บทที่ 467 แผนลับๆของเจิ้วเหวยกั๋ว

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

พอเห็นไต้หงเล่อหนีหัวซุกหัวซุนออกไป เย่เทียนกลับไม่ได้ไล่ตามในทันที เขา ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมอย่างน่าแปลก โดยไม่สนห้องที่เลือดท่วม

ผ่านไปสองนาทีเต็มๆ หลังจากมั่นใจแล้วว่าไต้หงเล่อไปไกลแล้วจริงๆ เงาจักรพรรดิด้านหลังเย่เทียนแตกออกในบัดดล เขากระอักเลือดเหม็นคาวออกอย่างข่มต่อไปไม่ไหว สีหน้าซีดเซียวลงทันที

พิษได้เข้าไปสู่อวัยวะภายในแล้ว!

เย่เทียนขมขื่นในใจ เป็นอย่างที่เหลยเฉิงยุ่นว่า การระเบิดพลังไปทั้งหมดเมื่อกี้ทำให้พิษกัดกินชี่ทิพย์เร็วยิ่งขึ้น

ถ้าไม่ใช่เพราะเหตุนี้ เย่เทียนจะปล่อยให้ไต้หงเล่อหนีไปได้ยังไง?

ถึงจะพูดแบบนั้น เย่เทียนกลับไม่มีเวลาดูสถานการณ์ของตัวเอง เขาถือโอกาสที่ยังไม่มีใครมาดูเหตุการณ์ตรงนี้ ออกจากร้านอาหารซุ่นซิงเงียบๆทางบันได

บทสนทนาก่อนหน้านี้กับเจิ้งเหวยหวานั้น เขาพูดอย่างชัดเจนว่าโรงแรมห้าดาวนั้นมีหุ้นของบริษัทแซ่เจิ้งอยู่ด้วย

ตอนนี้พี่น้องตระกูลเจิ้งออกไปนานขนาดนี้แล้ว ด้วยนิสัยของเจิ้งเหวยกั๋ว ใครจะรู้ว่าเขาจะทำอะไรบ้าคลั่งกับเซ่เจียมั้ย

ไม่ว่าจะด้วยการฝากฝังของเฉินหวั่นชิงหรือความช่วยเหลือจากเซ่เจียเมื่อชาติก่อน เย่เทียนก็ไม่ต้องการให้เกิดอะไรขึ้นกับเซ่เจีย

แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือยาแก้พิษที่เหลือเพียงไม่กี่เม็ดก็โดนเย่เทียนทิ้งไว้ที่โรงแรม!

ออกจากร้านอาหารซุ่นซิงไปแล้ว เย่เทียนก็ไม่มีเวลาจะสนอะไรมาก เขายืมรถคันหนึ่งจากข้างทาง เหยียบคันเร่งจนมิด มุ่งหน้าไปที่โรงแรมด้วยความเร็วสูงสุด

รอจนรถเคลื่อนไปถึงถนนใหญ่ เย่เทียนถึงถอนหายใจและขับรถไปด้วยตรวจดูสถานการณ์ของตัวเองไปด้วย

ไม่รู้ว่าฝ่ามือนี้เหลยเฉิงยุ่นแฝงพิษอะไรไว้บ้าง ถึงได้เหมือนปลากินคนที่ได้กลิ่นคาว และกัดกินชี่ทิพย์ทีละนิดไม่หยุดหย่อน

ถึงแม้เย่เทียนยังพอทนไหว แต่ถ้ายาแก้พิษไม่มีผล ไม่ว่าชี่ทิพย์ของเขาจะหนาแน่นแค่ไหน ก็มีวันที่โดนกลืนกินจนเกลี้ยง!

ถ้าต้องถึงขั้นนั้นจริงๆ เชื่อว่าเขาต้องตายอย่างอนาถแน่นอน

“เวรเอ๊ย นี่เหรอพรรคใหญ่มีชื่อเสียง! ถึงขั้นใช้พิษที่ต่ำทรามขนาดนี้ นี่มันพิษเฮงซวยอะไรกันวะ?”

คิดมาถึงตรงนี้ เย่เทียนอดสบถก่นด่าไม่ได้ และตบพวงมาลัยอย่างแรง

แต่ไม่ว่ายังไง รถก็เคลื่อนไปทางโรงแรมอย่างว่องไวด้วยความเร็วสูงสุด

ในเวลาเดียวกัน ไต้หงเล่อที่หนีอุตลุดไปจากร้านอาหารซุ่นซิงไม่ได้ไปไกลเกินไปนัก หลังจากมุดเข้าไปในโรงแรมแห่งหนึ่งที่อยู่นอกเขตชุมชนแล้ว เขาก็ตรงขึ้นไปยังห้องที่ดีที่สุดบนชั้นบนสุด

นี่เป็นเรื่องที่คุยกันไว้แต่แรกแล้ว ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นยังไง ท้ายที่สุดพวกเขาก็จะมาร่วมตัวกันที่นี่ เพราะกังวลว่าเย่เทียนจะแก้แค้นอย่างบ้าคลั่งหลังจากหนีมาได้

แต่เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว กลับกลายเป็นสถานที่ที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาในการหลบหลีกการไล่ล่าจากเย่เทียน

รอจนไต้หงเล่อบุกเข้ามาในห้อง เจิ้งเหวยกั๋วด้านในกำลังเดินไปเดินมาอย่างอดรนทนไม่ไหว แต่ไม่เห็นวี่แววของเจิ้งเหวยหวา

“ท่านไต้ ท่านไม่เป็นไรใช่มั้ย? ท่านเหลยล่ะครับ?”

เมื่อเห็นไต้หงเล่อโผล่พรวดเข้ามาในสภาพขอทาน เจิ้วเหวยกั๋วใจหายวาบ เขารีบวิ่งเข้าไปและชะโงกหน้ามองไปทางด้านหลังของประตู

“พวกเราประเมินไอ้หนุ่มนั่นต่ำไปอย่างมาก ท่านเจ้าโถงโดนเขาตีตายไปแล้ว”

ไต้หงเล่อส่ายหัวอย่างขมขื่น ค่อยๆเดินไปที่โซฟาและนั่งลง

“ตายแล้วเหรอครับ?”

สีหน้าเจิ้วเหวยกั๋วเปลี่ยนไปอย่างมากในบัดดล คิดไม่ถึงเลยว่าไต้หงเล่อและเหลยเฉิงยุ่นสองคนร่วมมือกันยังสู้เย่เทียนเพียงคนเดียวไม่ได้

“แล้ว แล้วตอนนี้พวกเราจะทำยังไงดีล่ะครับ?”

เขาตื่นตระหนกขึ้นมาทันที “เย่เทียนต้องไม่ยอมเลิกราง่ายๆแน่นอน ถ้าเขามาหาเรื่องถึงที่ แล้ว….”

“วางใจเถอะ ไม่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นหรอก!”

ไม่รอให้เจิ้วเหวยกั๋วพูดจบ ไต้หงเล่อก็โบกมือขัดขึ้น และหัวเราะอย่างชั่วร้าย “ไอ้หนุ่มนั่นโดนหมัดตะวันของท่านเจ้าโถงไป รอจนเขาโดนพิษกลืนกินกำลังภายในจนหมด ก็จะเป็นนาทีที่เขาจบชีวิตลง”

“อย่างนั้นเหรอครับ”

ความตื่นตระหนกบนใบหน้าของเจิ้งเหวยกั๋วสลายไปในบัดดล กลับมีความยินดีเข้ามาแทนที่

ยังไงซะเขาเป็นคนพาเหลยเฉิงยุ่นและไต้หงเล่อไปหาเย่เทียนด้วยตัวเอง ถ้าเย่เทียนไม่ตาย จะไม่มาหาเรื่องเขาได้ยังไง?

“ไอ้เด็กระยำนั่น คิดไม่ถึงว่าเขาจะลากท่านเจ้าโถงไปด้วย คราวนี้คงยากจะอธิบายต่อเจ้าสำนัก”

ไต้หงเล่อส่ายหัวอย่างขมขื่น ขณะที่พูดก็กระอักเลือดออกมาอีกหลายอึก สีหน้าซีดจนน่ากลัว

“ท่านไต้ ให้ผมกลับไปช่วยคุณอธิบายมั้ยครับ?”

นัยน์ตาเจิ้งเหวยกั๋วฉายประกายแสงที่ยากจะสังเกตเห็น และเสนอด้วยความระมัดระวัง

“ไม่จำเป็น”

ไต้หงเล่อเงยหน้าเล็กน้อยและกวาดตามองเจิ้งเหวยกั๋ว พร้อมหัวเราะเย็นๆ “ฉันรู้ว่านายคิดอะไรอยู่ แต่ฉันแนะนำว่านายอย่ามีความคิดแบบนั้นจะดีกว่า เจ้าสำนักไม่ใช่คนที่ใครก็เข้าพบได้”

“ไม่ว่ายังไงนายก็เป็นเพียงคนธรรมดา ต่อให้นายโชคดีเข้าไปในโลกศิลปะการต่อสู้ได้ เกรงว่าไม่ทันจะเจอพรรคชิงเฉิงก็โดนคนอื่นฆ่าตายเสียแล้ว”

“ขอเพียงนายทำในสิ่งที่รับคำสั่งไปแต่โดยดี สิ่งที่นายควรจะได้รับก็จะได้ รับรองว่านายจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อีกหลายร้อยปี”

โดนพูดจาเปิดโปงความในใจด้วยประโยคเดียว ต่อให้เห็นจิ้งจอกเฒ่าอย่างเจิ้วเหวนกั๋วก็อดมีสีหน้ากระอักกระอ่วนไปวูบหนึ่งไม่ได้

แต่ไม่รอให้เขาตอบอะไร ไต้หงเล่อก็โบกมืออีกครั้งและสั่งเสียงเบา

“ตอนนี้ฉันบาดเจ็บหนัก นายไปจัดการหาที่เงียบๆให้ฉันได้รักษาตัว รอให้ฉันฟื้นพลังได้บ้างแล้ว ฉันจะกลับไปรายงานกับเจ้าสำนักด้วยตัวเอง”

“ครับๆๆ”

เจิ้งเหวยกั๋วย่อมไม่กล้าเห็นต่างอะไรอีก เขายิ้มเอาใจ “ถ้าอย่างนั้นท่านไต้พักก่อนเถอะครับ ผมไปหาเสื้อผ้าสะอาดให้ก่อน”

“ไปเถอะ” ไต้หงเล่อโบกมือนิ่งๆ

เจิ้งเหวยกั๋วถามไซส์ของเสื้อผ้าที่ไต้หงเล่อใส่อย่างใส่ใจก่อนจะถอยออกไปด้วยความนบนอบ รอจนปิดประตูแล้วรอยยิ้มพะเน้าพะนอเมื่อกี้ถึงหายไปในบัดดล กลับมีรอยยิ้มเย็นเข้ามาแทนที่

เขาควักมือถือออกจากกระเป๋า และกดโทรหาเบอร์ที่อยู่บนสุดของรายการโทรเข้าโทรออก

นั่นคือเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ที่อยู่กับเขามาตั้งแต่สมัยสร้างตัว ต่อให้เป็นตอนที่เขาผิดใจกับพี่น้อง เพื่อนเก่าเพื่อนแก่คนนี้ก็ยืนอยู่ฝั่งเขาอย่างมาดมั่นแน่วแน่ เรียกได้ว่าภักดีถึงขีดสุด

“ประธานเจิ้ง มีอะไรรับสั่งเหรอครับ?”

อีกฝ่ายรับสายอย่างว่องไว เสียงแหบแห้งทว่าแฝงอำนาจดังมาตามสาย

“ตาสวี่ เครื่องติดตามที่บริษัทของเราวิจัยร่วมกับกองทัพไปถึงขั้นตอนไหนแล้ว?”

“เข้าสู่ขั้นตอนทดลองแล้วครับ เชื่อว่าอีกไม่ถึงเดือนก็จะสำเร็จอย่างสมบูรณ์!”

“ดีมาก!”

ได้รับคำตอบแล้วใบหน้าเจิ้วเหวยกั๋วเผยรอยยิ้มที่แผนการณ์สำเร็จ เขากล่าวยิ้มๆ “เตรียมเสื้อผ้าให้ฉันหนึ่งชุด แล้วติดตั้งเครื่องติดตามนั้นเข้าไป ส่งมาที่โรงแรมนี้”

“ได้ครับ”

เพื่อนเก่าเพื่อนแก่ไม่ได้ถามหาเหตุผล เขาเพียงแต่ตอบรับและตัดสายทันทีเพื่อไปจัดการ

“ตาแก่ ยิ่งนายไม่อยากให้ฉันพบเจ้าสำนักเฮงซวยอะไรนั่น ฉันก็ยิ่งต้องพบ! ต่อให้วรยุทธของนายจะสูงแค่ไหน ฉันก็ไม่เชื่อว่าจะเก่งยิ่งกว่าเทคโนโลยี!”

เจิ้วเหวยกั๋วที่วางสายแล้วเผยรอยยิ้มเย็นมุมปาก สายตาที่มองประตูห้องประหนึ่งมองทะลุเข้าไปจนเห็นไต้หงเล่อได้ ก่อนจะหัวเราะออกมาอย่างมุ่งร้าย.ง….