จักรพรรดิเทพมังกร – บทที่ 948 : ปรบมือแทนคำสัญญา!
หลิงหยุนได้ฟังคำตอบของเย่ซิงเฉินแล้วก็ถึงกับใจหายขึ้นมาทันทีและถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่เย็นชากว่าเดิม..
“ไม่ใช่งั้นรึแล้วใครกันที่กล้าจับตัวผู้หญิงของข้าไป? เจ้ารีบบอกข้ามา..”
หลิงหยุนร้องตะโกนออกไปด้วยความโมโหอย่างมากทั้งที่ตัวเขาเองก็ยังอยู่ในจิงฉู แต่กลับมีใครบางคนกล้าดีจับตัวคนของเขาไปเช่นนี้ นอกเหนือจากองค์กรนักฆ่าแล้ว หลิงหยุนเองก็ไม่รู้จริงๆว่าจะมีใครที่มีอำนาจอิทธิพลเช่นนี้อีก..
ครั้งนี้..แม้ว่าศัตรูที่แข็งแกร่ง และมีอำนาจอิทธิพลมากที่สุดในยุทธภพจะยังไม่ปรากฏตัวในเมืองจิงฉู แต่จากการประเมินของหลิงหยุน ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งเหล่านั้นน่าจะเป็นคนของตระกูลเก่าแก่ที่มีชื่อเสียง พวกเขาไม่น่าจะใช้วิธีสกปรกเช่นนี้จัดการกับตนเองเช่นนี้..
แต่ยังไม่ทันที่หลิงหยุนจะพูดจบประโยคดีด้วยซ้ำไปเขาก็สังเกตเห็นรอยยิ้มในดวงตาของเย่ซิงเฉิน แววตาของนางกำลังจ้องมองเขาอย่างนึกขัน..
“เป็นเจ้างั้นรึ!”
เย่ซิงเฉินหัวเราะคิกคักพร้อมกับยกถ้วยชาขึ้นจิบแล้วร้องถามเสียงสูง “เจ้าเห็นกับตารึว่าข้าจับตัวพวกนางไป”
ปัง!
ครั้งนี้หลิงหยุนเป็นฝ่ายตบโต๊ะหินเสียงดัง..และความแรงนั้นก็ทำให้ทั้งถาดน้ำชา กาน้ำชา ถ้วยน้ำชา และไข่มุกราตรีกระดอนขึ้นสูงถึงหนึ่งเมตร แต่หลิงหยุนก็ไม่ลืมที่จะใช้มือรับไข่มุกราตรีที่กำลังตกลงมา และกำมันไว้ในมือแน่น
จังหวะนี้หลิงหยุนผลุดลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าเขียวคล้ำไปด้วยความโกรธพร้อมกับร้องตะโกนออกมาเสียงดัง
“”
“พวกนางไม่ใช่ศัตรูของเจ้าเหตุใดเจ้าต้องจับตัวพวกนางไปด้วย และเหตุใดเจ้าจึงต้องบีบบังคับให้ข้าต้องสู้กับเจ้าด้วย?”
เวลานี้พลังปราณในตัวของหลิงหยุนได้ฟื้นกลับคืนมาถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์แล้วและหากครั้งนี้เย่ซิงเฉินไม่มีเหตุผลที่น่าพอใจให้กับเขา หลิงหยุนก็ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะต้องจัดการกับนางอย่างแน่นอน!
เพราะหากปล่อยให้เย่ซิงเฉินหายตัวไปอีกครั้งเขาก็คงจะไม่มีโอกาสได้รู้ว่าหลินเมิ่งหานกับเหยาลู่ถูกนำตัวไปไว้ที่ใดกันแน่
ทันทีที่หลิงหยุนกำไข่มุกราตรีไว้ในมือบรรยากาศรอบๆ ก็มืดมิดลงทันที!
แต่เย่ซิงเฉินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามหลิงหยุนนั้นก็เอาแต่หัวเราะเสียงดังพร้อมกับจ้องมองหลิงหยุนอย่างสนอกสนใจ..
“อะไรกันเพียงแค่ได้ยินว่าผู้หญิงของเจ้าอยู่ในกำมือข้า เจ้าถึงกับมีอาการเช่นนี้เชียวรึ?”
“เจ้าเป็นคนเสนอให้ข้ามาเจรจากับเจ้าเองไม่ใช่รึหรือเจ้าไม่ต้องการที่จะเจรจากับข้าแล้ว?”
ทันทีที่ได้ฟังคำเตือนสติของเย่ซิงเฉินหลิงหยุนก็คลายกำปั้นในมือออกทันที แต่สีหน้าของเขานั้นยังคงเย็นชา และน้ำเสียงก็ยังคงเย็นยะเยือกเช่นเดิม
“บอกเงื่อนไขของเจ้ามา!”
แม้เย่ซิงเฉินจะยังไม่เอ่ยอะไรออกมาแต่การที่นางจับตัวคนไปเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องมีข้อเรียกร้อง คงจะมีแต่คนโง่เท่านั้นที่คิดไม่ได้..
ตั้งแต่เริ่มต้นการเจรจานั้นหลิงหยุนคิดเสมอว่าการเจรจากับเย่ซิงเฉินในครั้งนี้ เขาเป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่า และดูเหมือนจะเป็นฝ่ายควบคุมสถานการณ์ แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเย่ซิงเฉินเป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่าแทน..
เย่ซิงเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงได้ยิ้มออกมาและพูดขึ้นว่า “เหตุใดเจ้าต้องรีบร้อนนักเล่า นั่งลง.. แล้วค่อยๆพูดจากันจะดีกว่า ข้ายังไม่รีบร้อนที่จะจากไปนัก!”
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า‘เจ้าจับผู้หญิงของข้าไปถึงสองคน และเวลานี้ก็ทำให้ข้าโกรธมากถึงเพียงนี้ อย่าคิดว่าเจ้าจะไปจากที่นี่ได้ง่ายๆเลย!’
แม้ว่าจะรู้สึกโกรธเย่ซิงเฉินแต่หลิงหยุนก็ต้องยอมรับว่าอย่างน้อยการที่หลินเมิ่งหานกับเหยาลู่ตกอยู่ในมือของนาง ก็ยังดีกว่าที่จะตกอยู่ในมือของซือกงวู่จี๋ เพราะเขายังสามารถมั่นใจได้ว่าพวกนางจะยังคงปลอดภัย..
เมื่อคิดได้เช่นนี้..หลิงหยุนจึงรีบนั่งกลับลงไปบนม้าหินทันที!
“เจ้าอย่าได้กังวลใจไป..พวกนางยังคงปลอดภัยดี!”
เมื่อเห็นหลิงหยุนนั่งลงแล้วเย่ซิงเฉินจึงร้องบอกให้เขาสบายใจ..
“หึ..ถ้าพวกนางเป็นอะไรแม้แต่ปลายเล็บ ข้าจะถล่มพรรคมารให้ราบคาบ!” หลิงหยุนถอนหายใจพร้อมกับร้องออกมาอย่างโมโห..
แต่นั่นยังไม่ทำให้เขาหายโมโหได้จึงร้องตะโกนขู่ต่อ “พ่อของหลินเมิ่งหานเป็นถึงผู้บัญชาการของกองทัพ หากให้เข้ารู้เรื่องที่ลูกสาวถูกเจ้าจับตัวไป คงไม่ต้องถึงมือข้า พ่อของนางคงจะส่งกองกำลังไปถล่มพรรคมารของเจ้าแน่!”
หลังจากพูดออกไปแล้วหลิงหยุนจึงค่อยรู้สึกใจเบา และหายโมโหขึ้นมาบ้าง..
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเย่ซิงเฉินไม่เพียงไม่สะทกสะท้านแต่กลับแสร้งทำเป็นยกมือขึ้นทาบอก และทำเป็นกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัว
“น่ากลัว..น่ากลัวมากจริงๆ! ข้ากลัวแล้ว..”
หลิงหยุนได้แต่ชายตามองท่าทางยั่วโมโหของเย่ซิงเฉินแต่ก็ได้แต่แอบคิดว่าอากัปกิริยาของนางในเวลานี้ หากชายใดได้พบเห็นเขา เลือดในกายคงต้องสูบฉีดอย่างแน่นอน!
ช่างงดงามและมีเสน่ห์เหลือเกิน!
หลิงหยุนรีบถอนสายตาและเหลือบมองปลายจมูกของตนเอง พร้อมกับทำสมาธิสงบจิตสงบใจควบคุมอารมณ์ที่ลุกเป็นไฟของตนเอง..
หลังจากนั้น..หลิงหยุนจึงเงยหน้าขึ้นมองเย่ซิงเฉินพร้อมกับพูดขึ้นว่า “บอกข้ามา.. เหตุใดเจ้าต้องจับตัวพวกนางไปด้วย คิดเอาพวกนางมาข่มขู่ข้างั้นรึ?”
เย่ซิงเฉินได้แต่นึกชมเชยหลิงหยุนอยู่ในใจที่สามารถหลุดพ้นจากเสน่ห์ที่นางจงใจหว่านให้ และสามารถกลับสู่สภาพปกติได้ในเวลาอันรวดเร็ว จึงตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก
“ก็ไม่มีอะไรมาก..ข้าต้องการความร่วมมือจากเจ้า!”
หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออกและได้แต่คิดว่า ‘เจ้าจับตัวผู้หญิงของข้าไป เพื่อบีบให้ข้าร่วมมือกับเจ้านี่นะ! เย่ซิงเฉิน.. เจ้าสมกับเป็นธิดาพรรคมารผู้ฉลาดล้ำลึกนัก!’
‘มารน้อยผู้นี้ช่างเดาใจได้ยากจริงๆ!’
“ข้าไม่ยอมทำงานให้กับพรรคมารหรือองค์กรนักฆ่าของเจ้าแน่! เจ้าอย่าได้ฝันไปเลย..” หลิงหยุนร้องบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
เย่ซิงเฉินหัวเราะคิกคักแล้วตอบกลับไปว่า “เจ้าอย่ารีบร้อนปฏิเสธนัก! ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าทำงานให้กับพรรคมาร หรือองค์กรนักฆ่า แต่ข้ากำลังขอให้เจ้าร่วมมือกับข้าเพียงคนเดียว เพื่อทำภารกิจบางอย่างให้สำเร็จ!”
หลิงหยุนได้ฟังจึงร้องถามเย่ซิงเฉินอย่างรู้ทัน“ธิดาพรรคมาร.. ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีทั้งสำนักต่างๆ ตระกูลเก่าแก่ แล้วยังมีพรรคมาร และองค์กรนักฆ่าหนุนหลังอยู่ ไม่มีเหตุผลที่เจ้าจะยังต้องการความช่วยเหลือจากข้า!”
ระหว่างที่พูดนั้นหลิงหยุนก็ได้เปิดจิตหยั่งรู้ของตนเองพร้อมกับจ้องลึกลงไปใสดวงตาคู่งามของเย่ซิงเฉิน แต่เขาก็ไม่พบพิรุธ หรือความผิดปกติใดๆในสายตาคู่นั้นเลย จึงได้แต่นึกประหลาดใจอยู่เงียบๆ
‘หรือว่าธิดาพรรคมารจะมีปัญหาส่วนตัวงั้นรึ’
เย่ซิงเฉินร้องถามออกมาอย่างร้อนใจ“สรุปว่าเจ้าต้องการจะร่วมมือกับข้าหรือไม่”
ครั้งนี้หลิงหยุนเป็นฝ่ายอึดอัดแต่ก็ตอบกลับไปยิ้มๆ “เจ้าต้องตอบก่อนว่าเจ้าต้องการจะให้ข้าร่วมมือกับเจ้าทำสิ่งใดกันแน่ และข้าต้องทำอะไรบ้าง? อ่อ.. แล้วก็ระยะเวลาที่เราจะร่วมมือกันด้วย!”
หลิงหยุนร้องบอกในสิ่งที่เขาคาดเดาต่อ..“คงจะเกี่ยวกับเรื่องงานชุมนุมชาวยุทธที่เขาหลงหู่สินะ”
และนั่นคือเหตุผลเดียวที่หลิงหยุนคิดได้ในเวลานี้เพราะผู้คนต่างก็ร่ำลือกันว่าในงานชุมนุมชาวยุทธครั้งนี้ เป็นการประกาศสงครามระหว่างผู้ที่เรียกตนเองว่าฝ่ายธรรมะกับพรรคมาร ธิดาพรรคมารเองก็เพิ่งจะได้รับการแต่งตั้ง อาจจะไม่มั่นใจว่าตนเองว่าจะสามารถรับมือเหล่าชาวยุทธได้ จึงต้องการความช่วยเหลือจากตนเอง..
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเย่ซิงเฉินนั้นจะตอบกลับมาด้วยท่าทางและน้ำเสียงที่แสดงออกว่าไม่ยี่หระกับงานชุมนุมครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย
“งานชุมนุมชาวยุทธงั้นรึในพรรคมารไม่ได้มีข้าเพียงคนเดียว เมื่อถึงเวลานั้นก็จะมีคนจัดการกับพวกหน้าซื่อใจคดแสร้งทำเป็นคนดีเหล่านั้นแทนข้าเอง ส่วนยายเฒ่าอย่างข้า.. หากอยากจะไปก็ไป แต่หากไม่อยากไปก็ไม่ไป!”
จากคำพูดของเย่ซิงเฉินทำให้หลิงหยุนรู้ว่านางไม่เห็นงานชุมนุมชาวยุทธอยู่ในสายตาเลยแม้แต่น้อย..
จากนั้นเย่ซิงเฉินก็พูดต่อว่า“ข้าต้องการให้เจ้าช่วยข้าสังหารคนผู้หนึ่ง.. เจ้าบอกข้ามาว่าข้าจะสามารถติดต่อเจ้าได้อย่างไร เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะเป็นฝ่ายติดต่อเจ้าไปเอง และหลังจากสังหารคนผู้นั้นแล้ว ความร่วมมือระหว่างข้ากับเจ้าเป็นอันว่าสิ้นสุด!”
คิ้วรูปดาบของหลิงหยนุขมวดเข้าหากันเล็กน้อยในขณะที่ถามขึ้นว่า“ง่ายๆ เพียงนี้จริงรึ”
เย่ซิงเฉินพยักหน้า“ถูกต้อง.. ง่ายๆเพียงเท่านี้!”
แต่จู่ๆหลิงหยุนก็ส่ายหน้ายิ้มๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าไม่เชื่อว่าในยุทธภพนี้จะมีผู้ใดที่แม่นางเย่ซึ่งมีวรยุทธสูงส่งเช่นนี้ จะไม่สามารถลงมือสังหารได้!”novel-lucky
เย่ซิงเฉินตอบเสียงเรียบ“เหนือฟ้ายังมีฟ้าไม่ใช่รึ”
หลิงหยุนมีท่าทางอึดอัดใจในขณะที่ถามออกไป“เป็นความแค้นส่วนตัวของแม่นางเย่งั้นรึ”
เย่ซิงเฉินตอบกลับด้วยท่าทางและน้ำเสียงที่จริงจังกว่าเดิม “ไม่ใช่ความแค้นส่วนตัวของข้า.. แต่เป็นความแค้นของผู้อี่น!”
แววตาของหลิงหยุนเป็นประกายขึ้นมาขณะที่จ้องมองเย่ซิงเฉินเนิ่นนานแต่จู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า
“ตราบใดที่คนที่จะเจ้าจะสังหารไม่เกี่ยวข้องอะไรกับข้าข้ารับปากว่าจะร่วมมือกับเจ้า!”
ท่ามกลางค่ำคืนที่มืดมิดดวงตาคู่งามของเย่ซิงเฉินเป็นประกายระยิบระยับดั่งดวงดาว นางจ้องมองใบหน้าของหลิงหยุนเนิ่นนาน และในใจก็กำลังคิดว่า
‘หากเจ้าเป็นบุตรชายของท่านอาจารย์จริงๆทุกคนที่ข้าจะสังหาร ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าอย่างแน่นอน!”
แต่น่าเสียดายที่ข้อมูลซึ่งเย่ซิงเฉินได้มาในตอนนี้ทำให้นางเองก็ยังไม่แน่ใจ!
เย่ซิงเฉินลุกขึ้นยืนพร้อมกับโน้มตัวไปข้างหน้าและวางฝ่ามือข้างหนึ่งไว้บนโต๊ะเห็น ส่วนอีกข้างยื่นออกไปด้านหน้า แล้วพูดกับหลิงหยุนว่า
“ถ้าเช่นนั้นเราสองคนมาปรบมือเป็นการสัญญา..”
หลิงหยุนเองก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาเช่นกัน..
ปัง..ปัง.. ปัง..
ทั้งสองคนต่างก็ยื่นฝ่ามือออกไปฟาดใส่กันเบาๆแทนคำสัญญาถึงสามครั้ง..
“ฝ่ามือของเจ้าช่างงดงามและมีกลิ่นหอมยิ่งนัก”
ทันทีที่ถอนฝ่ามืออกหลิงหยุนก็จงใจยกฝ่ามือข้างนั้นขึ้นสูดดมกลิ่นหอมถึงสองสามครั้ง..
เย่ซิงเฉินคิดไม่ถึงว่าการเจรจาขอความร่วมมือกับหลิงหยุนนั้นจะง่ายดายถึงเพียงนี้นางจึงรู้สึกผ่อนคลาย และสบายใจอย่างที่สุด จึงไม่ถือสาการกระทำของหลิงหยุน แต่กลับหัวเราะคิกคักอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับพูดเสียงใส
“เจ้านี่มันร้ายกาจริงๆ!”
หลิงหยุนเองก็นั่งลงเช่นกันเวลานี้เขารับปากที่จะร่วมมือกับเย่ซิงเฉินแล้ว และสำหรับเย่ซิงเฉิน.. การเจรจาของนางจึงจบสิ้นแต่เพียงเท่านี้!
แต่สำหรับหลิงหยุน..มันยังไม่สิ้นสุด!
คนอย่าง‘พี่หลิงหยุน’ นั้นไม่เคยยอมเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่แล้ว และเวลานี้เขาเองก็ยังไม่ได้พูดถึงเงื่อนไขของตนเองเลย มีหรือที่จะยอมจากไปอย่างง่ายดาย
“เอาล่ะ..ในเมื่อพวกเราตกลงร่วมงานกันแล้ว เจ้าบอกข้ามาว่าพวกนางอยู่ที่ใหน”
เย่ซิงเฉินตอบกลับทันที“หุบเขาแห่งหนึ่งแถบชานเมืองด้านตะวันตกของจิงฉู เจ้าไม่ต้องห่วงเรื่องความเป็นอยู่ของนาง..
หลิงหยุนถามต่อทันที“เจ้าทำร้ายพวกนางหรือไม่”
การตกลงร่วมงานกันไม่ได้หมายความว่าทั้งสองฝ่ายจะต้องเป็นมิตรกันไม่ใช่รึไม่เช่นนั้นทั้งคู่คงไม่ต้องหยั่งเชิงกันไปมาเช่นนี้ อีกอย่างหลิงหยุนยังคงขุ่นเคืองใจที่เย่ซิงเฉินจับตัวผู้หญิงของตนเองไปถึงสามคน เรื่องนี้เขาต้องเอาคืนอย่างแน่นอน..
เย่ซิงเฉินตอบกลับยิ้มๆ“ไม่มีเหตุผลอะไรที่ข้าจะต้องทำร้ายพวกนาง!”
หลิงหยุนถามต่อด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก“แล้วเจ้าจะปล่อยตัวพวกนางกลับเมื่อใด”
“เอิ่ม..ข้าว่าควรจะรอให้เจ้าสะสางปัญหาในจิงฉูให้เรียบร้อยก่อน..”