บทที่ 474 ที่พึ่งสุดท้ายของเจิ้งเหวยกั๋ว

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

“เจิ้งเหวยกั๋ว ดูเหมือนว่าหน่วยรักษาความปลอดภัยของบริษัทคุณก็ไม่เท่าไหร่นะ!”

“ตอนนี้คุณยังมีปัญญาอะไรมาห้ามผมอีก?!”

หลังจากจัดการกับเหล่า รปภ. ของบริษัทแช่เจิ้งอย่างง่ายดายแล้ว เย่เทียนก็เหลือบตามองไปที่เจิ้งเหวยกั๋วซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าลิฟต์ด้วยสีหน้าขบขัน

“เย่เทียน เอ็งอย่าได้ใจให้มากไป!”

“เอ็งติดพิษในร่างกาย คงอยู่ได้ไม่นานแล้ว ก็เลยตั้งใจมาขอความช่วยเหลือกับข้าใช่ไหม?!”

เจิ้งเหวยกั๋วสีหน้าหม่นหมอง ดวงตาที่จ้องมองเย่เทียนก็เหมือนไฟที่กำลังลุกไหม้ ถ้าหากสายตาสามารถฆ่าคนได้ เกรงว่าเย่เทียนคงถูกหั่นเป็นชิ้นๆ ไปแล้ว

“เจิ้งเหวยกั๋ว คุณคงไม่ได้ซื่อบื้อจนคิดว่าผมมาที่นี่เพื่อขอยาแก้พิษกับคุณนะ?”

ในขณะนี้ เย่เทียนที่ได้ยินคำพูดของเจิ้งเหวยกั๋วก็โกรธขึ้นมา

ภาพในเมื่อคืนยังคงติดตาเขาอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้หมอนี่พาเหลยเฉิงยุ่นกับไต้หงเล่อของพรรคชิงเฉิงไปหาเขาดูถูกเซ่เจียอย่างไร้สติสัมปชัญญะได้อย่างไร?!

“หรือ หรือว่า……”

เจิ้งเหวยกั๋วถึงกับตกใจและแววตาก็ค่อยๆ กลายเป็นความหวาดกลัว “เอ็งถอนพิษได้แล้ว?”

“ถ้าไม่อย่างนั้นล่ะ?”

เย่เทียนยิ้มอย่างเย็นชา จากนั้นก้าวข้าม รปภ. ที่กำลังคร่ำครวญอยู่บนพื้นและค่อยๆ เดินเข้าไปหาเจิ้งเหวยกั๋ว

เมื่อได้รับคำตอบที่ชัดเจน สีหน้าของเจิ้งเหวยกั๋วก็เปลี่ยนไปอย่างมาก และเมื่อมองไปที่เย่เทียนที่กำลังเดินเข้ามาช้าๆ เขาก็กลัวจนอดไม่ได้ที่จะก้าวถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว

เพราะทักษะความสามารถของเย่เทียนนั้น อย่าว่าแต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเหล่านี้เลย แม้แต่สองคนนั้นจากพรรคชิงเฉิงที่ร่วมมือกันยังแพ้ให้กับเย่เทียนอย่างราบคาบเลย แล้วถ้าเขาต้องตกเป็นเป้าหมายของเย่เทียนล่ะ จะจบยังไง?!

แต่หลังจากที่เขาเดินถอยหลังไปเพียงก้าวเดียว เขาก็ตอบสนองได้อย่างรวดเร็วอีกครั้ง

“เอ็ง เอ็งมีอะไรก็ว่ามาสิ จะเดินเข้ามาทำไม?!”

เจิ้งเหวยกั๋วเป็นคนที่รู้จักสังคมภายนอกเป็นอย่างดีอยู่แล้ว เมื่อเห็นว่ามีคนมากมายในล็อบบี้ของบริษัท เขาเชื่อว่าเย่เทียนจะไม่ฆ่าเขาที่นี่ต่อหน้าทุกคนอย่างแน่นอน!

แต่ถ้าหากทำจริง เย่เทียนจะต้องตกอยู่ในสภาวะแห่งความพินาศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และเจิ้งเหวยกั๋วก็เชื่อว่าเย่เทียนไม่ได้โง่เขลาขนาดนั้น!

แน่นอนว่าประเด็นสำคัญที่สุดคือเขาเป็นประธานบริษัทของบริษัทแช่เจิ้ง ถ้าหากเขาแสดงความอ่อนแอให้กับเย่เทียนต่อหน้าสาธารณะ ข่าวลือเชิงลบของเขาก็จะถูกลือกันออกไป และราคาหุ้นของบริษัทแช่เจิ้งก็จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเช่นกัน

แล้วใครจะยอมให้ราคาในตลาดหลักทรัพย์ของตนเองลดลงล่ะ?

“คุณจะร้อนตัวทำไมครับ? ผมไม่ได้มาทำร้ายคุณนะ?”

“อันที่จริงคุณไม่ต้องกังวลขนาดนี้ก็ได้ ผมแค่อยากมาคุยกับคุณ แต่คุณไม่ยอมให้ผมพบ ผมก็จำเป็นต้องใช้ไม้แข็งสิ”

เย่เทียนแสดงรอยยิ้มอันเป็นมิตรออกมา ถ้าหากคนอื่นไม่ได้เห็นฝีมืออันร้ายกาจของเขาก่อนหน้านี้ พวกเขาคงคิดว่าเย่เทียนกับเจิ้งเหวยกั๋วเป็นเพื่อนสนิทกันมาก!

“คุณอยากคุยกับผมเรื่องอะไร?”

เจิ้งเหวยกั๋วขมวดคิ้วแน่นๆ ตอนนี้ไม่มีใครคอยช่วยเหลือเขาแล้ว ดังนั้น ไม่ว่าเขายินยอมที่จะคุยกับเย่เทียนหรือไม่ เขาก็จำเป็นต้องคุย!

เพราะก่อนหน้านี้เขาให้พนักงานต้อนรับของบริษัทแจ้งตำรวจไปแล้ว ขอแค่ตำรวจมาถึง เขาจำเป็นต้องกลัวเย่เทียนสักที่ไหน?!

“คุณนะคุณ ยอมให้ผมไปพบซะโดยดีก็สิ้นเรื่อง ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากขนาดนี้เลยว่าไหม?”

เย่เทียนหยุดห่างจากเจิ้งเหวยกั๋วสองเมตรและพูดด้วยอารมณ์ขบขัน “ความจริงแล้วผมคนนี้คุยง่ายนะ!”

แต่เจิ้งเหวยกั๋วจะเชื่อคำพูดของเย่เทียนได้อย่างไร เขาจึงตอบอย่างขึ้นเสียงว่า “เย่เทียน ทางที่ดีเอ็งอย่ามาแตะต้องข้านะ! ตอนนี้เป็นยุคแห่งกฎหมายแล้ว ถ้าเอ็งกล้าทำร้ายข้า เอ็งจะต้องเข้าไปอยู่ในคุกในตารางจนเข็ด!”

เย่เทียนที่ได้ยินเช่นนี้ก็แทบจะกลั้นหัวเราะไม่อยู่

เมื่อกี้เจิ้งเหวยกั๋วสั่งรปภ. มากมายมาจัดการเขาแล้วทำไมไม่พูดถึงกฎหมายบ้างล่ะ? แต่ตอนนี้หมดหนทางสู้แล้วทำไมถึงพูดถึงกฎหมายได้?!

แต่ถึงอย่างนั้น ในเมื่อพูดถึงกฎหมายแล้ว เย่เทียนผู้นี้ก็ไม่เคยกลัวใคร!

“เจิ้งเหวยกั๋ว คุณอยากเล่นกฎหมายกับผมใช่ไหม?”

“ถ้าอย่างนั้น ผมอยากถามคุณจริงๆ ครับว่า คุณยังจำได้ไหม ในช่วงเทศกาลวันไหว้บะจ่างเมื่อสิบสามปีก่อน คุณได้ทำเรื่องสกปรกอะไรไว้?”

ทันทีที่ได้ยินคำนี้ สีหน้าของเจิ้งเหวยกั๋วก็เปลี่ยนไปอย่างมาก แม้จะเป็นเรื่องเมื่อสิบสามปีก่อน แต่เขาจะลืมเหตุการณ์นั้นไปได้อย่างไร?

วันนั้นเขาไปตรวจงานเป็นการส่วนตัวที่บริษัทลูก แต่ไม่คาดคิดว่าจะเจอฝนตกหนักหลังจากกลับออกจากบริษัท และในระหว่างทางกลับเขาได้พบกับเด็กนักเรียนที่กำลังหลบฝนอยู่ใต้ต้นไม้

เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น เขาจึงหลอกสาวน้อยคนนั้นเข้าไปในรถของเขาและขับรถไปที่ที่เปลี่ยวเพื่อทำอะไรที่อุกอาจต่อสาวน้อยคนนั้น!

ต้องรู้ก่อนว่าสาวน้อยคนนั้นอายุเพียงแค่ 13 ปีเท่านั้น ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อแม่ของเด็กสาวยอมประนีประนอมกับค่าตอบแทนอันมหาศาลของเขา เขาคงต้องเข้าไปนอนในตารางตั้งนานแล้ว

แต่ถึงอย่างนั้น นี่ไม่ใช่เรื่องที่ควรภาคภูมิใจเลย ฉะนั้น นอกจากคนที่จัดการเรื่องนี้ให้กับเจิ้งเหวยกั๋ว เขาไม่เคยได้บอกเรื่องนี้ให้กับใครเลย แล้วเย่เทียนรู้ได้ยังไง?

“เย่เทียน เอ็งหมายความว่าไง? เอ็งว่าข้าทำอะไรที่สกปรกนะ?!”

“พูดจาระวังด้วย! ไม่กลัวโดนข้อหาหมิ่นประมาทเหรอ?!”

แต่ว่า นี่ไม่ใช่เวลามาคิดเรื่องนี้เลย หลังจากตื่นตระหนกไปชั่วครู่ เจิ้งเหวยกั๋วก็ตั้งสติได้และตวาดขึ้นมา

“ผมก็แค่พูดเล่นๆ คุณจำเป็นต้องตื่นเต้นขนาดนั้นเลยเหรอ?”

เย่เทียนอดขำในใจไม่ได้ คนเจ้าเล่ห์เพทุบายอย่างเจิ้งเหวยกั๋วคนนี้ เขาอุตส่าห์พูดชัดเจนขนาดนี้แล้ว แต่ยังแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

และในขณะนี้ เสียงไซเรนดังขึ้น รถตำรวจสองคันได้ขับเข้ามาจอดอยู่ตรงหน้าประตูของบริษัทแช่เจิ้ง

จากนั้นตำรวจหลายนายก้าวลงจากรถตำรวจและเป้าหมายก็คือด้านในล็อบบี้ของบริษัท

“ทำอะไร? ทำอะไรกัน? มามุมดูอะไรกัน? สร้างปัญหาอยู่ใช่ไหม?!”

หนึ่งในหมู่ตำรวจผู้ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมที่มีใบหน้าทรงเหลี่ยมเดินนำเข้ามาและตะโกนอย่างเสียงดัง

ด้วยการปรากฏตัวของเหล่าตำรวจ พนักงานของบริษัทแช่เจิ้งก็แยกย้ายกันไป และผู้ที่มาทำติดต่อธุระในบริษัทก็ถอยห่างออกไปเพราะกลัวจะถูกเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไปด้วยโดยที่ไม่จำเป็น

และเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มีใบหน้าทรงเหลี่ยมเดินเข้ามา เจิ้งเหวยกั๋วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นวิ่งเข้าไปหาเย่เทียนและชี้ไปที่เย่เทียน

“หัวหน้าหลี่ มาจนได้นะครับ!”

“ไอ้หมอนั่นมันเข้ามาทำร้ายยามรักษาความปลอดภัยของบริษัทผมอย่างไม่เลือกหน้า แถมยังก่อความวุ่นวายในบริษัทผมอย่างรุนแรงอีกด้วย ผมสงสัยว่ามันต้องมีจุดประสงค์ที่แอบแฝงอยู่แน่นอนครับ!”

“เผลอๆ อาจเป็นพวกที่เคยโทรมาแบล็กเมล์ผมในครั้งก่อนก็ได้ ผมหวังว่าหัวหน้าหลี่จะเอาตัวมันไปสอบสวนให้ละเอียดนะครับ!”

“มีจุดประสงค์ที่แอบแฝงอยู่? แบล็กเมล์?”

ตำรวจหน้าเหลี่ยมที่ถูกเรียกว่าหัวหน้าหลี่ถึงกับผงะและมองไปที่เจิ้งเหวยกั๋วด้วยท่าทางแปลกๆ

ถึงแม้นักธุรกิจชั้นนำอย่างเจิ้งเหวยกั๋วจะถูกรีดไถเงิน มันก็ไม่แปลก

แต่เรื่องการแบล็กเมล์ที่เขาเคยโทรแจ้งตำรวจนั้นมันผ่านไปนานกว่าสามปีแล้ว

ที่สำคัญ พวกโจรกลุ่มนั้นยังถูกขังอยู่ในคุกอีกด้วย แล้วเย่เทียนจะเป็นพวกเดียวกับพวกเขาได้ยังไง?

หัวหน้าหลี่ส่ายหัวอย่างจนใจและโบกมือให้กับผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา “ยืนทื่ออะไรกันอยู่? ยังไม่รีบเข้าไปจับตัวไอ้หมอนั่นอีก!”

แม้เขาจะรู้ดีว่าเย่เทียนไม่ใช่สหายของมิจฉาชีพ แต่เหล่ารปภ. ที่นอนร้องคร่ำครวญอยู่บนพื้นต้องมีสาเหตุว่าไหม?

สรุปแล้ว เป็นการถูกต้องที่จะพาตัวเย่เทียนกลับไป แต่สำหรับโทษที่จะตัดสินนั้น เมื่อพิจารณาจากสถานะทางสังคมของเจิ้งเหวยกั๋วแล้ว เขาผู้เป็นหัวหน้าตำรวจไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก!