ขณะที่มือของเยี่ยโยวเหยากำลังจะแตะหัวไหล่ของซูจิ่นซี ซูจิ่นซีที่แสร้งว่าหลับสนิทแล้วก็ตัวสั่นเทาเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม มือของเยี่ยโยวเหยาไม่ได้แตะหัวไหล่ของนาง ทว่าเปลี่ยนทิศทางไปหยิบผ้าห่มที่อยู่ข้างตัวของนางมาห่มร่างกายของพวกเขาทั้งสอง
จิตใจของซูจิ่นซีที่ประหม่าเล็กน้อย ทั้งยังเขินอายและคิดไม่ตก ค่อยๆ สงบลง แม้ลมหายใจของนางจะราบเรียบเป็นจังหวะ ทว่านางไม่แสร้งส่งเสียงกรนแล้ว
ทั้งสองนอนในสภาพนี้อยู่ครู่ใหญ่ พวกเขาไม่ได้ทำอันใด บรรยากาศโดยรอบค่อยๆ ปรับตัวเข้าหากัน
เวลาผ่านไปนาน ซูจิ่นซีไม่รู้ว่าเยี่ยโยวเหยาที่นอนอยู่ด้านข้างหลับไปหรือยัง ทั้งนางยังรู้สึกง่วงแล้ว ทันใดนั้น ด้านหลังก็มีเสียงของเยี่ยโยวเหยาดังขึ้น
“จิ่นซี! ”
“เพคะ? ”
“พรุ่งนี้เจ้าไปแคว้นซีอวิ๋นกับข้าเถิด! ”
ซูจิ่นซีที่กำลังงัวเงียพลันตาสว่าง
แม้นางจะไม่รู้สึกง่วงแล้ว ทว่านางไม่ได้พูดตอบ
ครู่หนึ่งเยี่ยโยวเหยาจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “เมื่อครู่ ฉินเทียนมาหา ยามนี้สถานการณ์ของแคว้นซีอวิ๋นกับแคว้นจงหนิงไม่สู้ดีนัก”
แม้เยี่ยโยวเหยาจะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าคำพูดที่ว่าไม่สู้ดีนัก คงยากลำบากอย่างแสนสาหัส สถานการณ์ต้องหนักมากจริงๆ ไม่เช่นนั้น เยี่ยโยวเหยาคงไม่พูดกับนางเรื่องขุนนางและราชสำนัก
ทว่าตอนนี้ นางยังไปไหนไม่ได้
นางไม่รู้ว่าจะพูดกับเยี่ยโยวเหยาอย่างไร จึงพลิกตัวและโผเข้ากอดเยี่ยโยวเหยา พลางซุกศีรษะไปที่หน้าอกของเขา
ซูจิ่นซีไม่พูดอันใด ทว่าอากัปกิริยาที่เรียบง่ายเช่นนี้ ได้แสดงความหมายชัดเจนในตัวมันแล้ว
เยี่ยโยวเหยาราวกับพยายามอดกลั้นอารมณ์บางอย่างไว้ภายในใจ ทรวงอกของเขาขยับขึ้นลงไม่หยุด
ครู่หนึ่ง เขาจึงพูดว่า “ซูจิ่นซี เรื่องที่แคว้นหนานหลีสำคัญมากหรือ? ”
สำคัญมาก!
“เยี่ยโยวเหยา เมื่อวานท่านก็เห็นกับตาแล้ว หม่อมฉันทำร้ายจงเนี่ย บัญชีแค้นนี้ เขาไม่มีทางเลิกราอย่างแน่นอน หากหม่อมฉันหายไป เขาต้องคิดบัญชีแค้นนี้กับมู่หรงฉีเป็นแน่ เรื่องราวทั้งหมด หม่อมฉันเป็นคนก่อ หม่อมฉันไม่ต้องการให้มู่หรงฉีมารับผิดชอบเรื่องนี้แทนหม่อมฉัน”
“ต่อให้เจ้าไม่ไป บัญชีแค้นนี้ เขาก็ต้องคิดกับมู่หรงฉี”
“ทว่ามันไม่เหมือนกันเพคะ! ”
เยี่ยโยวเหยาหลับตาลง พลางถอนหายใจเฮือกใหญ่
ซูจิ่นซีครุ่นคิดครู่หนึ่ง และรู้สึกนางว่าไม่ควรปิดบังเยี่ยโยวเหยา
“ยังมีอู๋จุนอีกคนเพคะ เขาต้องสูญเสียพลังภายในเพราะหม่อมฉันเป็นสาเหตุ เมื่อไม่มีดอกไม้ปีศาจแล้ว หม่อมฉันต้องคิดหาวิธีอื่นเพื่อฟื้นฟูพลังภายในให้เขา หม่อมฉันจะทิ้งเขาอยู่ที่แคว้นหนานหลีเพียงลำพังโดยไม่สนใจไม่ได้เพคะ”
ซูจิ่นซีพูดจบ บรรยากาศพลันนิ่งเงียบไปชั่วครู่
หลังจากนั้นไม่นาน เยี่ยโยวเหยาก็ลืมตาขึ้น เขาพลิกตัวกดทับร่างกายของซูจิ่นซี และบีบกรามของนาง
“ซูจิ่นซี ในฐานะที่เจ้าเป็นสตรีของเยี่ยโยวเหยา เจ้าไม่คิดว่าการพูดถึงบุรุษอื่นต่อหน้าข้า เป็นการท้าทายความอดทนของข้าหรือ? ”
ซูจิ่นซีกัดริมฝีปากแน่น “นอกจากเรื่องนี้แล้ว ยังมีเรื่องสาเหตุการตายของมารดาหม่อมฉัน หม่อมฉันต้องการสืบหาความจริงของเรื่องนี้ด้วยตนเอง เหตุใดในตำหนักฉินเจิ้งถึงมีรูปภาพของมารดาหม่อมฉันแขวนอยู่ เหตุใดราชนิกูลแห่งแคว้นหนานหลีและมหาอุปราชมู่หรงเฟิงต้องบรรดาศักดิ์สตรีนางหนึ่งที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายมารดาหม่อมฉันให้เป็นถึงจวิ้นจู่ มารดาหม่อมฉันกับเชื้อพระวงศ์แคว้นหนานหลีและมู่หรงเฟิงมีความสัมพันธ์กันอย่างไร บิดาแท้ๆ ของหม่อมฉันคือผู้ใด? คำตอบทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ที่แคว้นหนานหลี นอกจากนั้น ปริศนาต่างๆ เริ่ม ปรากฏออกมาให้เห็นแล้ว หม่อมฉันยังไม่ต้องการไปจากแคว้นหนานหลีในเวลานี้ และปล่อยให้สิ่งที่ทำมาก่อนหน้านี้ต้องสูญเปล่าเพคะ”
เกี่ยวกับสถานะที่แท้จริงของซูจิ่นซี ก่อนหน้านี้ ตอนที่นางสืบหาสถานะของจงซีจือ เยี่ยโยวเหยาเคยตั้งใจปกปิดนาง ดังนั้นเรื่องนี้ ภายในใจของเขาจึงรู้สึกผิดต่อซูจิ่นซีอย่างมาก
“ซูจิ่นซี อย่างไร เจ้าก็ไม่ต้องการกลับไปพร้อมกับข้าใช่หรือไม่”
แววตาของซูจิ่นซีเปล่งประกาย ทั้งยังเผยให้เห็นความละอายใจ
“เยี่ยโยวเหยา หม่อมฉันรับรองว่าจะสะสางเรื่องที่อยู่ตรงหน้าให้เสร็จโดยเร็ว ถึงเวลานั้น หม่อมฉันจะรีบกลับไปหาท่านให้เร็วที่สุด”
แววตาของเยี่ยโยวเหยาปรากฏความเจ็บปวด ทว่าเขารีบปกปิดมันไว้และแปรเปลี่ยนกลับมาเป็นแววตาเย็นชาดังเดิม แววตาเย็นชาที่ไม่มีผู้ใดไม่เชื่อฟัง เขารุกเข้าไปใกล้ซูจิ่นซี
“ซูจิ่นซี หากข้าต้องการให้เจ้ากลับไปกับข้าให้ได้เล่า”
ซูจิ่นซีกัดริมฝีปากแน่น
นางเข้าใจดีว่า เหตุใดเยี่ยโยวเหยาจึงดึงดันและดื้อรั้นเช่นนี้
ไม่ใช่เพราะเขาเห็นแก่ตัว ทว่าเขาเป็นห่วงนาง กลัวว่านางที่อยู่ในแคว้นหนานหลีซึ่งเป็นดินแดนแห่งเสือและหมาป่าจะได้รับอันตราย
ซูจิ่นซีรู้สึกเจ็บปวดใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงความรักที่เขามีให้อย่างเปี่ยมล้น
“เยี่ยโยวเหยา ท่านวางใจได้ ซูจิ่นซีในตอนนี้ ไม่ใช่คนที่ไม่รู้วรยุทธ์ ไม่ใช่คนที่เมื่อเกิดเรื่องอันตราย จำเป็นต้องมีคนคอยปกป้องเหมือนในอดีต เวลานี้หม่อมฉันดูแลตนเองได้เเล้วเพคะ”
เพราะเหตุผลนี้ เยี่ยโยวเหยาจึงไม่วางใจ
ความอันตรายบนโลกใบนี้เปรียบดั่งนกอินทรีที่ทะยานอยู่บนท้องฟ้า ยิ่งบินสูงมากเท่าใด ภัยอันตรายก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ทว่านกน้อยที่อยู่แต่ในกรงขัง แม้ไม่มีโอกาสได้โบยบิน แต่รับประกันความปลอดภัยได้ทั้งชีวิต
เขายอมให้ซูจิ่นซีเป็นนกน้อยอยู่ในกรงของเขา อยู่อย่างปลอดภัยภายใต้ปีกของเขา
ทว่านกน้อยที่ดื้อรั้นตัวนี้ กลับไม่เคยอยู่ในความควบคุมของเขาเลย ทั้งยังกระวนกระวาย ครุ่นคิดเพียงต้องการหลบหนีออกจากกรง แม้เส้นทางที่มันบินไปจะเต็มไปด้วยขวากหนามและอันตรายก็ตาม
พวกเขาทั้งสองถกเถียงกันอยู่นาน ต่างฝ่ายต่างไม่ยอมลดราวาศอก
แววตาของเยี่ยโยวเหยาปรากฏความเย็นชา เขาพยายามแสดงท่าทีดุดันเพื่อกดดันซูจิ่นซี
อย่างไรก็ตาม ยิ่งเยี่ยโยวเหยามีท่าทีเช่นนี้ ซูจิ่นซีไม่เพียงไม่รู้สึกกลัว ทว่านางกลับรู้สึกเจ็บปวดใจมากขึ้น และรู้สึกละอายใจต่อเยี่ยโยวเหยามากกว่าเดิม
ทว่านางยังคงกัดริมฝีปากแน่น ไม่ยอมแพ้
“ซูจิ่นซี ข้าให้เวลาเจ้าหนึ่งเดือน หลังจากหนึ่งเดือน หากเจ้ายังไม่สามารถสะสางเรื่องราวในแคว้นหานหลีได้ ข้าจะยกทัพมาตีแคว้นหนานหลี และใช้กำลังทหารบังคับเอาความจริงออกมาให้เจ้า”
ซูจิ่นซีตกตะลึงอย่างมาก
การประนีประนอมครั้งสุดท้ายของเยี่ยโยวเหยา ทั้งยัง… คำพูดประโยคสุดท้ายของเขา
ต้องมีความรักที่ลึกซึ้งเพียงใดจึงจะสามารถพูดประโยคที่ว่า ‘ใช้กำลังทหารบังคับเอาความจริงออกมาให้เจ้า’
การรบพุ่งระหว่างสองแคว้นถือเป็นเรื่องใหญ่มาก แม้แคว้นไหวเจียงจะบุกรุกแคว้นจงหนิงมานานนับปี ทว่าเยี่ยโยวเหยาไม่เคยพูดว่าจะใช้กำลังทหารโจมตีแคว้นไหวเจียงเพื่อแก้ปัญหา
ยิ่งไปกว่านั้น แคว้นหนานหลีไม่ใช่แคว้นที่คิดจะโจมตี ก็โจมตีได้ง่ายๆ
แคว้นหนานหลีดูเหมือนจะมีพื้นที่น้อยที่สุดในอาณาจักรเทียนเหอ ทว่าผู้นำของแต่ละแคว้นต่างเข้าใจดี แคว้นที่ดูอ่อนแอและมีพื้นที่เล็กที่สุด กลับแข็งแกร่งที่สุดในอาณาจักรเทียนเหอ
สาเหตุที่เขาพูดเช่นนี้ เพราะประโยคถัดมา
“หนึ่งเดือน ทุกวัน วันละเจ็ดครั้ง หนึ่งครั้งสามสิบห้าตำลึง ซูจิ่นซี เจ้าติดค้างข้ามากยิ่งนัก เมื่อถึงกำหนดอาจจ่ายคืนไม่หมด มิสู้เจ้าพยายามสักหน่อย และเริ่มคิดบัญชีตั้งแต่วันนี้เลย”
ซูจิ่นซีที่กำลังซาบซึ้งกับคำพูดก่อนหน้านี้พลันลืมตาขึ้น