“ เจ้าเป็นผีรึ ? ”

จวินโม่เซี่ยไม่มีวี่แววที่จะผ่อนปรณ และเพ่งมองไปที่นางด้วยความดุร้ายขณะที่ถามอีกครั้ง

“ เจ้าชื่ออะไร ? ”

“ ข้า … ข้า … ข้ามีนามว่า ฮั่นหยาน …เมิง … ข้านั้นทรงอำนาจ … อย่าได้กล้ามาโจมตีข้า … ”

ดูเหมือนว่าหญิงสาวนั้นจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัวเนื่องจาก มันปรากฏออกมาได้ชัดเจนจากสีหน้าที่เคยเปล่งปลั่งของนางกลับกลายเป็นซีดเผือก

ตั้งแต่เกิด นางได้รับการปฏิบัติอย่างสุภาพเสมอไม่ว่านางจะไปที่ใด นางไม่เคยโดนคุกคามมาก่อนในชีวิต

ชายผู้นี้เป็นลูกผสมระหว่าง ความชั่วร้าย และ ความอันธพาล !

ดังนั้นมันจึงเป็นนิสัยของหญิงสาวที่จะต้องตกใจอย่างมากในตอนนี้ !

เห็นได้ชัดว่านางไม่เคยคิดว่าการลอบออกมาจากหอมณีวิจิตรในเวลาว่างนั้นจะทำให้นางต้องมาประสบกับ อสูรเช่นนี้ ! หัวใจของหญิงสาวเต้นรัวราวกับกลอง และความคิดถึงอันตรายมากมายที่อาจจะเกิดขึ้น นั้นอัดเน้นอยู่ในสมองของนาง น่างเริ่มตัวสั้นมากขึ้น และกลัวมากขึ้น …

“ ฮั่นหยานเมิง ? ”

จวินโม่เซี่ยตกตะลึงจนพูดไม่ออก

“ เจ้าเด็กผู้นี้มาจากสกุลในเมืองพายุหิมะใช่ไหม ? และเจ้ามาจากสกุลของฮั่นหยานเย่า ? ”

“ นาง .. นายคือพี่สาวของข้า .. อย่าได้กล้ามาโจมตีข้า พี่สาวข้ารักข้าที่สุด และนางก็ทรงอำนาจอย่างน่ากลัว … ”

ฮั่นหยานเมิงขู่ด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทา และดูเหมือนว่านางพยายามป้องกันไม่ให้ตัวเองโดนโจมตี …

จวินโม่เซี่ยตกตะลึงจนพูดไม่ออกในจุดนี้

ดั้งนั้น นี่คือหญิงของมูซื่อท้งผู้น่าหวาดกลัว ? นางคือคนที่เขาเรียกว่าองค์หญิงน้อยแห่งเมืองพายุหิมะขาว ? นั่นทำให้นางเป็นน้องสะใภ้ของน้าสามของข้า !

ดังนั้นหมายความว่า วันหนึ่งนางจะต้องมาเป็นพี่ของข้า … ฆ่าข้าเถอะ !

“ นี่คือสุนัขของเจ้าหรือ ? ”

จวินโม่เซี่ยชี้ไปยังเซี่ยวเฟิงวูที่มีท่าทางทุกข์ทรมาณขณะที่เขาถาม

“ ไม่ ไม่ ไม่ ”

ฮั่นหยานเมิงโบกมืออย่างประหม่า

“ ไม่ เขามิใช้สุนัขของข้า … ”

ฮั่นหยางเมิงยังไม่ทันพูดจบ ในตอนที่นายน้อยจวินขัดจังหวะนาง

“ เจ้าไม่เคยสั่งสอนเขาเลยหรือ เขามิใช่เพียงแค่หมา แต่เขาเป็นหมาป่า ! ”

หญิงสาวโบกมืออย่างรวดเร็วเพื่อปฏเสธ

“ เขามิใช่หมาป่าว … เขาเป็นคน เขาคือพี่ของข้า มีสกุลว่าเซี่ยว และเขา …. ”

“ เขาเป็นคน ? เข้าไม่คิดอย่างนั้น ! เขาเป็นสุนัข ! ”

จวินโม่เซี่ยขัดจังหวะหญิงสาวอีกครั้งขณะที่เขาเช็ดมือและเอาเลือดของเซี่ยวเฟิงวูออก

“ ข้าบอกว่าเขาเป็นสุนัข ก็หมายความว่าเขาเป็นสุนัข ! หมาป่าที่ไม่ได้รับการสั่งสอน ! เจ้าเข้าใจไหม ? ”

“ ไม่ เขา เขา เขามิใช่สุนัขจริงๆ เขา …. ”

หญิงสาวนั้นถูกสกุลตามใจมาโดดยตลอด และไม่เคยพบผู้ใดที่โหดร้ายเช่นนี้มาก่อนในชีวิต ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่านางไม่รู้ว่าจะต้องรับมือกับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไร ทันใดนนั้นก็มีความคิดผุดขึ้นมาใสหัวของนาง

“ เจ้า เจ้า ดู เขา เขา เขา เข้าไม่มีหาง … สุนัขนั้นมีหาง ดังนั้นหมายความว่าเขานั้นคือคน … ”

จวินโม่เซี่ยต้องประหลาดใจอีกครั้ง ลังเลอยู่ชั่วครู่ และหัวเราะลั่น และพูดออกมาอย่างสุขุม

“ เจ้ายังไม่รู้ว่าตอนนี้ หางของเขาถูกตัดออกไปแล้ว พวกเขาจะทำให้เขาดูเหมือนคนมากกว่าหมายังไงละ ! ”

เขาต้องการจะใช้คำว่า จ้องดูสิ แต่ก็ตัดสินใจจะไม่ใช้ และทันใดนนั้นก็ค้นพบบางอย่างที่แปลกประหลาดเกี่ยวกับคน

ข้าโจมตีเขาอย่างรุนแรง แต่เขาก็ยังหายใจอยู่ … หน้าอกของเขายังคงกระเพื่อม แม้แต่นิ้วของเขายังเคลื่อนไหว และดูเหมือนว่าเขาจะตื่นขึ้นมาได้ตลอดเวลา …

จวินโม่เซี่ยจึงคิดใหม่คิดครั้ง

การเพาะปลูกของเขานั้นมีขีดจำกัดมาก จึงไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะสามารถอดทนต่อการโจมตที่รุนแรงเช่นนี้ได้ เกิดอะไรขึ้นกันนี่ ? ต้องมีอะไรบางอย่างที่แปลกประหลาดอยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้ !

เขามัดผ้าที่เอว ก้าวตรงไป ยืนอยู่ตรงหน้าของเซี่ยวเฟิงวู และเริ่มยืดตัวขึ้นพร้อมกับหน้าที่บึ่งตึง จากนั้นเขาหัวเราออกมาดังลั่น จากนั้นก็ฉีกเสื้อตรงหน้าอกออกเพื่อเผยให้เห็น เกราะอ่อน ที่มันเป็นเงาสีเงิน ที่เซี่ยวเฟิงวูใส่ไว้ที่หน้าอก จวินโม่เซี่ยคว้าเกราะนั้นไว้ด้วยมือ และออกแรงเล้กน้อยเพื่อเปิดมันออก แต่เกราะนั้นยังคงไม่ขยับขเยื้อน !

เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ !

จวินโม่เซี่ยวางตัวชายผู้นั้นคลอย่างรวดเร็ว และปลดเกราะอ่อนออกจากร่างของเขา เขาคว้ากระบี่ซึ่งวางอยู่บนพื้นขึ้นมา และแทงเกราะนั้นด้วยปลายกระบี่ แม้ว่ากระเกราะจะอ่อนอย่างมาก มันก็ยังสามารถป้องกันการเจาะของปลายกระบี่ได้ และแม้ว่าจะไม่ได้แทงโดยใช้แรงมาก เกราะก็ไม่มีร่องรอยเลยสักนิด

นี่จึงเป็นเหตุผลเดียวที่เซี่ยวเฟิงวูสามารถรอดจากการโจมตีนี้ไปได้เนื่องจากเขาสวมเกราะนี้เอาไว้ เซี่ยวเฟิงวูนอนสิ้นสติอยู่บนพื้น และไม่รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ อย่างไรก็ตามจวินโม่เซี่ยก็ได้เข้าใจว่า แม้ว่าเขาจะโจมตีคนผู้นี้จนสิ้นสติแต่ก็ไม่สามารถที่จะสังหารชายผู้นี้ได้ตราบใดที่เขายังคงสวมเกราะนี้อยู่ !

ฮั่นหยานเมิงต้องการที่จะเข้ามาช่วยเพื่อนของเขา แต่ก็กลัวถึงความแข็งแกร่งของจวินโม่เซี่ย และกลัวว่าเขาจะตบหน้านางจนทำให้นางต้องลอยออกไป ดังนั้นนางจึงนั่งยองๆ เอามือปิดหน้า และร้องได้ออกมา

“ อะไรกัน ? ”

จวินโม่เซี่ยถามฮั่นหยานเมิง

เด็กนรกอะไรกัน ข้าละอย่างรู้จริงๆ

“ เกราะไหมหิมะ ”

ฮั่นหยานเมิงพูดพร้อมกับเปลือกตาที่สั่นเทา และเริ่มเพ่งมองไปที่เขาอีกครั้งพร้อมกับหัวใจที่เต็มไปด้วย

ความไม่พอใจ เขาช่างไร้ยางอาย ผิวของเขานั้นบอบบางราวกับของข้า และยังหน้าตาดีด้วย แต่เขาก็ยังไม่มียางอายเลยแม้แต่น้อย !

เขาช่างน่าอาย ! ผู้ใดสามารถคุกคามหญิงสาวเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ?

“ เกราะไหมหิมะ นี่เป็นของดี ดีมากๆ ”

จวินโม่เซี่ยมองไปยังเกราะนี้ด้วยความรักใคร่ ขณะที่เขาพลิกไปมา และจากนั้นก็ยกมันขึ้นลง

ฮั่นหยานเมิงแอบคิดอะไรบางอย่าง และพยายามที่จะปิดบังมันจากสีหน้าของนาง แต่มันไม่สามารถทำให้น้ำตาของนางหยุดไหลได้

เห็นได้ชัดว่า เกราะไหมหิมะนั้นเป็นสมบัติที่หายากในแผนดินใหญ่ แต่สามารถหาได้ทั่วไปในชนชั้นสูงของเมืองพายุหิมะ เกือบทุกคนมีเกราะเช่นนี้ นี่คือสมบัติที่มีเพียงแต่ในเมืองพายุหิมะขาว ความจริงแล้ว เมื่อพูดถึงสิ่งของล้ำค่า เกราะไหมหิมะนั้นไม่มีอะไรพิเศษสำหรับพวกเขาเนื่องจากพวกเขานั้นมีสิ่งของที่ดียิ่งกว่านี้อยู่ในคลังสมบัติ นายน้อยจวินจึงสามารถคิดและเดาได้อย่างรวดเร็วว่าชายผู้นี้อาจจะมีสมบัติล้ำค่าอย่างอีก

“ เขาเอาสมบัติล้ำค่าอะไรมาอีก ? ”

ตอนนี้จวินโม่เซี่ยไม่มองไปที่นางเลย แต่ตอนนี้สีหน้าของนางได้เปลี่ยนไปเล็กน้อย เด็กสาวนั้นไร้ประสบการณ์ในเรื่องการเจรจา และแม้ว่านางจะคิดอะไรบางอย่างได้ แต่การกระทำของนางก็ยังดึงดูดความสนใจของจวินโม่เซี่ย และเขาสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่านางมองมาที่เขาอย่างเหยียดหยาม

“ เกราะที่ดีที่สุดคือเกราะไหมเชวียน  และข้าก็มีมัน … ข้าไม่ได้ใส่มัน … ”

ฮั่นหยานเมิงตกใจเมื่อได้ว่างจวินโม่เซี่ยมองมาที่นางอย่างกระหายเลือด และหวาดกลัวในท่าทางของเขามากจนหัวใจอันไร้เดียนสาของนางเกือบจะหยุดเต้น และในที่สุดก็ตัดสินใจที่จะพูดออกไปว่านางไม่ได้ใส่มันมา

ข้าคิดว่าเจ้าคนเลวนี่จะต้องพยายามเอาเกราะของข้าได้ และอาจจะโจมตีข้า และเปลื้องผ้าข้าเพื่อเอาเกราะไหมเชวียน …

“ ไหมเชวียน ? ดีละ ฮี่ ฮี่ ฮี่ …. ”

จวินโม่เซี่ยมองไปที่นางด้วยจิดอาฆาตร และทำให้ความหวาดกลัวเกาะกุมฮั่นหยานเมิง และยกมือนางขึ้นมากลางอากาศในทันที

“ ไม่ต้องกังวล ข้ารู้ว่าเจ้าใส่เกราะไหมเชวียนอยู่ แต่ข้าจะไม่ปล้นผู้หญิง ข้าต้องปรับปรุงในเรื่องนั้น ”

จวินโม่เซี่ยเพ่งมองไปที่นางขณะที่ความทุกข์ใจเพิ่มขึ้นมาในใจนาง 

 หากข้าสามารถที่จะจัดการกับสกุลเซี่ยว และจากนั้น น้าข้าและแม่นางฮั่นหยานเย่าที่รักได้พบกัน และพวกเขาลงเอยด้วยการแต่งงาน และเจ้าเด็กนี่กลายมาเป็นพี่ของข้า !

ข้าจะต้องเรียกเขาว่าน้า ? หรือ พี่สะใภ้ ?

โอ้ว นี่ช่างวุ่นวาย ! และเกราะไหมเชวียนนั้นอยู่ต่อหน้าของข้า และข้าไม่สามารถเอามันมาได้ … ยังไม่ได้ในตอนนี้ !

จวินโม่เซี่ยยื่นมือออกไปแล้วดึงแก้มของนางมา ทำให้ความกลัวของนางเพิ่มขึ้น และจากนั้นก็หัวเราะอย่างชั่วร้ายออกมาขณะที่เขาหันหลังและรีบไป

“ แม่นางฮั่น ฮี่ ฮี่ ข้าได้ยินว่าเจ้าเรียกเขาว่าพี่ อย่าเรียกเขาว่าพี่อีก ฮ่า ฮ่า … ”

ฮั่นหยานเมิงหายใจอย่างผ่อนคลายขณะที่นางเห็นว่า ปิศาจตนนั้นจากไปในที่สุด และสุดท้ายนางจึงสงบลง นางจับหน้าอกของนาง และถอนหายใจ แต่ไม่นานนางก็ย่นคิ้วเพราะว่านางนึกถึงคำสุดท้ายที่ปิศาจนั้นพูดขึ้นมาก่อนจะจากไปได้

“ ทำไมกัน ? มันชัดเจน ไม่ใช่หรือ ? เขามาจากสกุลเซี่ยว แล้วเหตุใดข้าถึงเรียกเขาเช่นนั้นไม่ได้ ? เข้าไม่เข้าใจจริงๆ ! จากคำพูดของชายผู้นี้ เขาจะต้องเป็นประเภทที่บ้าสงครามแน่ๆ ! แต่กระนั้น ตัวตนของเขาก็ไม่ธรรมดา ! ”

ฮั่นหยานเมิงเบิกตากว้างในขณะที่นางยังคงบ่นกับตัวเองด้วยความสับสน ในที่สุดนางก็สรุป

คนบ้า ไม่คิดเหมือนคนปกติทั่วไป ! ข้าไม่เคยเห็นคนบ้าเช่นนี้มาก่อน !

ในที่สุด ลมฤดูใบไม้ร่วงเริ่มพัดขึ้นมาอีกครั้ง และเนื่องจากการบาดเจ็บของเซี่ยวเฟิงวูนั้นรุนแรงอย่างมาก จึงไม่มีวี่แววที่เขาจะตื่นขึ้นมา ปล่อยให้ฮั่นหยานเมิงผู้ไร้ประสบการณ์ยืนอยู่ตามลำพัง ในขณะที่นางยืนอยู่ตามลำพัดพร้อมกับเวลาที่ผ่านไป ความกลัวในหัวใจนางก็เริ่มเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม มีปรากฏการณ์ที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นในเวลานี้ 

 ในขณะที่ลมหนาวแห่งฤดูใบไม้ร่วงพัดมา ป่าเมเปิ้ลค่อยๆจางหายไป และเหล่าต้นไม่ค่อยๆกลายเป็นเถ้าถ่าน ดูเหมือนว่าป่านั้นไม่สามารถที่จะทนทานต่อลมหนาวได้

Translate by iHaveNoName