บทที่ 951 พลังเหนือธรรมชาต

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

บทที่ 951 : พลังเหนือธรรมชาติ!
  ทันทีที่หลิงหยุนร้องตะโกนเรียกเจสเตอร์ในร่างนกยักษ์ก็รีบบินลงมาจากท้องฟ้าที่มืดมิดทันที มันกระพือปีกดังพรึบๆ อยู่เหนือศรีษะของหลิงหยุนกับเย่ซิงเฉินไปราวเจ็ดแปดเมตร..
  หลิงหยุนหันไปยิ้มให้เย่ซิงเฉินพร้อมกับถามออกไปว่า“แล้วเจ้าล่ะ! เจ้าจะกลับออกไปยังไง?”
  เย่ซิงเฉินเงยหน้าขึ้นมองเจสเตอร์ที่กำลังบินอยู่กลางอากาศพร้อมตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล “วิ่งกลับไป..”
  หลิงหยุนได้ฟังจึงยิ้มออกมาพร้อมกับเสนอว่า“ข้าจะพาเจ้าบินกลับเอง..” จากนั้นก็กระโดดขึ้นไปยืนอยู่บนแผ่นหลังของเจสเตอร์
  เมื่อเห็นเย่ซิงเฉินยังคงลังเลหลิงหยุนจึงถามขึ้นพร้อมกับยิ้มเยาะ “เจ้าคงไม่กล้าสินะ”
  เจสเตอร์ที่หวาดกลัวเย่ซิงเฉินเป็นทุนอยู่แล้วจึงรีบกระพือปีกพร้อมกับร้องบอกหลิงหยุนทันที
  “เจ้านาย..ข้ารับน้ำหนักของคนสองคนไม่ไหว..”
  บริวารผู้ซื่อสัตย์ระล่ำระลักปฏิเสธทันทีแต่คำพูดของหลิงหยุนกับเจสเตอร์นั้นก็ได้ยั่วยุให้เย่ซิงเฉินโมโหจนต้องทำเสียงฮึดฮัดอย่างไม่พอใจ ก่อนจะบิดเรือนร่างงดงามนั้น แล้วกระโดดขึ้นไปยืนอยู่ด้านหลังของหลิงหยุน จากนั้นจึงยกเท้ากระทืบลงไปบนขาของเจสเตอร์เพื่อระบายความโกรธ..
  ร่างใหญ่โตของเจสเตอร์ถึงกับทรุดลงไปเล็กน้อยแต่มันก็แสร้งทำเป็นร้องออกมาจนเกินจริง!
  หลิงหยุนฟังแล้วก็ได้แต่ยิ้มและพูดออกไปอย่างไม่สนใจนัก “เจ้าช่างหาเรื่องใส่ตัวเองแท้ๆ!”
  “เอาล่ะ..ไปกันได้แล้ว ข้ารีบ!”
  ในเมื่อเป็นคำสั่งของหลิงหยุนเจสเตอร์ที่กำลังเจ็บปวดนั้นก็ไม่กล้าแม้แต่จะล่าช้าแม้เพียงวินาทีเดียว มันรีบกระพือปีกออกกว้าง และพาร่างของทั้งสองคนบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออก
  บนท้องฟ้าที่สูงลิบลิ่ว..เย่ซิงเฉินซึ่งผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชนกำลังมองลงไปที่ภูเขาสีดำมากมายด้านล่าง ทันทีที่มองลงไป.. เย่ซิงเฉินก็ถึงกับตกใจจนต้องรีบยกมือขึ้นจับไหล่ของหลิงหยุนเพื่อทรงตัว..
  ริมฝีปากของหลิงหยุนขยับออกเป็นร้อยยิ้มเหยียดก่อนจะพูดเยาะเย้ยแข่งกับเสียงลมพัดที่กำลังพัดหวีดหวิว
  “แม่นางเย่คนงาม..หากเจ้ากลัวก็กระเถิบเข้ามาใกล้ๆข้านี่! ข้าจะกอดเจ้าไว้เอง..”
  เย่ซิงเฉินยืนหน้าแดงอยู่ภายใต้ผ้าคลุมหน้าแต่ปากก็ร้องตะโกนออกไปอย่างไม่ยอมแพ้ “ใครว่าข้ากลัว ข้าแค่กำลังคิดว่าสูงถึงเพียงนี้ ตกไปคงต้องตายอย่างแน่นอน..”
  หลิงหยุนยิ้มอย่างมีเลศนัยและแอบส่งกระแสจิตบอกเจสเตอร์ให้บินเฉียงขึ้น และเร็วขึ้นอีก ทันทีที่ได้รับคำสั่งของหลิงหยุน เจสเตอร์ก็รีบทำตามคำสั่งอย่างไม่รีรอ..
  แล้วเสียงกรีดร้องของเย่ซิงเฉินก็ดังขึ้นและร่างบอบบางของนางที่กำลังเอนไปข้างหลังอย่างกะทันหันนั้น ด้วยสัญชาติญาณ.. มือทั้งสองข้างของนางจึงรีบยื่นออกไปโอบเอวหลิงหยุนไว้ทันที และคิดในใจว่าหากนางต้องตกลงไปจริงๆ นางก็จะลากชายหนุ่มเจ้าเล่ห์อย่างหลิงหยุนลงไปด้วย!
  เมื่อสามารถกลั่นแกล้งเย่ซิงเฉินได้สำเร็จหลิงหยุนก็ถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดังด้วยความพอใจ..
  เย่ซิงเฉินหน้าแดงก่ำที่เสียรู้หลิงหยุนแต่ก็ยังไม่กล้าที่จะปล่อยมือจากเอวของเขา นางจึงได้แต่กัดฟันกรอดพร้อมกับยกเท้าขึ้นเตะเข้าที่น่องของหลิงหยุน แล้วร้องตะโกนออกไปอย่างโมโห
  “เจ้าขยับออกไปข้างหน้าอีกหน่อย..”
  จากนั้นก็ไม่ลืมที่จะกระทืบเท้าลงไปบนขาของเจสเตอร์อีกครั้งด้วยความโมโห“เจ้าค้างคาวยักษ์.. เจ้าอยากตายหรือยังไง บินให้ช้าลงกว่านี้อีก!”
  เจสเตอร์ได้ยินจึงรีบลดความเร็วของปีกทั้งสองข้างและชะลอความเร็วในการบินลงทันที..
  ยิ่งบินสูงขึ้นไปมากเท่าไหร่ความกดอากาศก็ยิ่งสูง และอากาศก็จะยิ่งเย็นมากขึ้นเท่านั้น เย่ซิงเฉินดูเหมือนจะทานทนต่อความเย็นของอากาศไม่ไหว จนต้องอาศัยแผ่นหลังที่แข็งแกร่งของหลิงหยุนเป็นโล่กำบังลม..
  หน้าอกที่นุ่มนวลทั้งสองข้างของเย่ซิงเฉินนั้นชูชันและเบียดเสียดแนบแน่นอยู่กับแผ่นหลังของหลิงหยุน ทำให้เขารู้สึกว่าการมาในคืนนี้ช่างคุ้มค่ามากจริงๆ!
  เย่ซิงเฉินนั้นหนาวเย็นจนร่างกายเริ่มชาประกอบกับกับเจสเตอร์ที่เพิ่มความเร็วในการบินอย่างกะทันหัน ทำให้นางตกใจจนต้องโอบกอดหลิงหยุนไว้แน่น และเวลานี้ร่างของนางก็กำลังเบียดอยู่กับแผ่นหลังของหลิงหยุน
  เจสเตอร์ทำงานตามคำสั่งได้ดีมากทำให้หลิงหยุนได้กำไรอย่างมหาศาล แต่ก็เกรงว่าเย่ซิงเฉินจะตกใจ จึงรีบหันไปปลอบโยนนาง
  “ครั้งแรกที่ข้าได้บินขึ้นมาสูงเช่นนี้ข้าเองก็ยังไม่เคยชินนัก แต่ครั้งต่อๆ ไปก็จะดีขึ้นเอง”
  จากนั้นจึงแสร้งทำเป็นตำหนิเจสเตอร์เสียงดัง“เจสเตอร์.. เจ้าบินให้ดีๆหน่อยไม่ได้รึ”
  เจสเตอร์รีบทำตามคำสั่งทันทีและกลับมาบินอย่างนุ่มนวล ไม่ฉวัดเฉวียนรวดเร็วเหมือนก่อนหน้านี้
  หลิงหยุนถึงกับยิ้มแก้มปริในขณะที่ส่งกระแสจิตบอกเจสเตอร์ว่า–เจ้าทำได้ดีมาก ไว้กลับไปข้าจะมีรางวัลให้!-
  เย่ซิงเฉินยังคงเกาะหลิงหยุนไว้แน่นไม่ยอมปล่อยใบหน้าของนางแดงก่ำ และแทบอยากจะใช้ดาบคู่มารสะบั้นเทวะของตนเองสังหารเจ้านาย และบริวารคู่นี้ให้ตายๆไปเสีย..
  แม้ว่าเจสเตอร์จะบินให้ช้าลงแล้วแต่ลมที่พัดอยู่เบื้องบนนั้นก็รุนแรงไม่น้อย แต่เพียงไม่นานทั้งสามคนก็สามารถบินออกจากเทือกเขาเซียนเหยินหลิงได้แล้ว
  ธิดารพรรคมารเย่ซิงเฉินซึ่งมีระดับกำลังภายในที่แข็งแกร่งจึงสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว และไม่ต้องกอดเอว หรือว่าจับของไหล่หลิงหยุนไว้อีกแล้ว เวลานี้จิตใจของนางสงบนิ่งขึ้น และเริ่มสนุกกับการได้บินอยู่บนท้องฟ้า
  ระหว่างที่กำลังจ้องมองทัศนียภาพด้านล่างนั้นเย่ซิงเฉินก็เอ่ยถามออกมา “หลิงหยุน.. เจ้าได้ค้างคาวจิ๋วสามตัวนั่นมาจากที่ใหน และเหตุใดพวกมันจึงเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านัก?”
  หลิงหยุนถึงกับหัวเราะออกมาเสียงดังแต่ยังไม่ทันที่หลิงหยุนจะได้พูดอะไร เจสเตอร์ที่บินอยู่ก็รีบตอบโต้อย่างไม่ยอมแพ้
  “ค้างคาวจิ๋วอะไรกันพวกเราเป็นแวมไพร์ที่ดีกว่ามนุษย์อย่างท่านมากนัก!”
  เย่ซิงเฉินทำเสียงเย้ยหยัน..“หึ.. เจ้าเองก็เป็นมนุษย์มาก่อนไม่ใช่รึ ต้องคอยดื่มเลือด แล้วยังหวาดกลัวแสงอาทิตย์ จะดีขึ้นมาบ้างก็ตรงที่มีปีก เพียงแค่นี้เจ้าก็กล้าอวดตัวว่าดีกว่ามนุษย์แล้วรึ?”
  หลิงหยุนรู้ดีว่าเย่ซิงเฉินยังคงโกรธเจสเตอร์ที่พานางบินฉวัดเฉวียนเมื่อครู่เขาจึงไม่อธิบายเรื่องแวมไพร์ แต่ตอบคำถามของนางเมื่อครู่แทน
  “แวมไพร์สามตนไล่ล่าเกาเทียนหลงแห่งตระกูลเกามาจากปักกิ่งเกาเทียนหลงมาขอความช่วยเหลือจากข้า หลังจากนั้นข้าก็ได้สังหารแวมไพร์ตายไปหนึ่งตน แต่พอลกับเจสเตอร์เลือกที่จะเป็นบริวารของข้า พวกมันยังตามข้าไปช่วยเกาเฉินเฉินด้วย แต่เพราะเหตุใดพวกมันจึงเชื่อฟังข้านั้น เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน!”
  เย่ซิงเฉินคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะตอบคำถามของตนเองอย่างละเอียดเช่นนี้จึงไม่มีอะไรที่นางจะต้องถามอีก..
  แต่ครั้งนี้หลิงหยุนเป็นฝ่ายเอ่ยถามขึ้นบ้าง“เย่ซิงเฉิน.. ข้าอยากรู้ว่าเวลานี้เจ้าอยู่ในขั้นใดแล้ว เจ้าพอจะบอกข้าได้หรือไม่?”
  หลิงหยุนมีความอยากรู้ในเรื่องนี้มากเพราะเขาอยากจะเปียบเทียบดูดว่าการบ่มเพาะพลังในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น กับการฝึกกำลังภายในของเหล่าจอมยุทธในโลกใบนี้นั้นแตกต่างกันเช่นใด
  เขาต้องการรู้เพื่อใช้เป็นมาตรฐานในการเปรียบเทียบ..
  เกี่ยวกับเรื่องนี้..หลิงหยุนเองก็ได้เคยสอบถามตู้กู่โม่ และตงฟางถิงที่ก้นหลุมยักษ์มาก่อนแล้ว อีกทั้งยังได้ไตร่ถามจากฉินตงเฉี่วยกับหลิงลี่ด้วย แต่ก็ยังได้รับคำตอบไม่เพียงพอ เขาจึงอยากจะรู้ขั้นกำลังภายในของเย่ซิงเฉินด้วย เพื่อที่จะได้นำมาเทียบเคียงกับตนเอง..
  แต่เย่ซิงเฉินกลับย้อนถามเขา“หลิงหยุน.. แล้วเจ้าล่ะอยู่ขั้นใหนแล้ว”
  หลิงหยุนไม่จำเป็นต้องปิดบังเขาจึงตอบนางไปตามความจริง “จากที่ข้าคาดเดา ข้าน่าจะอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นโฮ่วเทียน-9”
  “อะไรนะ!”
  เย่ซิงเฉินร้องอุทานออกมาอย่างตกใจในขณะนั้นหลิงหยุนเองก็หันหลังกลับมาเผชิญหน้ากับเย่ซิงเฉินพร้อมกับส่งยิ้มใหนาง
  หลังจากนิ่งอึ้งไปนาน..เย่ซิงเฉินถึงกับถอนหายใจ และพึมพำออกไปว่า “แต่เจ้ากลับสามารถสังหารนินจาขั้นเซียงเทียน-9 ได้…”
  หลิงหยุนตอบกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ขั้นก็ส่วนขั้น.. ความแข็งแกร่งก็ส่วนความแข็งแกร่ง.. แปลกนักรึที่จะสามารถสังหารยอดฝีมือที่อยู่ในขั้นเหนือกว่าได้”
  เรื่องที่หลิงหยุนเป็นจอมยุทธที่มีพรสวรรค์ล้ำเลิศอย่างที่หาได้ยากในยุทธภพนั้นเย่ซิงเฉินรู้ดีอยู่แล้ว แต่ที่นางตกใจก็เพราะคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะสามารถสังหารยอดฝีมือที่เหนือกว่าเขาได้นั่นเอง!
  หลิงหยุนต้องแข็งแกร่งเพียงใด..จึงจะสามารถสังหารยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-9 ได้..
  เมื่อคิดมาถึงตรงนี้..เย่ซิงเฉินก็หัวเราะเยาะตัวเองก่อนจะตอบเสียงเบาว่า “ส่วนข้า.. ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-7!”
  ครั้งนี้กลับเป็นหลิงหยุนที่เป็นฝ่ายตกใจ!ระดับสูงสุดขั้นเซียงเทียน-7 ไม่ใช่ระดับเริ่มต้นขั้นเซียงเทียน-9 อย่างที่เขาคาดเดา!.
  เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของหลิงหยุนเย่ซิงเฉินถึงกับยิ้มออกมา “เหตุใดเจ้าต้องทำสีหน้าตกอกตกใจถึงเพียงนั้น ในยุทธภพไม่ได้มีเจ้าเพียงผู้เดียวที่สามารถสังหารผู้ที่เหนือขั้นกว่าได้!”
  จากนั้นเย่ซิงเฉินก็พูดต่อทันที“ในยุทธภพก็มียอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-9 อยู่ไม่น้อยที่มีแต่เปลือก..”novel-lucky
  หลิงหยุนพยักหน้ารับรู้และเริ่มที่เข้าใจได้ชัดเจนขึ้น จากนั้นจึงถามต่อว่า “แล้วเรื่องพลังเหนือธรรมชาติเล่า”
  เย่ซิงเฉินตอบกลับไปยิ้มๆ“เรื่องพลังเหนือธรรมชาติก็ไม่มีอะไรมาก หากฝึกฝนจนถึงระดับหนึ่ง ก็จะมีพลังปราณที่แข็งแกร่งขึ้น และกระจายอยู่ตามร่างกาย หากคนผู้นั้นสามารถควบคุมพลังปราณที่กระจัดกระจายอยู่นี้ได้.. ในสายตาของคนธรรมดาทั่วไปก็จะกลายเป็นพลังเหนือธรรมชาติ! แต่สำหรับเจ้ากับข้า.. เรื่องเหล่านี้ล้วนไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดอะไร”
  “โดยทั่วไป..ผู้ที่ฝึกฝนจนเข้าสู่ระดับเริ่มต้นของขั้นเซียงเทียน-9 แล้ว ก็จะสามารถควบคุมพลังปราณทีกระจัดกระจายอยู่ได้อย่างสมบูรณ์ และยิ่งควบคุมได้ตามใจชอบมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งดูเหมือนมีพลังเหนือธรรมชาติมากขึ้นเท่านั้น!”
  “ด้วยเหตุนี้..บนโลกใบนี้จึงมีเหตุการณ์มากมายที่ไม่สามารถอธิบายได้..”
  เย่ซิงเฉินอธิบายให้หลิงหยุนฟังอย่างละเอียดหลิงหยุนจึงได้แต่ยิ้มและรีบถามต่อทันที “แล้วเจ้าคิดว่าผู้ที่มีพลังเหนือธรรมชาติเช่นนี้ จะมาตามไล่ล่าข้าหรือไม่ อย่างเช่นเฉินจิ้งเฉวียนแห่งตระกูลเฉิน?”
  เย่ซิงเฉินยกมือขึ้นปิดริมฝีปากพร้อมกับหัวเราะขบขัน“เหตุใดเจ้าจึงถามเรื่องนี้ เจ้ากลัวเฉินจิ้งเฉวียนงั้นรึ?”
  หลิงหยุนฝืนยิ้มพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอกและตอบกลับไปว่า “ข้าสังหารคนตระกูลเฉินไปตั้งมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเฉินไห่คุน เฉินไห่ซาน เฉินเจี้ยนห่าว เฉินเจี้ยนจื่อ และเวลานี้เฉินเจี้ยนกุ่ยกับเฉินเซินก็อยู่ในอาการปางตาย หากเจ้าเป็นข้า เจ้าจะไม่หวาดกลัวงั้นรึ”
  แต่เย่ซิงเฉินกลับยกมือขึ้นตบบ่าหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เจ้าไม่ต้องห่วง.. หากเขามาสร้างปัญหาให้กับเจ้า ข้าจะช่วยเจ้าสู่กับมันเอง!”
  หลังจากนั้นเย่ซิงเฉินก็ยกมือขึ้นชี้ลงไปที่ป่าทึบด้านล่างพร้อมกับร้องบอกเจสเตอร์ว่า
  “บินลงไปตรงนั้น!”