ตอนที่ 594 อย่าแทรกแซงเลยจะดีกว่า
ในห้องเงียบสงบมาก แม้แต่เสียงลมหายใจยังได้ยินได้ชัดเจนเป็นพิเศษ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ แพรขนตาของมั่วไป๋สั่นเทา เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ภาพแรกที่เข้าตาคือใบหน้าหล่อเหลาของไป๋จิ่ง
เขาเพิ่งจะรู้สึกตัวตื่น ยังสะลึมสะลือไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา เขาอดไม่ได้ที่จะกะพริบตาปริบๆ
จนกระทั่งนาทีนั้นที่แน่ใจแล้วว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดไป๋จิ่ง นัยน์ตามั่วไป๋ฉายสะท้อนความกระวนกระวายขึ้นมาแวบหนึ่ง
จิตใต้สำนึกสั่งให้เขามองตัวเองกับไป๋จิ่ง เขาถูกไป๋จิ่งกอด มือก็ยังวางอยู่บนเอวของไป๋จิ่ง
เงยหน้าขึ้นมาก็ชนเข้ากับคางไป๋จิ่งได้
นั่นเป็นความสัมพันธ์ในรูปแบบที่สนิทชิดเชื้อกันมาก
มั่วไป๋ทำอะไรไม่ค่อยได้ อยากเอามือผลักไป๋จิ่งออก แต่ชักช้าไม่กล้ายื่นมือออกไป ยื้ออยู่อย่างนี้ ยังไม่ทันรอมั่วไป๋พูดจา จู่ๆ ไป๋จิ่งที่อยู่ข้างกายก็ขยับตัวขึ้นมา
มั่วไป๋ตกใจจนหัวใจแทบจะหยุดเต้น ไม่คิดอะไรก่อนทั้งนั้น เขาหลับตาลงทันที
หลังจากรอเขาหลับตาลงไปแล้ว มั่วไป๋ถึงค่อยก่นด่าตัวเองอย่างไร้เสียง เขาจะหลับตาลงไปเพื่ออะไร เขามีอะไรต้องกลัว
ด้านข้างขยับตัวแล้ว มั่วไป๋เองก็ไม่อยากจะลืมตาขึ้นมาในเวลานี้ ถ้าหากว่าเจอเข้ากับไป๋จิ่งพอดี กลับจะยิ่งวางตัวไม่ถูกไปมากกว่าเดิม
ไป๋จิ่งเห็นใบหน้าที่อยู่ในระยะใกล้มาก เขาอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
เขายกมุมปากขึ้น แทบอยากจะกอดเขาไว้อย่างนี้ วันแล้ววันเล่าจนกระทั่งแก่เฒ่าไปด้วยกัน
แต่ไหนแต่ไรไป๋จิ่งเมื่อตื่นก็จะลุกทันที แต่นาทีนี้เขากลับไม่อยากลุกขึ้นมา อยากแค่เพียงนอนอยู่บนเตียงมองเขาไม่ขยับไปไหน
มั่วไป๋ถูกสายตาแบบนั้นของเขาจับจ้อง อารมณ์ในใจก็สับสนซับซ้อน เป็นครั้งแรกที่พบว่าการแกล้งหลับนั้นทรมานเกินไปแล้วจริงๆ แล้วไป๋จิ่งเจ้าหมอนี่ยังไม่ลุกขึ้นอีก เอาแต่มองเขาอยู่อย่างนี้
รออยู่ตั้งนานสองนาน สายตาที่พุ่งตรงมายังใบหน้าก็ไม่เคลื่อนย้ายไปเสียที
ขณะที่มั่วไป๋รู้สึกว่าตัวเองใกล้จะทนไม่ไหวแล้ว ไป๋จิ่งก็ขยับได้สักที
มั่วไป๋ผ่อนลมหายใจโดยไม่รู้ตัว ในใจคิดว่าในที่สุดเขาก็ลุกแล้ว
แต่สายตาตรงหน้ากลับมืดลงกะทันหัน ต่อด้วยความอุ่นร้อนบนริมฝีปาก
มั่วไป๋กลั้นหายใจโดยไม่รู้ตัว คิดไม่ถึงว่าไป๋จิ่งจะฉวยโอกาสตอนที่เขานอนหลับลอบจูบเขา
สัมผัสจางๆ บนริมฝีปาก ไป๋จิ่งแตะริมฝีปากอย่างแผ่วเบา ก่อนจะถอยห่างเพิ่มระยะระหว่างคนสองคน
ทันทีหลังจากนั้นไป๋จิ่งก็ลงจากเตียงไปอย่างเบาเสียง
รออีกไม่กี่นาที ไป๋จิ่งล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ ถึงเพิ่งจะออกจากห้องไป
หลังจากไป๋จิ่งไป ในที่สุดหัวใจมั่วไป๋ที่เกร็งแน่นมาตลอดก็ผ่อนคลายลงได้ เขาลืมตาขึ้น มองดูห้องที่ว่างเปล่า ในใจมีความรู้สึกบางอย่างที่พูดไม่ออก
เขายกมือขึ้นสัมผัสที่ริมฝีปากของเขา
เหมือนบนนั้นจะยังคงเหลืออุณหภูมิของไป๋จิ่งที่ร้อนแผดเผาจนหน้าตกใจ
มั่วไป๋ปลายนิ้วสั่นเทา อดไม่ได้ที่จะเอาหัวแดงๆ ของตัวเองมุดหมอนเข้าไป
‘ทำยังไงดี’ …มั่วไป๋รู้สึกว่าตัวเองย่ำอยู่กับที่เกินไปแล้วจริงๆ หัวใจสั่นไหวอีกครั้ง เพียงเพราะไป๋จิ่งจูบเขาอย่างฉาบฉวยเหมือนแมลงปอบินระน้ำ
……
ไป๋จิ่งลงไปชั้นล่าง พบว่าลี่เจินตื่นลงมาตั้งแต่เช้าแล้ว เวลานี้ถึงได้ฟังเพลงอ่านหนังสืออยู่ชั้นล่างได้
ลี่เจินเห็นไป๋จิ่ง เธอก็ไม่ได้รู้สึกว่าลูกชายตัวเองที่เมื่อคืนจะนอนโซฟา ทำไมถึงไม่อยู่บนโซฟา แต่ลงมาจากชั้นบนแทน
เธอมองดูไป๋จิ่ง จงใจกะพริบตาปริบๆ
ไป๋จิ่งยกมือขึ้นกดที่หัว ถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้
ลี่เจินถาม “มั่วไป๋ล่ะ ยังนอนอยู่เหรอ”
ไป๋จิ่งขานรับ “ครับ ยังไม่ตื่น”
ลี่เจินตาลุกวาว กวักมือเรียกเขามา “มาๆ บอกกับแม่สิ มีความคืบหน้าอะไรไหม”
ไป๋จิ่งกุมหัว รู้สึกว่าแม่ตัวเองไม่ไปเป็นนักข่าวเสียดายแย่แล้ว
“แม่ ในฐานะเป็นผู้ใหญ่ของบ้าน เก็บอาการสักนิดนึงจะได้ไหมครับ”
ลี่เจินตบเขาเบาๆ “ไม่ต้องมาแขวะแม่เลย แม่อยากดูว่าเราสองคนไปถึงไหนกันแล้ว จะได้เริ่มแผนการต่อไป”
“แม่ แม่อย่าแทรกแซงเลยจะดีกว่าครับ”
ตอนที่ 595 ไป๋จิ่งผู้ถูกโจมตีอยู่เป็นนิจ
ลี่เจินถลึงตาใส่เขา “แม่แทรกแซงเหรอ เจ้าลูกตัวแสบ ถ้าไม่ใช่เพราะแม่ เมื่อคืนลูกจะได้นอนกอดเขาทั้งคืนเหรอ”
ไป๋จิ่งไม่อยากจะยอมรับโดยสิ้นเชิง แต่จะทำอย่างไรได้ แม่เขาพูดมาไม่ผิดเลยสักนิด ถ้าไม่ใช่เพราะแม่เขาพังเตียง ทำฮีทเตอร์ให้หยุดทำงาน เขาก็กอดมั่วไป๋นอนแบบนี้ไม่ได้จริงๆ
แต่ว่าเขาเป็นผู้ชายตัวโตคนหนึ่งที่ยังต้องให้แม่ออกมาช่วยเรื่องจีบคน คำพูดนี้ฟังดูแล้ว ตรงไหนก็ไม่ปกติ
‘ดูเหมือนว่าเขาจะใช้ไม่ได้เกินไปใช่ไหม’
“อย่าบอกแม่นะ ว่าเมื่อคืนลูกไม่ได้ฉวยโอกาสกอดมั่วไป๋ไว้” ลี่เจินทำหน้าตาสงสัยใคร่รู้ ทั้งยังรู้สึกเสียดายไม่เบาราวกับว่าเสียใจทีหลังที่เมื่อคืนไม่ได้ย่องไปแอบดู
มุมปากไป๋จิ่งกระตุกแล้วกระตุกอีก รู้สึกมาตลอดว่าสีหน้าแบบนี้ของแม่เขาไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่ ดูพิลึกๆ ยังไงชอบกล นี่มันเกิดอะไรขึ้น
“เจ้าตัวแสบ แม่ชอบมั่วไป๋มากๆ รีบตามจีบเขากลับมามให้ได้เร็วๆ หน่อยจะดีที่สุด แม่ยังรอให้เขาเรียกแม่ว่าแม่อยู่นะ”
ลี่เจินตบไป๋จิ่งเบาๆ “ได้ยินไหม”
ไป๋จิ่งรีบพยักหน้าทันที “ได้ยินแล้วครับๆ”
เขาเองก็อยากตามจีบมั่วไป๋กลับมาให้ได้ แบบนี้ต่อไปอ้อมกอดก็จะไม่ต้องว่างแล้ว
พอนึกถึงภาพที่กอดมั่วไป๋จนตื่นมาตอนเช้า ไป๋จิ่งก็อดจะให้กำลังใจตัวเองไม่ได้
ตอนนี้ไม่มีเรื่องอะไรสำคัญไปกว่าการจีบมั่วไป๋กลับมาแล้ว
ลี่เจินเห็นเขายืนเซ่ออยู่ที่เดิม เธอก็ยกเท้าถีบใส่เขาไปที “ยืนอยู่ทำไม ไปทำอาหารเช้าสิ”
ไป๋จิ่งมึนงง
ลี่เจินกวาดสายตามองเขาปราดเดียว “อะไรกัน ลูกจะง้อเมีย ยังต้องให้แม่ทำเหรอ”
เธอรู้สึกว่าลูกชายจอมซื่อบื้อของตัวเองเกินเยียวยาแล้วจริงๆ
‘เอาอกเอาใจเข้าใจไหม’ คิดถึงภาพมั่วไป๋ตื่นมาแล้วเดินตามกลิ่นหอมจนมาเจอไป๋จิ่งผู้หล่อเหลาอยู่ข้างใน
หลังจากนั้นแสงแดดก็ตกกระทบรับกับร่างกายของลูกชายเธอเองพอดี
ไป๋จิ่งรับความรู้สึกจากสายตาของมั่วไป๋ได้ เขาหันหน้ามาเล็กน้อย มองมั่วไป๋แล้วยิ้มหัวเราะเบาๆ
ลี่เจินแค่จินตนาการแบบนี้ เธอก็รู้สึกว่าหัวใจตัวเองจะละลายแล้ว
ภาพนี้ใครก็ต้านทานไม่ไหว
ลี่เจินจินตนาการอยู่ตั้งนานสองนาน กำลังอยากจะยิ้มหวาน ผลปรากฏว่าเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นไป๋จิ่งยืนอยู่ข้างๆ
ลี่เจินเดือดดาลขึ้นในพริบตาแล้ว เธอถลึงตาใส่ไป๋จิ่ง “ยังไม่รีบไปอีก ยืนอยู่ตรงนี้ทำอะไร”
ไป๋จิ่งถูกลี่เจินไล่เข้าห้องครัวไปตั้งแต่เช้าตรู่ เตรียมจะทำอาหารเช้าให้ได้ความชอบจากมั่วไป๋
มั่วไป๋นอนอืดอาดอยู่ข้างบนพักใหญ่ๆ เสียเวลาอยู่ตั้งนานกว่าจะลากตัวเองออกมาจากผ้าห่ม
เมื่อยืนอยู่หน้ากระจก มั่วไป๋เห็นตัวเองที่มีทรงผมยุ่งเหยิง เขาก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเงียบๆ
ตัวเองในสภาพแบบนี้ ไป๋จิ่งก็จูบลงไปได้
เขาล้างหน้าแปรงฟันแล้วค่อยลงไปชั้นล่าง
ที่ชั้นล่างมีกลิ่นหอมโชยมา มั่วไป๋คิดว่าลี่เจินอยู่ข้างใน จึงรีบเร่งฝีเท้าเดินเข้าไป
ใครจะคิดว่าเดินเข้าไปแล้ว จะพบว่าคนที่ยืนอยู่ข้างในไม่ใช่ลี่เจิน แต่เป็นไป๋จิ่ง
ถ้าเป็นในยามปกติ มั่วไป๋เห็นไป๋จิ่ง ในใจก็สงบนิ่งโดยธรรมชาติ
แต่นาทีนี้เมื่อมั่วไป๋พบเงาร่างของไป๋จิ่ง จิตใต้สำนึกก็สั่งให้เขาเบนสายตาหนี
เขาไม่กล้ามองไป๋จิ่ง ยามเห็นไป๋จิ่งก็จะนึกถึงภาพตอนตื่นเมื่อเช้าทันที
เรื่องที่ดูสนิทชิดเชื้อกว่านี้ก็เคยทำกับไป๋จิ่งมาหมดแล้ว
แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อคืนพวกเขาไม่ได้ทำอะไรกัน เพียงแค่นอนหลับ โอบกอดกัน ตอนเช้าแอบจูบก็เท่านั้นเอง
แต่เรื่องง่ายดายขนาดนี้กลับทำให้หัวใจมั่วไป๋เต้นแรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
มีสิ่งของอะไรบางอย่างค่อยๆ หลุดออกมาจากใจเขาทีละนิดๆ หลังจากแตกตัวแล้วก็ค่อยๆ แพร่กระจายไปอย่างช้าๆ
“ตื่นแล้วเหรอ”
เสียงไป๋จิ่งดังขึ้นมากะทันหัน มั่วไป๋เงยหน้ามอง ไม่รู้ว่าไป๋จิ่งเดินออกมาจากข้างในตั้งแต่เมื่อไหร่ ในมือยังถือจานอีกด้วย
มั่วไป๋ว้าวุ่นใจ ไม่กล้าจะสบตากับไป๋จิ่ง เขาขานรับแบบขอไปที แล้วรีบเอ่ยถามทันทีหลังจากนั้น “แม่นายล่ะ”