เวลานี้ ไม่มีผู้ใดเข้าใจความเจ็บปวดที่ต้องแยกจากกันอีกครั้ง ของบุรุษผู้ทรงอำนาจและแข็งแกร่ง
ไม่มีผู้ใดเข้าใจว่ามันยากลำบากเพียงใดที่ต้องเลือกระหว่างชาติบ้านเมืองกับสตรีของตน ในฐานะที่เป็นบุรุษผู้แข็งแกร่ง และในฐานะสามีคนหนึ่ง
คำพูดเหล่านั้น แฝงไว้ด้วยความกังวล ที่ไม่อาจอธิบายได้ แม้ซูจิ่นซีจะเข้าใจจิตใจของเขา ทว่านางไม่สามารถมองทะลุถึงเบื้องลึกในจิตใจของเขาได้
สำหรับบางคน หากไม่เคยได้รับก็ยังพอทำเนา ทว่าเมื่อได้เป็นเจ้าของแล้ว ได้เข้ามาอยู่ในจิตใจแล้ว ทั้งยังมอบหัวใจให้จนหมดสิ้น กระทั่งชีวิตยังมอบให้ได้ แม้สถานะของเขาจะสูงส่งเพียงใด แม้ความรับผิดชอบของเขาจะหนักหนาเพียงใด
ก็เป็นเช่นนี้เอง เยี่ยโยวเหยา…
เกรงว่ามีเพียงยามนี้เท่านั้น ที่เยี่ยโยวเหยาเพิ่งเข้าใจอย่าแท้จริงว่า ซูจิ่นซี สตรีนางนี้มีความสำคัญกับเขามากเพียงใด
เดิมที แม่นมฮวากับลวี่หลีได้จัดเตรียมสำรับอาหารเช้าและอุปกรณ์สำหรับชำระล้างใบหน้ามาไว้พร้อมแล้ว ทว่าประตูตำหนักยังไม่เปิด พวกนางทั้งสองไม่กล้าเคาะประตูโดยพลการ จึงรออยู่ด้านหน้าประตูพร้อมกับนางกำนัลจนถึงยามอู่
ในที่สุด ประตูก็เปิดออก แม่นมฮวาแย้มยิ้มสดใสดั่งดอกไม้บาน
รักใคร่กันดี รักใคร่กันดีจริงๆ
ท่านอ๋องควรเอาอกเอาใจพระชายาเช่นนี้ จะได้ประสูติท่านอ๋องน้อยในเร็ววัน
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เยี่ยโยวเหยาเอาอกเอาใจซูจิ่นซีตลอดทั้งคืน ทั้งพวกเขายังนอนจนถึงยามอู่จึงตื่นจากบรรทม ใบหน้าของแม่นมฮวาก็เต็มไปด้วยความปลาบปลื้ม
อย่างไรก็ตาม เมื่อวานซูจิ่นซีใช้แมงป่องตักเตือนนางไปแล้วครั้งหนึ่ง นางจึงไม่กล้าแสดงท่าทีดีอกดีใจอย่างเปิดเผย ทำได้เพียงแสดงท่าทีจริงจังและยกอุปกรณ์ชำระล้างใบหน้าเข้าไปในตำหนัก
เยี่ยโยวเหยาสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ทว่าซูจิ่นซียังนอนอยู่บนเตียง
ลวี่หลีพานางกำนัลเดินเข้ามาด้านในและเปิดผ้าม่านรอบเตียง ซูจิ่นซีสวมเสื้อคลุม นางกำลังจะลงจากเตียง ทว่าขณะที่นางเคลื่อนตัวมาข้างเตียงและทิ้งน้ำหนักเท้าลงบนพื้น ร่างกายที่ยืนไม่มั่นคงเท่าไรนักพลันอ่อนแรง เท้าทั้งสองข้างราวกับเหยียบลงบนสำลี และซวนเซหกล้มลงบนพื้น
ลวี่หลีตกใจมาก นางรีบเข้าไปประคองซูจิ่นซี
“คุณหนู ท่าน… เป็นอย่างไรบ้าง? ”
เยี่ยโยวเหยาที่กำลังล้างหน้าอยู่ รีบวางผ้าเช็ดหน้าในมือ และวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เขาอุ้มซูจิ่นซีขึ้นไปนอนบนเตียง พลางตำหนินางกำนัลที่อยู่ด้านหลัง
“พวกเจ้าปรนนิบัติพระชายาอย่างไร เหตุใดพระชายาจึงหกล้มได้? ”
ลวี่หลีตกใจจนตัวสั่น นางรีบคุกเข่าลงกับพื้น
“บ่าวสมควรตาย บ่าวปรนนิบัติคุณหนูไม่ดีเพคะ! ”
“บ่าวสมควรตาย! ” เหล่านางกำนัลต่างคุกเข่าลง
ซูจิ่นซีแก้มแดงเล็กน้อย นางดึงแขนเสื้อเยี่ยโยวเหยา และพูดเสียงต่ำ “อย่าตำหนิพวกนางเลย เป็นหม่อมฉันที่ไม่ระวังและหกล้มเองเพคะ”
ภายในใจเยี่ยโยวเหยารู้สึกขุ่นเคืองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ซูจิ่นซีไม่พูดก็ไม่เป็นไร ทว่าเมื่อนางพูดขึ้นมากลับทำให้เขาเดือดดาลมากยิ่งขึ้น
“ลากออกไป โบยคนละสามสิบไม้! ”
โบยคนละสามสิบไม้?
เพื่อความปลอดภัยของเจ้านาย บ่าวรับใช้ส่วนใหญ่ในคฤหาสน์จึงไม่เป็นวรยุทธ์ หากโบยคนละสามสิบไม้ อาจทำให้พวกนางถึงตายได้เลยทีเดียว
ลวี่หลีตกใจจนหน้าซีดเผือด นางรีบคุกเข่าลงข้างเตียง และดึงแขนเสื้อของซูจิ่นซี “คุณหนู ให้อภัยพวกบ่าวด้วยเถิด! บ่าวไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณหนูหกล้ม บ่าวผิดไปแล้ว ต่อไปบ่าวจะรอบคอบมากกว่านี้เจ้าค่ะ”
อย่างไรเสีย ลวี่หลีก็เป็นบ่าวรับใช้ที่ปรนนิบัติซูจิ่นซีตั้งแต่อยู่ที่จวนสกุลซู หากนางถูกโบยเช่นนี้ คิดว่าอาการคงสาหัสเป็นแน่ ซูจิ่นซีไม่มีทางยอมให้เกิดเรื่องเช่นนี้ได้
นางจึงคว้าแขนเสื้อของเยี่ยโยวเหยาและเขย่าเล็กน้อย “ท่านอ๋อง ไม่เกี่ยวข้องกับพวกนางจริงๆ เพคะ ท่านอ๋องปล่อยพวกนางไปเถิด! ”
เยี่ยโยวเหยาก้มหน้ามองซูจิ่นซี เดิมทีเขาไม่คิดจะให้อภัย ทว่าพวกนางเป็นเพียงนางกำนัลและบ่าวรับใช้จำนวนหนึ่งเท่านั้น ในเมื่อซูจิ่นซีเอ่ยปากขอร้องให้ปล่อยพวกนางไป เช่นนั้นก็ช่างเถิด ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด เขากลับถามออกไปประโยคหนึ่งว่า “ในเมื่อไม่เกี่ยวข้องกับพวกนาง เจ้าก็อธิบายให้ข้าฟังสิว่า เจ้าหกล้มได้อย่างไร? ”
‘ฟู่ว’ แก้มของซูจิ่นซีพลันแดงก่ำ
ดวงตาดำขลับของเยี่ยโยวเหยาทอประกายสอบถาม เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย
ซูจิ่นซีนิ่งเงียบครู่หนึ่ง ทันใดนั้น นางก็แสดงสีหน้าขุ่นเคือง “หม่อมฉันบอกแล้วว่าหกล้มเอง ก็คือหกล้มเอง ไม่เกี่ยวข้องกับพวกนางก็คือไม่เกี่ยว เหตุใดท่านอ๋องจึงจู้จี้เหมือนคนแก่ น่ารำคาญจริงๆ ! ”
พระชายาทรงกริ้ว?
ทรงกริ้วใส่ท่านอ๋อง?
นี่เป็นครั้งแรกที่บ่าวรับใช้ในคฤหาสน์เห็นคนขึ้นเสียงใส่เยี่ยโยวเหยา พวกเขาไม่มีผู้ใดกล้าปริปาก แต่ละคนต่างก้มศีรษะลงต่ำ ไม่กล้าหายใจแรง
เยี่ยโยวเหยาหรี่ตามองใบหน้าซูจิ่นซีครู่หนึ่ง ทว่าซูจิ่นซียังเชิดหน้าแสดงท่าทางไม่ยอมอ่อนข้อแม้แต่น้อย
ความขุ่นเคืองที่เยี่ยโยวเหยาอดกลั้นเอาไว้พลันปะทุขึ้นอีกครั้ง
ซูจิ่นซี เจ้ากล้ามาก…
เยี่ยโยวเหยาสะบัดแขนเสื้อ และเดินออกไปนอกประตูทันที
ซูจิ่นซีเห็นท่าทางเช่นนี้ของเยี่ยโยวเหยา เมื่อครู่นางขุ่นเคืองเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ทว่ายามนี้นางโมโหจริงๆ แล้ว ซูจิ่นซีมองตามด้านหลังของเยี่ยโยวเหยาที่กำลังเดินออกไป และจงใจพูดเสียงดังว่า “ลวี่หลี ลุกขึ้น! ”
ลวี่หลีเห็นซูจิ่นซีก็รู้ทันทีว่า คุณหนูกำลังโมโหท่านอ๋องมาก จึงไม่กล้าลุกขึ้น
เมื่อเห็นลวี่หลียังคงนั่งนิ่งไม่ขยับ ซูจิ่นซีจึงเอ่ยเสียงดังอีกครั้ง “ลุกขึ้น เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าพูดหรือ? ”
เยี่ยโยวเหยาที่เดินมาถึงหน้าประตูพอดี พลันหยุดชะงัก สองมือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อกำแน่น เขาหันหลังกลับอย่างรวดเร็วและเดินตรงไปที่ข้างเตียง ก่อนจะโน้มตัวไปด้านหน้า และจุมพิตริมฝีปากซูจิ่นซีอย่างดุดัน
การเคลื่อนไหวทั้งหมดรวดเร็วยิ่งนัก ซูจิ่นซีแทบไม่มีเวลาได้ตอบโต้ นางตกตะลึงตาเบิกกว้าง คิดจะดิ้นรนหลบหนี ทว่านางเห็นความขุ่นเคืองและเจตนาคุกคามในดวงตาของเยี่ยโยวเหยา จึงนั่งนิ่งปล่อยให้เขาจุมพิตอย่างเอาแต่ใจ
ในเหตุการณ์มีบ่าวรับใช้จำนวนมาก!
สำหรับท่านอ๋องในยุคศักดินา การมีนางกำนัลคอยปรนนิบัติรับใช้ในห้องเป็นการส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องผิดปกติอันใด เรื่องนี้ซูจิ่นซีเข้าใจดี ทว่านางไม่ต้องการให้เยี่ยโยวเหยากระทำเช่นนี้ต่อหน้านางกำนัลจำนวนมาก ยิ่งไปกว่านั้น… ตอนนี้ร่างกายของนางทนรับไม่ไหวแล้ว!
เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ เหล่านางรีบก้มหน้าลงต่ำ พวกนางจะกล้าแอบมองการกระทำของเจ้านายได้อย่างไร? นางกำนัลไร้เดียงสาบางคนถึงกับหน้าแดง
ทว่าแววตาของแม่นมฮวา หญิงชราผู้โชกโชนกลับจ้องมองโดยไม่ละสายตา ทั้งยังจ้องมองอยู่อย่างนั้นด้วยแววตาจริงจัง
ผ่านไปครู่ใหญ่ แม่นมฮวาเห็นเยี่ยโยวเหยาใช้ลิ้นสอดเข้าไปพัวพันในริมฝีปากของซูจิ่นซี เขาจูบจนใบหน้าของซูจิ่นซีแดงก่ำ ซูจิ่นซีตกใจอย่างมาก ทว่าเยี่ยโยวเหยากลับไม่มีทีท่าว่าจะหยุดแม้แต่น้อย เขาควบม้าอย่างรวดเร็ว อีกเพียงนิดเดียวก็จะตีเมืองได้สำเร็จ ในที่สุด แม่นมฮวาก็หันหน้าหนีไปทางอื่น
“โอ้ ไม่ไหวแล้ว ไม่ไหวแล้วเพคะ แม่นมทนดูไม่ไหวแล้ว พระชายา พระองค์ดูแลสุขภาพด้วย พวกเราขอทูลลาก่อนเพคะ”
แม่นมฮวาพูดพลางเรียกนางกำนัลทั้งหมดให้ออกไป
“ยืนอึ้งทำอันใด? ยังไม่รีบตามข้าออกไปอีก? ”
เหล่านางกำนัลพากันลุกขึ้น และเดินตามแม่นมฮวาออกไปด้านนอก
ถึงเวลานี้ เยี่ยโยวเหยาเพิ่งปล่อยตัวซูจิ่นซี และกล่าวว่า
“กลับมา! ”
แม่นมฮวาหยุดฝีเท้า ใบหน้าของนางพลันปรากฏรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะหันหลังกลับมาแย้มยิ้มให้เยี่ยโยวเหยาที่กำลังโมโห “แหะ แหะ พอแล้วหรือเพคะ? ”
เยี่ยโยวเหยาขมวดคิ้วแน่น
แม้แม่นมฮวาจะมีฐานะเป็นบ่าวรับใช้ ทว่าเยี่ยโยวเหยาไม่เคยปฏิบัติต่อนางเหมือนบ่าวรับใช้ทั่วไป บางครั้งยังให้ความเคารพต่อนางอีกด้วย
แม่นมฮวาแสดงท่าทางราวกับผู้อาวุโสพูดกับเด็กน้อย นางแย้มยิ้มให้เยี่ยโยวเหยา ก่อนจะเดินเข้าไปชนร่างของเยี่ยโยวเหยาแผ่วเบาโดยไม่พูดอันใด ทั้งยังยื่นจมูกออกไปดมตามร่างกายของเยี่ยโยวเหยา พลางทำท่าเหมือนกำลังดมกลิ่นหอมของดอกไม้
“อืม… ได้กลิ่นนี้แล้ว แม่นมรู้ว่าท่านอ๋องยังดื่มด่ำไม่เต็มอิ่ม! เช่นนั้น แม่นมขอทูลลาไปก่อน ท่านอ๋องเชิญตามสบาย! ”
เยี่ยโยวเหยาชักสีหน้าใส่ เขาหันหลังกลับโดยไม่พูดอันใด
แม่นมฮวาแย้มยิ้มมีเลศนัย
“ไม่เป็นไร ให้ท่านอ๋องเสวยก่อน ทว่าแม่นมเกรงว่า เมื่อท่านอ๋องเสร็จกิจ นอกจากพระชายาจะยืนไม่ไหวและหกล้มแล้ว แม่นมคิดว่าทรวดทรงเพรียวบางอย่างพระชายา มีความเป็นไปได้มากว่า พระองค์ต้องนอนอยู่บนเตียงเพื่อพักฟื้นเป็นเวลาสิบวันถึงหนึ่งเดือนเลยทีเดียว”
เยี่ยโยวเหยาหันหน้าไปมองซูจิ่นซีทันที
แก้มของซูจิ่นซียิ่งแดงก่ำมากขึ้น นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงตำหนิ “แม่นมฮวา! ”
แม่นมฮวายังคงแย้มยิ้มสดใส
“แหะ แหะ พระชายา แม่นมเพียงเป็นห่วงพระชายาเพคะ! ครั้งนี้แม่นมพูดความจริง หาได้เลอะเลือนแม้แต่ประโยคเดียว”
ที่แท้ พระชายาก็ได้รับความโปรดปรานจากท่านอ๋องมากเกินไป จึงทำให้ซวนเซหกล้ม
นี่เป็นการแสดงความรักอย่างหนักหน่วงจนลุกจากเตียงไม่ไหวเลยทีเดียว
เหล่านางกำนัลต่างก้มหน้าด้วยแก้มที่แดงก่ำมากยิ่งขึ้น กระทั่งบ่าวรับใช้ที่ยืนอยู่ด้านนอกและได้ยินคำพูดนี้ยังก้มหน้าด้วยความเขินอาย
น่าสงสาร…
แม่นมฮวามองใบหน้าแดงก่ำของซูจิ่นซี พลางแย้มยิ้มอย่างสุขใจ ก่อนจะรีบเดินถอยหลังและเรียกเหล่านางกำนัลให้เดินตามนางออกไปข้างนอก
แววตาขุ่นเคืองของซูจิ่นซีเคลื่อนผ่านแม่นมฮวาและนางกำนัลไปที่เยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยามีท่าทีสำนึกผิด ทั้งยังมีความรู้สึกสงสารและขุ่นเคืองเล็กน้อย เขาค่อยๆ เดินเข้าไปหาซูจิ่นซีโดยไม่พูดอันใด ก่อนจะนั่งลงข้างกายนาง และโอบกอดนางไว้ในอ้อมอกของตนเอง
หูของซูจิ่นซีได้ยินเสียงหัวใจเต้นของเยี่ยโยวเหยา จมูกได้กลิ่นที่คุ้นเคย ทว่าภายในใจของนางกลับเต็มไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจและขุ่นเคือง นางจึงผลักเยี่ยโยวเหยาอย่างรุนแรง
“ออกไป อย่าแตะต้องหม่อมฉัน! ”
เยี่ยโยวเหยารั้งศีรษะของนางกลับมาอีกครั้ง พลางพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “ต้องการหรือไม่? ”
“ไม่ต้องการ! ”
“ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง ต้องการหรือไม่! ”
“ไม่ต้องการ ไม่ต้องการ บอกว่าไม่ต้องการ! ”
ซูจิ่นซีใช้กำปั้นชกไปที่หน้าอกของเยี่ยโยวเหยา
เยี่ยโยวเหยารู้สึกเจ็บ เขายื่นมือข้างหนึ่งออกมาคว้ามือทั้งสองของซูจิ่นซีที่กวัดแกว่งไปมาในอากาศ และจับไว้แน่น ไม่ให้นางขยับเขยื้อน ก่อนจะกดมือทั้งสองข้างของนางไว้เหนือศีรษะ ทำให้ร่างของนางแนบชิดกับร่างกายของเขา
“น้ำค้างของข้า ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าปฏิเสธ! ”
ซูจิ่นซีตกตะลึง แก้มแดงก่ำในชั่วพริบตา
ปรากฏว่าสิ่งที่เขาพูด แตกต่างจากที่นางคิด