บทที่ 470 คำเชิญจากเจิ้งเหวยหวาอีกครั้ง

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

“ยัยนี่หายไปไหนกัน?”

เย่เทียนที่ใจตุ้มๆต่อมๆมองห้องที่ไร้ผู้คนแล้วอดโล่งใจไม่ได้

นึกถึงท่าทางโหดเหี้ยมที่แทบอยากจะสับเขาเป็นชิ้นๆของเซ่เจียแล้ว เย่เทียนเอื้อมมือไปเช็ดเหงื่อที่ไม่มีอยู่จริงด้วยสัญชาตญาณ

ถ้าเซ่เจียกล้าสู้แบบเอาชีวิตเข้าแลกกับเขาจริงๆ เขาไม่รู้เลยว่าควรจะตอบโต้มั้ย

เขาไม่มีความคิดจะไปตามหาเซ่เจีย ยังไงซะเธอก็เป็นผู้ใหญ่แล้ว คงไม่ถึงขั้นทำอะไรบ้าๆลงไป ถ้าอย่างนั้นปล่อยให้เธอได้ใจเย็นหน่อยดีกว่า

ยังไงซะมะรืนก็เป็นคอนเสิร์ตของเซ่เจีย เชื่อว่าเธอไม่ยอมขาดตกหน้าที่หรอก

แม้จะพูดแบบนั้น แต่การจากไปอย่างกะทันหันของเซ่เจียก็ทำให้ส่วนลึกในใจของเย่เทียนผิดหวังอย่างอดไม่ได้

แต่มาถึงขั้นนี้แล้ว เย่เทียนถึงมีเวลาตรวจดูสภาพตัวเองจริงๆ

“เอ๋? ทำไมถึงบรรลุล่ะ?”

พอตรวจดู เย่เทียนก็ผงะไปในบัดดล

ไม่ใช่แค่พิษในร่างหายไปจนหมดสิ้น แต่เขาก้าวสู่ระดับฝึกพลังชั้นเจ็ดตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้!

เย่เทียนไม่คิดเลยว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ เขาจำได้ว่าตัวเองยังไม่ถึงจุดสูงสุดของระดับฝึกพลังชั้นหกเลย การบรรลุกะทันหันนี้ทำให้เขางุนงงไปหมดหาทิศทางไม่เจอ

“หรือว่า เป็นเพราะมีอะไรกับเซ่เจีย?”

นึกถึงฝีมือที่เซ่เจียแสดงให้เห็นเมื่อกี้ เย่เทียนอดนึกถึงพลังสีฟ้าครามประหลาดเมื่อคืนไม่ได้ ในใจเกิดการคาดเดาอันบ้าบิ่นขึ้นมา

นาทีต่อมา เย่เทียนก็ส่ายหัวและล้มเลิกการคาดเดาอันไร้สาระนี้

เขาไม่เคยเรียนวิชาสังวาสหรือการดูดพลังหยินมาเติมหยาง เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!

ในเมื่อคิดไม่ตก เย่เทียนก็ไม่เก็บมาใส่ใจ เขาสลัดคำถามนี้ทิ้งไป

ยังไงซะไว้รอเจอเซ่เจียแล้วค่อยถามเธอก็ได้ จะมัวพิรี้พิไร้ทำไมกัน?

แต่ยังไงซะก็ก้าวสู่ระดับฝึกพลังชั้นเจ็ดแล้ว เย่เทียนหมุนเวียนพลังดูอย่างอดไม่ได้ พบว่าชี่ทิพย์ในร่างแข็งแกร่งขึ้นเล็กน้อย ดุดันกว่าแต่ก่อนราวๆหนึ่งส่วนห้า

เย่เทียนหายเซ็งทันที และอยากจะหาสถานที่ทดสอบพลังตัวเองอย่างตื่นเต้นอยากลองของ

กริ๊ง!

ขณะนั้นเอง มือถือในกระเป๋าเย่เทียนดังขึ้นมากะทันหัน

เย่เทียนหยิบมือถือออกมาดูแล้วต้องมีสีหน้าประหลาดในบัดดล

ไม่มีสาเหตุอื่น สายเรียกเข้าคือเบอร์เดียวกับที่เลขาเจิ้งเหวยหวาโทรหาเขาเมื่อคืน!

“ฉันยังไม่ทันไปหา ยังจะใจกล้าโทรมาอีก เห็นฉันเป็นพวกติ๋มๆรังแกง่ายจริงๆใช่มั้ย?!”

เย่เทียนแค่นเสียงเย็น และกดรับสาย

“ไม่ทราบว่าใช่น้องเย่มั้ย?”

เสียงที่ดังมาจากปลายสายไม่ใช่เสียงหวานของผู้หญิง แต่เป็นเสียงของตัวเจิ้วเหวยหวาเอง

“ฉันเอง ทำไมเหรอ ฉันยังไม่ตายนายผิดหวังมากเลยใช่มั้ย?!”

เย่เทียนหัวเราะเย็นๆ คำพูดคำจาไม่ปิดบังความเย็นชาเลยสักนิด

“น้องเย่ คุณไม่เป็นไรก็ดีแล้ว”

เจิ้งเหวยหวาพูดอย่างรู้สึกผิด “ไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ แต่เรื่องคนนั้นไม่ใช่ความตั้งใจจริงของผม แต่พี่ใหญ่ผมสะกดรอยตามผม”

“แน่นอนว่าท่าทีของผมในคืนนั้นอาจจะไม่ค่อยดี แต่นั่นก็เพราะผมรู้จักวิธีการของพี่ใหญ่ผมดี ไม่อยากให้เรื่องมันบานปลาย หวังว่าคุณจะเข้าใจ”

เย่เทียนหวนนึกถึงเหตุการณ์วันนั้นที่ร้านอาหารซุ่นซิงดีๆ ตอนที่เจิ้งเหวยกั๋วโผล่มา ความตะลึงบนใบหน้าของเจิ้งเหวยหวาไม่เหมือนการแสดงจริงๆ

“น้องเย่ ผมอยากพบคุณ”

เจิ้งเหวยหวาไม่อ้อมค้อม เขายิงตรงเข้าประเด็น “แน่นอนว่าเวลาและสถานที่คุณตัดสินใจได้เลย ผมรับประกันว่ามีแค่ผมคนเดียวที่ไป จะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบเมื่อคืนอีกเด็ดขาด!”

เย่เทียนครุ่นคิด ท้ายที่สุดก็บอกที่อยู่ไป

ถึงแม้เขาก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าทำไมเจิ้งเหวยหวาถึงยังขอพบตัวเอง แต่ถ้าอยากแก้แค้น เมื่อคืนคงแก้แค้นไปแล้ว จะทำให้มากความไปทำไม

หลังจากนั่งรถมาประมาณยี่สิบนาที เย่เทียนก็มาอยู่ในร้านกาแฟเฟรนไชส์แห่งหนึ่ง ณ ใจกลางเมือง

เจิ้งเหวยหวาเลือกที่นั่งรอไว้แล้ว เมื่อเห็นร่างของเย่เทียนปรากฏ ก็รีบโบกมือให้เขา

“ตอนนี้ฉันมาแล้ว นายมีอะไรก็พูดมาเถอะ”

เขาสั่งกาแฟบลูเมาท์เทนกับบริกรที่เข้ามาต้อนรับ เย่เทียนนั่งลงตุ้บตรงข้ามเจิ้วเหวยหวา

“น้องเย่ ผมรู้ว่าหลังจากเกิดเรื่องเมื่อคืน คุณต้องไม่ยอมรามือง่ายๆแน่”

“ผมรู้ว่าคุณไม่ใช่คนธรรมดา ผมจึงไม่กล้าขอให้คุณไม่เอาคืน แต่ไม่ว่ายังไงนั่นก็พี่ใหญ่ของผม ผมหวังว่าคุณจะไว้ชีวิตเขา!”

“ในนี้คือเรื่องผิดกฎหมายที่พี่ใหญ่ผมได้ทำในหลายปีมานี้ พอให้เขาใช้ชีวิตที่เหลือในคุกแล้ว”

เจิ้งเหวยหวาสีหน้าขมขื่น หยิบแฟ้มเอกสารสีเหลืองจากกระเป๋าหนังและยื่นให้

เย่เทียนผงะในบัดดล คิดไม่ถึงเลยว่าเจิ้วเหวยหวาจะมาไม้นี้ เกินความคาดหมายของเขาไปอย่างสิ้นเชิง!

เย่เทียนรู้ตัวดีว่าตัวเองไม่ใช่คนใจกว้าง และถ้าไม่ใช่ว่าเจิ้งเหวยหวาเป็นฝ่ายโทรมาก่อน เขาเตรียมตัวจะไปหาเจิ้งเหวยกั๋วแล้ว

ยังไงซะเขาก็ไม่มีทางไปอาละวาดที่พรรคชิงเฉิง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่เก็บดอกเบี้ยจากลิ่วล้อของพรรคชิงเฉิง

เมื่อคืนถ้าไม่ใช่เพราะเจิ้งเหวยกั๋วพาเหลยเฉิงยุ่นและไต้หงเล่อมา เขาจะโดนพิษลึกลับนั้นเข้าได้ยังไง แล้วจะล่วงเกินเซ่เจียด้วยอุบัติเหตุได้ยังไง และยิ่งไม่มีทางบรรลุถึงระดับฝึกพลังชั้นเจ็ด

คิดมาถึงตรงนี้ เย่เทียนค้นพบด้วยความตะลึงว่าหากนับดูดีๆ ตัวเองน่าจะต้องขอบคุณเจิ้งเหวยกั๋วงามๆด้วยซ้ำ

ความคิดบ้าบอนี้ทำให้เย่เทียนนึกเซ็ง รีบสลัดความคิดฟุ้งซ่านในหัวออกไป และรับแฟ้มเอกสารสีเหลืองดูด้วยสีหน้าประหลาด

อย่างที่เจิ้งเหวยหวาว่า แฟ้มนี้เต็มไปด้วยข้อมูลอาชญกรรมที่เจิ้งเหวยกั๋วก่อไว้ ให้เขารับโทษจำคุกหลายสิบปีได้ไม่มีปัญหา

แต่เย่เทียนกลับค้นพบด้วยความละเอียดอ่อนว่าในแฟ้มเอกสารนี้ เรื่องต่ำทรามทั้งหลายของเจิ้งเหวยกั๋วส่วนใหญ่ไม่ลามทุ่งไปถึงบริษัทแซ่เจิ้ง ต่อให้เปิดเผยสู่สาธารณชนบริษัทแซ่เจิ้งอาจจะได้รับผลกระทบนิดหน่อย แต่ไม่ถึงขั้นล้มจนลุกไม่ได้

คิดมาถึงตรงนี้ เย่เทียนมองเจิ้งเหวยหวาด้วยสายตาเปี่ยมความหมาย เจ้านี่สมกับเป็นบุคลากรที่ขับเคลื่อนเรือธุรกิจยักษ์ได้ เจ้าเล่ห์เพทุบายจริงๆ!

“เอกสารนี้นอกจากจะทำให้ฉันเลิกตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับนายแล้ว ยังช่วยให้นายได้คุมบังเหียนบริษัทแซ่เจิ้งเพียงลำพังอีกด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวแบบนี้ วางแผนมาไม่เลวเลยนะ!”

เย่เทียนเก็บเอกสารเข้าแฟ้มแล้วโยนลงโต๊ะ พิงโซฟาด้วยท่าทีเกียจคร้านพร้อมกล่าวด้วยรอยยิ้มจางๆ “แต่ทำไมฉันต้องทำแบบนั้นล่ะ?”

“คุณชายเย่ อย่าเข้าใจผิดนะครับ ความตั้งใจเดิมของผมแค่หวังว่าคุณจะไว้ชีวิตพี่ใหญ่ของผม”

เจิ้งเหวยหวายิ้มน้อยๆ พูดเสียงดังฟังชัด “แน่นอน ผมรับประกันว่าแต่นี้ต่อไปบริษัทแซ่เจิ้งจะเป็นพันธมิตรที่ซื่อสัตย์ต่อคุณที่สุด!”

ราวกับต้องการแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจ เจิ้งเหวยหวาเปลี่ยนยันคำเรียกขาน

“เชื่อว่านายน่าจะรู้ว่าพรรคชิงเฉิงอยู่เบื้องหลังพี่ใหญ่ของนายใช่มั้ย?”

ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เย่เทียนถึงถามเสียงเข้ม “ฉันอยากรู้มากจริงๆ เหตุผลอะไรที่นายยอมเดิมพันกับฉัน?”

“สายตาที่ผมดูคน!”

เจิ้งเหวยหวายิ้มเขินๆ ยื่นมือมาชี้ตาตัวเองและพูดเสียงก้อง “ที่ผมมีฐานะอย่างทุกวันนี้ได้ ก็พึ่งตาคู่นี้ของผมนี่แหละ!”