1809-2 vs 1809-3 โดย Ink Stone_Romance

ตอนที่ 1809-2

“เข้ามาสิ” อินอู๋เย่ายังคงถือถ้วยบะหมี่สำเร็จรูปไว้ในมือ แต่เมื่อมีคนมาหา ก็ต้องหันไปถาม “กินไหม?”

อีกฝ่ายพยักหน้ากันหมด เดินตามหลังเจ้าบ้านเหมือนเด็กน้อยเดินตามหลังผู้ปกครอง ส่วนอินอู๋เย่าคาบบุหรี่พลางต้มบะหมี่ พลอยคิดไปว่า เขานับว่าเป็นแม่ล่วงหน้าแล้วใช่ไหม

ข้อดีของอินเทอร์เน็ตบาร์ก็คือ ขนมเยอะ

วันนี้ทั้งสามคนไม่ได้ฝึกซ้อม นอกจากโคโค่แล้ว เวลานี้ผู้คนข้างนอกพอจะจำหน้าคนที่เหลือได้ จะไปไหนก็ต้องสวมผ้าปิดปาก ตอนนี้พวกเขานั่งในห้องพิเศษ ห้องนั้นใหญ่มาก เมื่อสามคนนี้นั่งด้วยกัน ต่างหอบขนมไว้เป็นกองดูการ์ตูนสแลมดังก์กัน

บรรยากาศแตกต่างไปจากก่อนแข่งระดับประเทศ เวลานี้พวกเขาไม่ได้เล่นกันสุดชีวิตอีกแล้ว ทั้งไม่ได้ดูคลิปของทีมญี่ปุ่นอีกด้วย

สำหรับทีมญี่ปุ่นถือเป็นภาพที่เห็นกันเป็นประจำ หลับตาก็นึกภาพออก หากจะบอกว่าทุกวงการทุกขอบเขตย่อมมีท่านเทพ เช่นนั้นทีมญี่ปุ่นก็ถือเป็นทีมสุดยอดเทพของวงการ

สติบอกพวกเขาว่าควรจะต้องปล่อยใจให้ผ่อนคลายเพื่อต่อสู้ในวันพรุ่งนี้ แต่กลับกระสับกระส่ายนอนไม่หลับ ราวกับมีความรู้สึกบางอย่างติดค้าง

เวลาที่เป็นคนธรรมดา เราย่อมอยากใช้ชีวิตให้มีสนุก แต่เวลาที่ไม่ได้เป็นคนธรรมดา เมื่อเดินตามถนนหนทาง ได้เห็นคนอื่นพูดคุยฉลองเทศกาลตามสบาย ทว่าเรากลับต้องสวมผ้าปิดปาก เดินผ่านร้านรวงต่างๆ นานา ย่อมเกิดความอิจฉาอยู่แล้ว ความเหงาหงอยในหัวใจไม่มีวันได้รับการปลอบโยน กระทั่งยังรู้สึกไม่เป็นสุข และไม่มีใครเข้าใจ เพราะรู้ว่าความสามารถตัวเองถดถอย ดังนั้นจึงเดินมาที่ตรงนี้อย่างไม่รู้ตัว

เดิมโคโค่ก็เป็นคนอย่างนั้น ไม่คิดว่าแค่เลี้ยงตรงหัวมุมก็เห็นคนติดอ่างกำลังผูกเชือกรองเท้า แถมยังมีเหยาเย่าที่โบกไม้โบกมืออยู่ไม่ไกล ทั้งๆ ที่ไม่ได้นัดกันมาก่อน แต่กลับได้มาเจอกันโดยบังเอิญ เหมือนกับทุกคนมาที่นี่แล้วสบายใจ

พวกเขารู้จักกันและกันเป็นอย่างดีว่ากำลังกลัวอะไร

กลัวว่าหากหัวหน้าไม่อยู่ด้วย พวกเขาจะแพ้

กลัวว่าถึงเวลานั้น พวกเขาเดินตำแหน่งไม่เหมาะสมแล้วจะถ่วงทีมทำให้แพ้

ปัญหาที่ว่าไม่จำเป็นต้องให้ใครบอก พวกเขากลัวสิ่งเหล่านี้ ทั้งยังเป็นห่วงพวกเขา เพราะพอการแข่งในวันนี้จบ สภาพของแบล็กพีชก็ย่ำแย่มาก แถมเธอยังไม่เปิดมือถือจนถึงตอนนี้

คำวิจารณ์ในโลกออนไลน์ยังดำเนินต่อไป พวกเขาทำให้ทุกคนพอใจกันหมดไม่ได้ แม้ว่าจะต้องแข่งทั้งๆ ที่ป่วย แต่ยังมีคนหาข้อตำหนิ

อินอู๋เย่าอยู่ในวงการนี้มานาน แค่เห็นหน้าก็รู้ว่าพวกเขาคิดอะไร จึงเคาะตะเกียบข้างๆ “เอาถ้วยมา”

“บะหมี่นี้ทำไมมันแข็งจัง” โคโค่ว่าเมื่อกินเข้าไปคำแรก

ส่วนเฟิงซ่างดื่มซุปไปคำหนึ่งว่า “มะ มีให้กิน ก็ ก็ดีแล้ว”

“อื้ม” โคโค่ยอมรับคำอธิบายนั่น

อินอู๋เย่าเป็นผู้ชายดิบห่าม ปกติเวลากินบะหมี่ก็จะแค่เติมน้ำร้อนลงไป แต่พอเด็กสามคนนี้มาหาก็ต้องต้มกิน ทว่าตัวเองนิ่วหน้ากินเข้าไปคำหนึ่ง รู้สึกว่าสู้แบบเติมน้ำร้อนไม่ได้ จึงไม่กินต่อ เขางับบุหรี่ก่อนจะยิ้มนิดๆ เอ่ยขึ้นมาว่า “ฉันจะบอกให้นะ ฉันน่ะแก่แล้ว ยังไม่กลัวอะไรมากมาย พวกนายยังเด็กอยู่แท้ๆ จะคิดมากไปทำไม? ต่อให้แพ้แล้วไง พวกนายยังมีโอกาสในอนาคตอยู่”

โคโค่อึ้ง ไม่พูดอะไร

 ……………………………………….

ตอนที่ 1809-3

อินอู๋เย่าตบบ่าอีกฝ่าย “อย่ากดดันตัวเองให้มากนัก พรุ่งนี้ตอนแข่งค่อยว่ากัน อย่ากลัวว่าจะประเมินผิด ของแบบนี้เป็นเรื่องธรรมดาจะตายในการแข่ง…”

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโอวาทของอินอู๋เย่าให้ผลหรือเป็นเพราะท้องอิ่มแล้ว จึงทำให้คนมีกำลังสู้ หลังจากที่กินเสร็จ ทั้งสามต่างหาเตียงและโซฟานอน พอเอนตัวก็หลับทันที

อินอู๋เย่ามองดูแวบหนึ่ง ไปหยิบผ้าห่มมาสองผืนอย่างเงียบๆ ผืนหนึ่งนำมาคลุมร่างโคโค่และเฟิงซ่าง ส่วนอีกผืนก็เอามาคลุมร่างเซวียเหยาเย่า แล้วหันไปดับไฟ

ท่ามกลางความมืด เขาไม่ได้ไปนอน แต่เอียงคอจุดบุหรี่มวนหนึ่ง จากนั้นหยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความให้เฟิงอี้ “หลับกันหมดแล้ว คงคิดได้กันแล้ว ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะเป็นยังไง?”

หลังจากที่อ่านข้อความ เฟิงอี้ก็ดึงคอเสื้อให้หลวม ก่อนจะเงยหน้าองดูแสงไฟในเมืองซึ่งอยู่นอกหน้าต่าง

ใช่ พรุ่งนี้จะทำยังไง? ไม่เพียงแค่เขาที่คิดถึงปัญหานี้ กระทั่งหลินเฟิงที่สวมเสื้อขนเป็ดตัวยาวมีขนสัตว์ประดับ แถมยังเดินยัดมือทั้งสองข้างในกางเกงผ่านถนนมาตั้งสามสาย ก็คำนึงถึงปัญหาดังกล่าวด้วย

คงเพราะเขาเอาแต่หมกมุ่นในปัญหาดังกล่าว จนไม่สังเกตเห็นประตูกระจกข้างหน้า จึงชนเปรี้ยงเข้าให้ หลินเฟิงสบถด้วยความเจ็บ “แมร่งเอ๊ย”

ทว่าที่หน้าแตกที่สุด กลับไม่ใช่เป็นเพราะคนแปลกหน้าเห็นเราเสียลุค แต่เป็นคนที่สนิทต่างหากที่เห็นเข้า แถมยังมีสาวๆ หัวเราะแผ่วเบาอีกต่างหาก

หลินเฟิงจะทำอย่างไรได้ นอกจากทำหน้าว่า ‘ฉันรู้นะว่าพวกเธอหัวเราะฉัน’ น่าเสียดายที่เขาสวมผ้าปิดปาก สีหน้าจึงไม่เป็นที่ถูกถ่ายทอดออกไป ทว่าเมื่อหันหน้าไปอีกทางก็ประสานสายตาเข้ากับนัยน์ตาคู่หนึ่ง ฝ่ายนั้นไม่ถามเขาว่าเจ็บหรือไม่ แต่เอื้อมมือมาเลิกผมตรงหน้าผากให้เขา นวดบริเวณแดงๆ ให้ ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า ฝ่ายนั้นเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่ชัวร์

“ไม่ดูตาม้าตาเรือเลย กำลังคิดอะไรอยู่?” อวิ๋นหู่ถามเสียงปกติ

หลินเฟิงไอเล็กน้อย หนีคำถามที่ว่า ทั้งยังหลบมืออีกฝ่ายด้วย “นายมาที่นี่ได้ไง?”

อวิ๋นหู่ไม่คิดจะปิดบังเส้นทางตัวเอง “ฉันตามนายมาตลอดทาง”

หลินเฟิงได้ยินแล้วก็รู้สึกอึดอัด แล้วก็ได้ยินเสียงของอวิ๋นหู่อีก “เห็นเรื่องโง่ๆ มาเยอะละ”

หลินเฟิงอ้าปาก คิดจะเปิดฉากสงคราม

“หาที่นั่งคุยกันเถอะ” อวิ๋นหู่ท่าทางจริงจัง “ฉันรู้สึกกดดัน”

หลินเฟิงฟังแล้ว ก็เปลี่ยนท่าทีโดยไว เกาะบ่าอวิ๋นหู่ทันที “ไป มีเรื่องกลุ้มใจอะไรก็พูดกับเฮียได้” ต้องรู้กันว่าตั้งแต่เล็กจนโตเขาเรื่องมากที่สุด ส่วนอวิ๋นหู่มักเป็นลูกข้างบ้านที่ได้รับการนำมาเปรียบเทียบว่าดีกว่าลูกตัวเองเสมอ ความกดดันงั้นเหรอ? ตลกร้ายเลยล่ะ ไม่เคยมีหรอก เพราะเขาไม่เคยเจออุปสรรคมากมายอะไร นอกจากสิ่งที่ทั้งสองต้องเผชิญร่วมกัน แต่เขาแสดงออกชัดมากว่าอ่านความในใจของอวิ๋นหู่ไม่ออก

หลินเฟิงอยากทำตัวเป็นพี่ชายที่รู้ใจเพื่อนมาตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ไม่มีโอกาสสักที เพราะเจ้าอวิ๋นหู่ชนะเลิศในทุกด้าน ย่อมไม่เคยมีความกดดัน กระทั่งก่อนสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่กี่วัน เจ้านั่นยังวิ่งออกกำลังตามปกติอยู่เลย ราวกับไม่มีเรื่องได้จะส่งผลต่อเขาได้ ตอนนี้อุตส่าห์ได้โอกาสชี้แนะให้อวิ๋นหู่ ความฝันกลายเป็นจริงแล้ว หลินเฟิงพาอวิ๋นหู่เดินไปด้านข้างอย่างสมหวัง

อวิ๋นหู่กลับเหล่มองมือของอีกฝ่ายที่พาดบ่าตัวเอง มุมปากหยักยิ้ม เจ้าหมอนี่คงไม่รู้ถึงความแตกต่างของการเป็นเกย์และชายแท้

………………………………………………