนั้นเทียบเท่ากับการได้ปลดปล่อยความโกรธและความโศกเศร้าของเขาออกมา !
“ ดูเหมือนว่าองค์ชายทั้งสามจะไม่สามารถอดทนรอที่จะครอบครองอำนาจอันยิ่งใหญ่ของอาณาจักรได้อีกแล้ว ”
จวินวูอี้พูดขึ้นขณะที่พวกเขากำลังออกมาจากอนุสรณ์สถาน
“ โม่เซี่ย พวกเขาไม่สามารถที่จะกำจัดสกุลตู่กู้และสกุลจวินได้ เพราะสกุลตู่กู้และสกุลจวินนั้นทรงพลังเกินกว่าที่เด็กน้อยจะต่อกรได้ และพวกเขาก็ไม่มีความสามรถมากพอที่จะกำจัดพวกเราออกไปจากเส้นทางของพวกเขา ! อย่างไรก็ตาม การจัดการเจ้าเพียงคนเดียวนั้นง่ายดายมาก ความจริง พวกเขานั้นมีโอกาสที่จะทำได้สำเร็จสูง จากที่ เจ้าเป็นทายาทเพียงคนเดียวของสกุลจวิน และหากเจ้าตายไป ไม่สำคัญว่าปู่ของเจ้าและข้านั้นพยายามอย่างหนักสักเพียงใจ ไม่สำคัญว่าฐานะของสกุลเราจะดีขนาดใหน … มันก็จะไม่มีอะไรเลย เจ้าควรที่จะระวังในเรื่องนี้ ”
“ ท่านน้า ความแข็งแกร่งของข้าอาจจะไม่สูงมาก แต่ … หากพวกเขาต้องการจะสังหารข้า ข้ากลัวว่ามันเป็นการพูดง่ายกว่าทำ ”
จวินโม่เซี่ยยิ้ม และจากนั้นเขาก็หัวเราะออกมาด้วยความเหยียดหยาม
ข้าเพิ่งจะรับมือกับการต่อสู้ระหว่างเทพเชวียนหกคนมาในคืนก่อน ข้าก็สามารเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระ และจะมีกลลวงในการลอบสังหารอะไรที่จะสามารถจัดการกับข้าได้ ? ด้วยเคล็ดอิสระหยินหยาง แม้แต่แปดยอดปรมาจารย์มาเผชิญหน้ากับข้า ข้าก็สามารถที่จะหนีออกไปได้
“ อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาโจมตีข้าก่อน ข้าก็จะไม่แสดงความเมตตาใดๆ ”
ปากของจวินโม่เซี่ยเริ่มโค้งเป็นรอยยิ้มที่ชั่วร้าย
องค์ชายทั้งสาม ฮ่าฮ่า องค์ชายต้องการให้ข้าตายอย่างนั้นรึ ? ช่างน่าขันเสียจริง ! ข้าอยากจะเห็นว่าองค์ชายทั้งสามจะมีความกล้าอะไรที่จะ,kไล่ตามข้า ! เมื่อข้าต้องการที่จะตอบโต้ ?
“ ไม่แสดงความเมตตาใดๆแก่พวกเขา ? ”
เส้นผมของจวินวูอี้ลอยไปด้านหลังด้วยแรงลม ในขณะที่ดวงตาของเขาดูเหมือนจะอ่อนแรงเล็กน้อยขณะที่เขาพยักหน้า
“ แต่เมื่อเจ้าโจมตีพวกเขา มันจำเป็นอย่างมากที่เจ้าจะต้องไม่ทิ้งร่องรอยอะไรไว้เบื้องหลัง มิเช่นนั้นมันจะนำพามาซึ่งความรุนแรงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ”
“ ข้าเข้าใจ ”
จวินโม่เซี่ยหรี่ตาลง ขณะที่เขาดันเก้าอี้เลื่อนของน้าชายไปข้างหน้า
ท่านน้า ไม่กลัวที่จะเริ่มต้นปัญหาจริงๆหรือ ?
เมื่อพูดถึงการสิ้นพระชน ข้าเชื่อว่าจะไม่มีผู้ใดในโลกคิดว่าข้าจะมีความสามารถในการทำเช่นนั้น !
ในตอนนี้ มีร่างยืนอยู่บนหลังขาของสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ตรงข้าม ที่กระโจนออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับนกที่บินหนีไปด้วยกลัวว่าฟ้าจะผ่าใส่มัน ทั้งน้าและหลานเหลือบไปเห็นร่างนี้ และเป็นกัลวนขึ้นมาในทันที
“ เขาเร็วมาก ! เขาเร็วเกินกว่าทุกคนในรุ่นเดียวกับข้า ! ”
ตาดำของจวินวูอี้ขยายใหญ่ขึ้น
ความคิดของจวินโม่เซี่ยเกิดขึ้นในทันที
แม้จะมองไม่เห็นหน้า แต่การบินที่ราบเรียบของร่างนั้นเป็นอะไรที่คุ้นเคย ราวกับนกเหยี่ยวที่พุ่งลงมาจากสวรรค์เบื้องบนและเข้ามาสู่โลกในวันนี้ มีเพียงชายผู้เดียวที่มีความสามารถที่จะครอบครองความรวดเร็วและคล่องแคล่วเช่นนี้ และนั่นเป็นผู้อื่นไปไม่ได้นอกจาก แปดยอดปรมาจารย์ เหยี่ยวผู้โดดเดี่ยว !
“ ท่านน้าสาม ชายผู้นั้นดูเหมือนจะเป็นเพื่อนเก่า ข้าจะไปดู ท่านโปรดรอก่อน และอ่าได้เป็นกังวล ”
จวินโม่เซี่ยพูดออกมาอย่างช้าๆ ขณะที่เขาจดจำทิศทางที่ร่างนั้นหายไป
Translate by iHaveNoName