ขณะเดียวกันเขาก็แอบสาบานกับตัวเองอย่างลับๆ กลับไปเขาจะต้องตั้งใจศึกษาอย่างจริงจัง คราวหน้าจะได้มิทำให้แม่นางน้อยคนงามต้องกลายเป็นหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิงเช่นนี้อีก
ซย่าโหวฉิงเทียนมักจะเป็นเช่นนี้ เข้มงวดกับตัวเองเป็นที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าเขาไม่พอใจกับฝีมือของตนเองในครั้งนี้เท่าไหร่นัก
ผิดกับอวี้เฟยเยียนที่ยืนส่องกระจก หันซ้ายที ขวาที ชอบอกชอบใจยิ่งนัก
ร่างนี้สวยงามโดยธรรมชาติ ทำให้ไม่ว่าจะแต่งเติมอย่างไร ล้วนแต่งดงามทั้งสิ้น
ถูกเลือกให้มีส่วนร่วมกับภารกิจในครั้งนี้ อีกทั้งวิญญาณของนางยังทะลุมิติมาถึงที่นี่ อวี้เฟยเยียนก็รู้สึกกำไรมากแล้ว!
“ซย่าโหวฉิงเทียนท่านเก่งกาจยิ่งนัก!”
อวี้เฟยเยียนยกนิ้วชื่นชมเขา
ได้รับคำชื่นชมจากสาวน้อยที่มีคุณธรรม ทั้งดูแล้วมิใช่การชมเชยจอมปลอม แต่เป็นการชื่นชมที่ออกจากใจจริง ทำให้ใบหน้าซย่าโหวฉิงเทียนที่เดิมผิดหวังห่อเ**่ยว ในที่สุดก็เผยรอยยิ้มออกมา
“ไปเถอะ! ฝ่าบาทคอยเราอยู่นะ!”
เพราะการแต่งตัวนางกินเวลาไปไม่น้อย เมื่อออกจากหอซงเฮ่อ ซย่าโหวฉิงเทียนก็อุ้มอวี้เฟยเยียนขึ้นแนบอก แล้วกระโดดขึ้นฟ้าทะยานออกไปทันที
“ช้าหน่อยเถอะ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนใช้ความเร็วระดับสูงสุด ทำให้อวี้เฟยเยียนรีบโอบคอเขาเอาไว้แน่น
ความเร็วระดับนี้ เทียบกับรถไฟฟ้าความเร็วสูงได้เลยนะเนี่ย!
ทว่านี่เองทำให้อวี้เฟยเยียนรู้สึกนับถือซย่าโหวฉิงเทียนมากขึ้นไปอีก มิรู้ว่าเมื่อไหร่กันที่นางจะทำได้บ้าง!
ร่างนุ่มนิ่มที่อยู่ในอ้อมอก มือเล็กๆ ที่โอบคอเขาอยู่ ลมหายใจหอมหวนที่เป่ารดบริเวณปลายจมูก
ถึงแม้ว่าสายลมที่พัดมาจะหนาวเหน็บ แต่หน้าซย่าโหวฉิงเทียนกลับฉาบไว้ด้วยรอยยิ้มที่แสนอบอุ่น
ทว่า ยังมิทันที่เขาจะได้ดื่มด่ำกับสิ่งสวยงามเหล่านี้โดยละเอียด วังหลวงก็อยู่ที่ใต้เท้าพวกเขาเสียแล้ว
นี่เป็นครั้งแรก ที่ในใจของซย่าโหวฉิงเทียนเอาแต่บ่นว่า เหตุใดวังหลวงถึงได้ใกล้นักนะ!
แม้กระทั่งเวลาที่จะได้ใกล้ชิดแมวน้อยตามลำพังยังไม่มีเลย!
หายากนักที่แมวน้อยจะยินยอมซุกกายอยู่ในอ้อมอกเขาแต่โดยดี
ไม่รู้ว่าครั้งหน้า เมื่อไหร่จะมาถึงกัน!
เสด็จพี่ ท่านย้ายเมืองหลวงเถอะ ดีหรือไม่!
ในขณะที่ซย่าโหวจวินอวี่ร้อนใจจนลูบเคราร่วงหลุดไปหลายต่อหลายเส้นแล้วนั่นเอง ซย่าโหวฉิงเทียนก็จูงมืออวี้เฟยเยียนเดินเยื้องย่างเข้ามา
แม่นางน้อย แลดูบอบางอรชรอ้อนแอ้นเมื่อยืนอยู่ข้างกายซย่าโหวฉิงเทียน
เมื่อคนทั้งสองเดินเคียงข้างกัน ราวกับกิ่งทองใบหยกก็ไม่ปาน
เหมาะสมกันทุกประการ!
ครั้งนี้ อวี้เฟยเยียนมิได้สวมใส่ผ้าแพรผืนบางปกปิดใบหน้า แต่มาด้วยรูปโฉมที่แท้จริง
เมื่อได้เห็นใบหน้าอวี้เฟยเยียนแล้ว ในใจซย่าโหวจวินอวี่ก็บังเกิดคำว่า งามนัก…
ลูกชาย เจ้าช่างตาแหลมจริงๆ!
หญิงงามหยาดฟ้ามาดินเช่นนี้ ให้ตามหาทั่วทั้งแผ่นดิน คงมีคนนี้เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น! ลูกชายข้ายอดเยี่ยมไปเลย
แววตาซย่าโหวจวินอวี่ทั้งชื่นชม ตกตะลึง ดีใจ ทั้งยังมีอาการตื้นตันจนแทบหลั่งน้ำตาออกมาด้วยซ้ำ คนอื่นที่อยู่ในห้องบรรทมของซย่าโหวเสวี่ย นอกจากฮ่องเต้แล้ว ล้วนอยู่ในอาการตกตะลึงเช่นกัน
“ฝ่าบาท นี่หม่อมฉันกำลังมองเห็นนางฟ้าใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
เซี่ยงจิ้นขยี้ตาตัวเองเบาๆในขณะที่กระซิบ
“บ๊ะ! นี่คือลูกสะใภ้ของข้าต่างหาก!”
ซย่าโหวจวินอวี่กล่าวกับเซี่ยงจิ้นเสียงแผ่วเบา ด้วยเกรงว่าอวี้เฟยเยียนจะได้ยินเข้า
ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็พากันจ้องมองอวี้เฟยเยียนไม่วางตาด้วยอาการตกตะลึงจนลืมสิ้นแล้วว่าตนเองกำลังถูกโอรสสวรรค์ทรงพิโรธ ชีวิตกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย ทุกคนราวกับกลายเป็นท่อนไม้เสียอย่างนั้น
หญิงงามขนาดนี้ พวกเขาเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก!
แม้กระทั่งหลิวฮองเฮา ที่เคยพบกับหญิงงามมามากมาย แต่ครั้งนี้เมื่อพบกับอวี้เฟยเยียนนางก็ยังชื่นชมอยู่ในใจ หญิงผู้นี้คงจะมีเพียงบนสวรรค์และคงจะเป็นที่โปรดปรานเป็นแน่แท้
คงมีเพียงแต่ซย่าโหวเสวี่ยที่เมื่อมองเห็นอวี้เฟยเยียนแล้ว นอกจากตกตะลึงยังระคนโกรธแค้นอยู่ด้วย
แต่ไหนแต่ไรมา นางคิดมาตลอดว่าอวี้หลัวช่าคงจะหน้าตาน่าเกลียดอัปลักษณ์ จึงมักสวมผ้าแพรปกปิดใบหน้าตลอดเวลา เพราะนางมิอาจสู้หน้าใครได้ ใครจะคาดคิด ในตอนนี้อวี้หลัวช่าใช้ความจริง ตบหน้าซย่าโหวเสวี่ยฉาดใหญ่
เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร!
เพราะอะไรกัน!
ซย่าโหวเสวี่ยรู้สึกไม่เป็นธรรมอย่างที่สุด อวี้เฟยเยียนมิเพียงแต่เกิดมารูปร่างหน้าตางดงาม ทั้งยังมีสถานะจักรพรรดิโอสถและจอมเทวาอีกด้วย ยิ่งมิต้องพูดถึงว่าข้างกายจะมีคนเท่าไหร่ที่ชื่นชมนาง
เมื่อนึกถึงสิ่งที่เหลียนจิ่นปฏิบัติต่ออวี้เฟยเยียน หัวใจซย่าโหวเสวี่ยก็กำลังหลั่งเลือด
พี่ชายเหลียน ท่านรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่านางรูปร่างหน้าตางดงาม ท่านหวั่นไหว ดังนั้นพี่จึงเย็นชาละเลยข้าอย่างนั้นหรือ
เพราะเหลียนจิ่นเป็นเหตุ ทำให้ซย่าโหวเสวี่ยยิ่งทวีความเกลียดชังที่มีต่ออวี้เฟยเยียนมากขึ้นไปอีก
กระทั่งว่าซย่าโหวเสวี่ยรู้สึกว่า ครั้งแรกที่เมืองเฟิ่งหมิง อวี้เฟยเยียนรู้ว่าเสี่ยวอิงไม่น่าไว้ใจ แต่กลับไม่ตักเตือนนางเลยแม้แต่น้อย อวี้เฟยเยียนมองดูนางค่อยๆติดกลับรังโจรทีละน้อย อวี้เฟยเยียนจงใจ!
อีกอย่างหนึ่ง อวี้เฟยเยียนวรยุทธ์สูงส่ง เมื่อซย่าโหวเสวี่ยเกิดเรื่อง นางสามารถมาช่วยเหลือนางในทันที
แต่อวี้เฟยเยียนกลับถ่วงเวลา รอจนซือถูเจี้ยนทำเรื่องพรรค์นั้นกับนางไปแล้ว อวี้เฟยเยียนถึงได้ออกมาช่วยเหลือ
ทั้งหมอนี้ ล้วนแต่เป็นแผนชั่วของอวี้เฟยเยียน
จุดประสงค์ก็เพื่อกำจัดซย่าโหวเสวี่ยให้พ้นทาง เพื่อที่จะครอบครองหัวใจของพี่ชายเหลียน!
สตรีไร้ยางอาย!
หน้าด้าน!
หากมิใช่อวี้เฟยเยียน นางก็คงมิถูกซือถูเจี้ยนข่มเหง มิต้องตั้งท้องมารหัวขนนี่ มิต้องถูกเสด็จพ่อเกลียดชัง…ซย่าโหวเสวี่ยตัดสินไปแล้วว่า เรื่องราวเลวร้ายทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับนางนั้น มูลเหตุล้วนแต่มาจากอวี้เฟยเยียนทั้งสิ้น
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาอาฆาตมาดร้ายของซย่าโหวเสวี่ย อวี้เฟยเยียนก็มองกลับไป
เด็กน้อยที่ถูกตามใจจนเสียคน!
อวี้เฟยเยียนคิดอยู่ในใจ
ถึงแม้ว่าในระหว่างทางที่มาซย่าโหวฉิงเทียนจะมิได้เล่ารายละเอียดว่าในวังเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่เมื่อมาถึงที่นี่มีคนอยู่เพียงไม่กี่คน ลองคิดดูแล้ว อวี้เฟยเยียนก็แน่ใจได้เลยว่าเรื่องในวันนี้ต้องเกี่ยวข้องกับหลิวฮองเฮาและซย่าโหวเสวี่ยอย่างแน่นอน
แววตาอวี้เฟยเยียนราบเรียบยามที่มองกลับไป ราวกับกำลังมองดูบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองอย่างไรอย่างนั้น
เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้
อวี้เฟยเยียนทำร้ายนางจนบอบช้ำขนาดนี้ มิควรที่จะรู้สึกผิดหรอกหรือ
คนเช่นนี้ก็คู่ควรเป็นจักรพรรดิโอสถอย่างนั้นหรือ!
ท่าทีที่ราบเรียบของอวี้เฟยเยียน ยิ่งตอกย้ำซย่าโหวเสวี่ย
เมื่อถูกตอกย้ำมากเข้า ซย่าโหวเสวี่ยก็ร้องไห้ออกมาปากก็พร่ำกล่าวว่า
“เสด็จพ่อ ลูกจะมิยอมให้นางมารักษา ลูกกับนางมีความแค้นต่อกัน นางจะต้องให้ร้ายลูกอย่างแน่นอน!”
“หา”
คราวนี้เป็นอวี้เฟยเยียนที่ประหลาดใจ
มีความแค้นกับท่าน
ท่านประเมินสติปัญญาของตนเองสูงเกินไปแล้วกระมัง องค์หญิงไป๋เสวี่ย!
“หุบปาก!”
ขณะที่ซย่าโหวจวินอวี่กำลังครุ่นคิดว่าประโยคแรกจะกล่าวอะไรกับว่าที่ลูกสะใภ้ถึงจะดี อยู่นั่นเอง ซย่าโหวเสวี่ยก็พ่นประโยคเมื่อครู่ออกมา ทำให้สิ่งที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่ขาดตอน
“ท่านนี้คือใต้เท้าอวี้หลัวช่า! เป็นถึงจักรพรรดิโอสถ เชิญท่านมาช่วยรักษาเจ้า นับเป็นวาสนาของเจ้าแล้ว!”
“ลูกไม่ต้องการ เสด็จพ่อ นางจะให้ร้ายลูก!”
ซย่าโหวเสวี่ยถอยร่นไปหลบหลังหลิวฮองเฮา ร่างสั่นเทา
เมื่อเห็นบุตรสาวมีอาการเช่นนั้น หลิวฮองเฮาก็รีบโอบกอดนางเอาไว้ แล้วปลอบโยนนางแผ่วเบา แววตาที่มองอวี้เฟยเยียนก็แปรเปลี่ยนเป็นอาฆาตมาดร้าย
“เรื่องนี้ตามใจเจ้าไม่ได้!”
ซย่าโหวจวินอวี่รู้สึกว่าซย่าโหวเสวี่ยทำให้ตนเองขายหน้าเป็นอย่างมาก
ตอนนี้ควรจะเป็นภาพที่พ่อสามีพบกับว่าที่ลูกสะใภ้ด้วยความอบอุ่น แล้วไฉนกลายเป็นเช่นนี้ได้เล่า!
“เชิญท่านตรวจอาการให้กับหมอหลวงหวังเสียก่อน เขาบาดเจ็บ!”
สำหรับเรื่องซย่าโหวเสวี่ย ซย่าโหวฉิงเทียนรู้จากเหลียนจิ่นมาบ้างแล้ว
กล้าให้ร้ายแมวน้อยหรือ
บังอาจยิ่งนัก!
ดังนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนจึงใช้พลังภายในควบคุมซย่าโหวเสวี่ยเอาไว้ ทำให้นางมิอาจขยับเขยื้อนได้ ต้องยอมให้หมอหลวงหวังตรวจอาการแต่โดยดี
มาตอนนี้ ซย่าโหวเสวี่ยแสดงท่าทีเช่นนี้กับอวี้เฟยเยียนต่อหน้าต่อตาเขา ซย่าโหวฉิงเทียนขอจดบัญชีนี้เอาไว้ในใจ โดยที่สีหน้าเรียบเฉยไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
“รับด้วยเกล้า!”
อวี้เฟยเยียนเดินเข้าไปหาหมอหวงหวัง เพื่อตรวจดูอาการของเขา นางพบว่าที่หน้าอกหมอหลวงหวังที่รอยห้อเลือด กระดูกหน้าอกร้าว แต่ไม่ถึงกับหัก นางจึงสั่งยา ทั้งยังยกยามาให้กับหมอหลวงหวังด้วยตัวเอง
ไม่นาน อาการเจ็บของหมอหลวงหวังก็บรรเทาลง และหลังจากทายาบริเวณอกที่บาดเจ็บ เขาก็รู้สึกดีขึ้นมากทีเดียว
สมแล้วที่เป็นจักรพรรดิโอสถ!
“รบกวนท่านแล้ว…”
หมอหลวงหวังมองอวี้เฟยเยียนด้วยแววตาซาบซึ้งส่วนปากก็พร่ำกล่าวออกมา
ใบหน้านี้ เขาจะลืมได้อย่างไรกัน!
นึกไม่ถึงเลยว่า คนที่เขาช่วยเหลือเอาไว้ในครั้งนั้นจะเป็นจักรพรรดิโอสถผู้ยิ่งใหญ่!
หมอหลวงหวังทั้งตกใจระคนดีใจ ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่า เมื่อครู่ที่หลินเจียงอ๋องเห็นด้วยกับการให้ซย่าโหวเสวี่ยตรวจสอบร่างกาย ไม่ใช่ไม่เชื่อถือในวิชาแพทย์เขา แต่เพราะหลินเจียงอ๋องมีแผนทีหลังนี่เอง
ดีจริงๆ!
หมอหลวงหวังรู้ดีว่าชีวิตของเขาคงยากที่จะรักษาเอาไว้แล้ว นี่หลินเจียงอ๋องกำลังตอบแทนที่เขาเคยช่วยอวี้เฟยเยียนถอนพิษคราวก่อน
“เสด็จพี่ จะขาวหรือดำ อย่างไรเสียก็ต้องมีข้อสรุป ใครคือผู้บริสุทธิ์ ใครสมควรตาย อีกไม่นานก็รู้ผล! คน ข้าได้ไปเชิญมาแล้ว ที่เหลือควรจะทำเช่นไร เชิญเสด็จพี่เถอะ!”
ซย่าโหวฉิงเทียนถอยไปยืนอยู่ด้านข้างด้วยท่าทีสบายๆ
คำพูดของซย่าโหวฉิงเทียนปลุกซย่าโหวจวินอวี่ให้คิดขึ้นได้ ใช่ ต้องจัดการเรื่องสำคัญก่อน!
“อะแฮ่ม!”
ซย่าโหวจวินอวี่ทดสอบเสียง แล้วเริ่มวางมาดฮ่องเต้ เขามองไปที่อวี้เฟยเยียนด้วยสายตาอ่อนโยน
“ใต้เท้าอวี้หลัวช่า เชิญท่านตรวจอาการให้กับบุตรสาวของข้าทีเถอะ ดูว่านางเป็นอะไรกันแน่!”
สีหน้าค่อนไปทางยินดีของฮ่องเต้ รอยยิ้มอบอุ่นจริงใจบนใบหน้าอวบอ้วนนั้น ทำให้อวี้เฟยเยียนรู้สึกไม่คุ้นชินอยู่บ้างในตอนแรก
ฝ่าบาท มาดฮ่องเต้ของพระองค์ล่ะเพคะ
ท่านเป็นกันเองกับประชาชนเช่นนี้ จะดีหรือ
“ฝ่าบาท ขอทรงเรียกหม่อมฉันว่าเสี่ยวอวี้เถอะเพคะ! หม่อมฉันเป็นคนรุ่นหลัง ทรงเรียกขานหม่อมฉันเช่นนั้น หม่อมฉันมิบังอาจ!”
อวี้เฟยเยียนกล่าวไปยิ้มไป
เสี่ยวอวี้
รุ่นหลัง
ดวงตาทั้งสองข้างของซย่าโหวจวินอวี่เป็นประกาย
ข้าชื่นชมคนรุ่นหลังที่มีเหตุผลเช่นเจ้านี่แหละ!
หากเจ้าแต่งงานกับซย่าโหวฉิงเทียนละก็ ข้าก็ยิ่งชอบมากเลย!