“ยัยนี่หายไปไหนกัน?”
เย่เทียนที่ใจตุ้มๆต่อมๆมองห้องที่ไร้ผู้คนแล้วอดโล่งใจไม่ได้
นึกถึงท่าทางโหดเหี้ยมที่แทบอยากจะสับเขาเป็นชิ้นๆของเซ่เจียแล้ว เย่เทียนเอื้อมมือไปเช็ดเหงื่อที่ไม่มีอยู่จริงด้วยสัญชาตญาณ
ถ้าเซ่เจียกล้าสู้แบบเอาชีวิตเข้าแลกกับเขาจริงๆ เขาไม่รู้เลยว่าควรจะตอบโต้มั้ย
เขาไม่มีความคิดจะไปตามหาเซ่เจีย ยังไงซะเธอก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว คงไม่ถึงขั้นทำอะไรบ้าๆลงไป ถ้าอย่างนั้นปล่อยให้เธอได้ใจเย็นหน่อยดีกว่า
ยังไงซะมะรืนก็เป็นคอนเสิร์ตของเซ่เจีย เชื่อว่าเธอไม่ยอมขาดตกหน้าที่หรอก
แม้จะพูดแบบนั้น แต่การจากไปอย่างกะทันหันของเซ่เจียก็ทำให้ส่วนลึกในใจของเย่เทียนผิดหวังอย่างอดไม่ได้
แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว เย่เทียนถึงมีเวลาตรวจดูสภาพตัวเองจริงๆ
“เอ๋? ทำไมถึงบรรลุล่ะ?”
พอตรวจดู เย่เทียนก็ผงะไปในบัดดล
ไม่ใช่แค่พิษในร่างหายไปจนหมดสิ้น แต่เขาก้าวสู่ระดับฝึกพลังชั้นเจ็ดตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้!
เย่เทียนไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ เขาจำได้ว่าตัวเองยังไม่ถึงจุดสูงสุดของระดับฝึกพลังชั้นหกเลย การบรรลุกะทันหันนี้ทำให้เขางุนงงไปหมดหาทิศทางไม่เจอ
“หรือว่า เป็นเพราะมีอะไรกับเซ่เจีย?”
นึกถึงฝีมือที่เซ่เจียแสดงให้เห็นเมื่อกี้ เย่เทียนอดนึกถึงพลังสีฟ้าครามประหลาดเมื่อคืนไม่ได้ ในใจเกิดการคาดเดาอันบ้าบิ่นขึ้นมา
นาทีต่อมา เย่เทียนก็ส่ายหัวและล้มเลิกการคาดเดาอันไร้สาระนี้
เขาไม่เคยเรียนวิชาสังวาสหรือการดูดพลังหยินมาเติมหยาง เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!
ในเมื่อคิดไม่ตก เย่เทียนก็ไม่เก็บมาใส่ใจ เขาสลัดคำถามนี้ทิ้งไป
ยังไงซะไว้รอเจอเซ่เจียแล้วค่อยถามเธอก็ได้ จะมัวพิรี้พิไร้ทำไมกัน?
แต่ยังไงซะก็ก้าวสู่ระดับฝึกพลังชั้นเจ็ดแล้ว เย่เทียนหมุนเวียนพลังดูอย่างอดไม่ได้ พบว่าชี่ทิพย์ในร่างแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย ดุดันกว่าแต่ก่อนราวๆหนึ่งส่วนห้า
เย่เทียนหายเซ็งทันที และอยากจะหาสถานที่ทดสอบพลังตัวเองอย่างตื่นเต้นอยากลองของ
กริ๊ง!
ขณะนั้นเอง มือถือในกระเป๋าเย่เทียนดังขึ้นมากะทันหัน
เย่เทียนหยิบมือถือออกมาดูแล้วต้องมีสีหน้าประหลาดในบัดดล
ไม่มีสาเหตุอื่น สายเรียกเข้าคือเบอร์เดียวกับที่เลขาเจิ้งเหวยหวาโทรหาเขาเมื่อคืน!
“ฉันยังไม่ทันไปหา ยังจะใจกล้าโทรมาอีก เห็นฉันเป็นพวกติ๋มๆรังแกง่ายจริงๆใช่มั้ย?!”
เย่เทียนแค่นเสียงเย็น และกดรับสาย
“ไม่ทราบว่าใช่น้องเย่มั้ย?”
เสียงที่ดังมาจากปลายสายไม่ใช่เสียงหวานของผู้หญิง แต่เป็นเสียงของตัวเจิ้วเหวยหวาเอง
“ฉันเอง ทำไมเหรอ ฉันยังไม่ตายนายผิดหวังมากเลยใช่มั้ย?!”
เย่เทียนหัวเราะเย็นๆ คำพูดคำจาไม่ปิดบังความเย็นชาเลยสักนิด
“น้องเย่ คุณไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”
เจิ้งเหวยหวาพูดอย่างรู้สึกผิด “ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ แต่เรื่องคนนั้นไม่ใช่ความตั้งใจจริงของผม แต่พี่ใหญ่ผมสะกดรอยตามผม”
“แน่นอนว่าท่าทีของผมในคืนนั้นอาจจะไม่ค่อยดี แต่นั่นก็เพราะผมรู้จักวิธีการของพี่ใหญ่ผมดี ไม่อยากให้เรื่องมันบานปลาย หวังว่าคุณจะเข้าใจ”
เย่เทียนหวนนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นที่ร้านอาหารซุ่นซิงดีๆ ตอนที่เจิ้งเหวยกั๋วโผล่มา ความตะลึงบนใบหน้าของเจิ้งเหวยหวาไม่เหมือนการแสดงจริงๆ
“น้องเย่ ผมอยากพบคุณ”
เจิ้งเหวยหวาไม่อ้อมค้อม เขายิงตรงเข้าประเด็น “แน่นอนว่าเวลาและสถานที่คุณตัดสินใจได้เลย ผมรับประกันว่ามีแค่ผมคนเดียวที่ไป จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบเมื่อคืนอีกเด็ดขาด!”
เย่เทียนครุ่นคิด ท้ายที่สุดก็บอกที่อยู่ไป
ถึงแม้เขาก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าทำไมเจิ้งเหวยหวาถึงยังขอพบตัวเอง แต่ถ้าอยากแก้แค้น เมื่อคืนคงแก้แค้นไปแล้ว จะทำให้มากความไปทำไม
หลังจากนั่งรถมาประมาณยี่สิบนาที เย่เทียนก็มาอยู่ในร้านกาแฟเฟรนไชส์แห่งหนึ่ง ณ ใจกลางเมือง
เจิ้งเหวยหวาเลือกที่นั่งรอไว้แล้ว เมื่อเห็นร่างของเย่เทียนปรากฏ ก็รีบโบกมือให้เขา
“ตอนนี้ฉันมาแล้ว นายมีอะไรก็พูดมาเถอะ”
เขาสั่งกาแฟบลูเมาท์เทนกับบริกรที่เข้ามาต้อนรับ เย่เทียนนั่งลงตุ้บตรงข้ามเจิ้วเหวยหวา
“น้องเย่ ผมรู้ว่าหลังจากเกิดเรื่องเมื่อคืน คุณต้องไม่ยอมรามือง่ายๆแน่”
“ผมรู้ว่าคุณไม่ใช่คนธรรมดา ผมจึงไม่กล้าขอให้คุณไม่เอาคืน แต่ไม่ว่ายังไงนั่นก็พี่ใหญ่ของผม ผมหวังว่าคุณจะไว้ชีวิตเขา!”
“ในนี้คือเรื่องผิดกฎหมายที่พี่ใหญ่ผมได้ทำในหลายปีมานี้ พอให้เขาใช้ชีวิตที่เหลือในคุกแล้ว”
เจิ้งเหวยหวาสีหน้าขมขื่น หยิบแฟ้มเอกสารสีเหลืองจากกระเป๋าหนังและยื่นให้
เย่เทียนผงะในบัดดล คิดไม่ถึงเลยว่าเจิ้วเหวยหวาจะมาไม้นี้ เกินความคาดหมายของเขาไปอย่างสิ้นเชิง!
เย่เทียนรู้ตัวดีว่าตัวเองไม่ใช่คนใจกว้าง และถ้าไม่ใช่ว่าเจิ้งเหวยหวาเป็นฝ่ายโทรมาก่อน เขาเตรียมตัวจะไปหาเจิ้งเหวยกั๋วแล้ว
ยังไงซะเขาก็ไม่มีทางไปอาละวาดที่พรรคชิงเฉิง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เก็บดอกเบี้ยจากลิ่วล้อของพรรคชิงเฉิง
เมื่อคืนถ้าไม่ใช่เพราะเจิ้งเหวยกั๋วพาเหลยเฉิงยุ่นและไต้หงเล่อมา เขาจะโดนพิษลึกลับนั้นเข้าได้ยังไง แล้วจะล่วงเกินเซ่เจียด้วยอุบัติเหตุได้ยังไง และยิ่งไม่มีทางบรรลุถึงระดับฝึกพลังชั้นเจ็ด
คิดมาถึงตรงนี้ เย่เทียนค้นพบด้วยความตะลึงว่าหากนับดูดีๆ ตัวเองน่าจะต้องขอบคุณเจิ้งเหวยกั๋วงามๆด้วยซ้ำ
ความคิดบ้าบอนี้ทำให้เย่เทียนนึกเซ็ง รีบสลัดความคิดฟุ้งซ่านในหัวออกไป และรับแฟ้มเอกสารสีเหลืองดูด้วยสีหน้าประหลาด
อย่างที่เจิ้งเหวยหวาว่า แฟ้มนี้เต็มไปด้วยข้อมูลอาชญกรรมที่เจิ้งเหวยกั๋วก่อไว้ ให้เขารับโทษจำคุกหลายสิบปีได้ไม่มีปัญหา
แต่เย่เทียนกลับค้นพบด้วยความละเอียดอ่อนว่าในแฟ้มเอกสารนี้ เรื่องต่ำทรามทั้งหลายของเจิ้งเหวยกั๋วส่วนใหญ่ไม่ลามทุ่งไปถึงบริษัทแซ่เจิ้ง ต่อให้เปิดเผยสู่สาธารณชนบริษัทแซ่เจิ้งอาจจะได้รับผลกระทบนิดหน่อย แต่ไม่ถึงขั้นล้มจนลุกไม่ได้
คิดมาถึงตรงนี้ เย่เทียนมองเจิ้งเหวยหวาด้วยสายตาเปี่ยมความหมาย เจ้านี่สมกับเป็นบุคลากรที่ขับเคลื่อนเรือธุรกิจยักษ์ได้ เจ้าเล่ห์เพทุบายจริงๆ!
“เอกสารนี้นอกจากจะทำให้ฉันเลิกตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับนายแล้ว ยังช่วยให้นายได้คุมบังเหียนบริษัทแซ่เจิ้งเพียงลำพังอีกด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวแบบนี้ วางแผนมาไม่เลวเลยนะ!”
เย่เทียนเก็บเอกสารเข้าแฟ้มแล้วโยนลงโต๊ะ พิงโซฟาด้วยท่าทีเกียจคร้านพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “แต่ทำไมฉันต้องทำแบบนั้นล่ะ?”
“คุณชายเย่ อย่าเข้าใจผิดนะครับ ความตั้งใจเดิมของผมแค่หวังว่าคุณจะไว้ชีวิตพี่ใหญ่ของผม”
เจิ้งเหวยหวายิ้มน้อยๆ พูดเสียงดังฟังชัด “แน่นอน ผมรับประกันว่าแต่นี้ต่อไปบริษัทแซ่เจิ้งจะเป็นพันธมิตรที่ซื่อสัตย์ต่อคุณที่สุด!”
ราวกับต้องการแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจ เจิ้งเหวยหวาเปลี่ยนยันคำเรียกขาน
“เชื่อว่านายน่าจะรู้ว่าพรรคชิงเฉิงอยู่เบื้องหลังพี่ใหญ่ของนายใช่มั้ย?”
ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เย่เทียนถึงถามเสียงเข้ม “ฉันอยากรู้มากจริงๆ เหตุผลอะไรที่นายยอมเดิมพันกับฉัน?”
“สายตาที่ผมดูคน!”
เจิ้งเหวยหวายิ้มเขินๆ ยื่นมือมาชี้ตาตัวเองและพูดเสียงก้อง “ที่ผมมีฐานะอย่างทุกวันนี้ได้ ก็พึ่งตาคู่นี้ของผมนี่แหละ!”