บทที่ 952 คำเตือนจากธิดาพรรคมาร

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

บทที่ 952 : คำเตือนจากธิดาพรรคมาร!
  หลิงหยุนมองตามนิ้วของเย่ซิงเฉินไปด้านล่างและรู้ว่าตนเองใกล้จะได้พบหน้าหลินเมิ่งหานกับเหยาลู่แล้ว..
  หลิงหยุนมองผ่านฟากฟ้าที่มืดมิดและเห็นว่าท่ามกลางป่าทึบด้านล่างนั้น มีหมู่บ้านหรูหราอยู่บนเขาเล็กๆ แห่งหนึ่ง
  หมู่บ้านแห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นหมู่บ้านของคนร่ำรวยเพราะหลิงหยุนพบว่าบ้านแต่ละหลังนั้นไม่เพียงมีบริเวณกว้างขวาง แต่ยังตั้งอยู่ห่างกัน ตามทางเดินปูไว้ด้วยอิฐสีแดงและเขียวสลับกันไป
  แทบไม่ต้องคิด..เย่ซิงเฉินต้องนำตัวหลินเมิ่งหานกับเหยาลู่มาซ่อนไว้ที่นี่อย่างแน่นอน!
  เจสเตอร์รู้ดีว่าเจ้านายของตนกำลังร้อนใจอย่างมากจึงรีบกระพือปีก และพุ่งลงไปที่พื้นด้านล่างด้วยความรวดเร็ว มันไม่ได้บินลงไปที่ถนน แต่เลือกบินลงไปที่ป่าทึบข้างทางแทน
  เมื่ออยู่ในระยะความสูงเหนือพื้นดินราวยี่สิบเมตรทั้งหลิงหยุนและเย่ซิงเฉินต่างก็กระโดดลงจากหลังเจสเตอร์ และค่อยๆร่อนลงสัมผัสพื้นอย่างเงียบเชียบ
  จากนั้นเจสเตอร์จึงรีบกลายร่างเป็นค้างคาวสีดำตัวเล็กเพื่อไม่ให้เป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คนในยามค่ำคืน
  ทันทีที่เท้าทั้งสองข้างสัมผัสกับพื้นดินหลิงหยุนก็กวาดสายตาไปรอบๆ บริเวณทันที จากนั้นจึงหันไปยิ้มกับเย่ซิงเฉิน และพูดกับนางว่า
  “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะพาพวกนางมาซ่อนอยู่ในชานเมืองใกล้แค่นี้!”
  จะไม่ให้หลิงหยุนผิดหวังได้อย่างไรเล่าในเมื่อหมู่บ้านแห่งนี้อยู่ห่างจากถนนวงแหวนรอบนอกตะวันตกไปเพียงแค่สามกิโลเมตรเท่านั้น และอยู่ใกล้กับเขตชานเมืองเพียงแค่นี้ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ที่หาพบได้ไม่ยาก..
  แต่ปรากฎว่า..ทั้งตำรวจ และแก๊งมังกรเขียวที่ออกาตามหาถึงสองวันสองคืนนั้น พวกเขาตามหาตัวหญิงสาวทั้งสองคนภายในเมือง และตามชานเมืองอย่างละเอียด แต่กลับไม่ได้มาค้นหาที่หมู่บ้านแห่งนี้
  แม้แต่หลิงหยุนเอง..ยังให้เจสเตอร์บินไปหาในหุบเขาทางด้านตะวันตกเฉียงเหนือเมื่อคืนนี้ แต่กลับมองข้ามหมู่บ้านแห่งนี้ไป..
  ที่นี่นับว่าเป็นจุดบอดที่สายตาทุกคู่ต่างก็มองข้าม!
  เมื่อเห็นสายตาที่ดูหงุดหงิดผิดหวังของหลิงหยุนเย่ซิงเฉินที่กำลังยืนยิ้มอยู่ในความมืดจึงอธิบายให้เขาฟังว่า
  “ทุกคนดูจากกล้องวงจรปิดตามถนนและเห็นรถของหลินเมิ่งหานขับฝ่าสายฝนออกไปนอกเมือง คงจะคาดเดากันว่าข้าต้องพานางไปซ่อนตัวไว้ตามหุบเขาสินะ! คงคิดไม่ถึงว่าข้าจะนำตัวพวกนางมาซ่อนไว้ใกล้แค่นี้!”
  หลิงหยุนทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พอใจและพูดขึ้นว่า “หึ.. เจ้าคงคิดว่าตัวเองฉลาดมากสินะ! หากสองสามวันนี้ข้าไม่ยุ่งอยู่กับเรื่องต่อสู้ในเทือกเขาเซียนเหยินหลิงแล้วล่ะก็ เจ้าคิดว่าข้าจะหาพวกนางไม่พบหรือยังไง”
  เย่ซิงเฉินหันไปมองหลิงหยุนด้วยสีหน้าไม่ใส่ใจส่วนหลิงหยุนก็ถามต่อทันที “ตอนนี้พวกนางอยู่ที่บ้านหลังใด”
  ความจริงเมื่อมาถึงหมู่บ้านแห่งนี้แล้วหลิงหยุนก็ไม่จำเป็นต้องถามเย่ซิงเฉินก็ได้ เขาเพียงแค่เปิดจิตหยั่งรู้ออกดูก็สามารถหาหญิงสาวทั้งสองคนพบแล้ว แต่ในเมื่อข้างกายเขามีเย่ซิงเฉินอยู่ด้วย หลิงหยุนจึงคร้านที่จะทำเช่นนั้น..
  เย่ซิงเฉินเองก็ไม่อิดออดนางยกมือขึ้นชี้ไปบนยอดเขาแห่งหนึ่งพร้อมกับพูดยิ้มๆ “อยู่บนหัวเจ้าไงล่ะ!”
  และแทบไม่รอให้เย่ซิงเฉินพูดจบ..ร่างของหลิงหยุนก็กระโดดสูงขึ้นไปบนอากาศ และพุ่งออกจากป่าทึบขึ้นไปเดินอยู่บนกิ่งไม้ที่อยู่เหนือศรีษะ
  ยอดเขาแห่งนี้เป็นเขาเล็กๆที่มีความสูงเพียงแค่สามร้อยเมตรเท่านั้น ถนนที่ขึ้นไปบนเขานั้นก็ค่อนข้างคดเคี้ยว แต่เพราะมีบ้านอยู่ตามทางขึ้นเขา จึงมีแสงสลัวส่องอยู่ตลอดเส้นทาง
  “พวกเรารีบไปกันได้แล้ว!”
  เมื่อรู้ว่าหญิงสาวทั้งสองอยู่บ้านหลังใหนแล้วหลิงหยุนก็รีบเร่งไปอย่างไม่รีรอ แต่เนื่องจากมีหมอกลงจัด ระหว่างทางที่วิ่งไปนั้นหลิงหยุนจึงต้องเปิดจิตหยั่งรู้ออกเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุกับตนเองระหว่างที่วิ่งไป และเพื่อจะได้สำรวจดูว่าหญิงสาวทั้งสองอยู่ในสภาพเช่นใดด้วย..
  หลิงหยุนกระโดดไปยืนอยู่หน้าประตูรั้วของบ้านหลังหนึ่งและเมื่อเห็นว่าหญิงสาวทั้งสองคนปลอดภัยดี เขาจึงรู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาบ้าง..
  “เหตุใดเจ้าต้องรีบร้อนเช่นนี้ด้วยข้าก็บอกแล้วว่าพวกนางสองคนปลอดภัยดี!”
  เย่ซิงเฉินที่ไล่ตามหลิงหยุนมาติดๆได้แต่ร้องถามหลิงหยุนด้วยแววตาไม่พอใจนัก..
  หลิงหยุนยังคงเปิดจิตหยั่งรู้สำรวจดูบริเวณรอบๆบ้าน เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีความผิดปกติดใดๆ เกิดขึ้น แต่แล้วก็ยิ้มหยันออกมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้จักค่ายกลแปดทิศเช่นกัน!”
  หลิงหยุนนั้นได้ชื่อว่าเป็นปรมาจารย์เรื่องการวางค่ายกลและเขาก็เป็นผู้ที่วางค่ายกลให้กับบ้านของตนเองทั้งสองหลัง
  เย่ซิงเฉินจ้องมองใบหน้าด้านข้างของหลิงหยุนด้วยความตกตะลึงก่อนจะร้องถามออกไปด้วยความประหลาดใจ..
  “นี่เจ้ามองออกด้วยรึ”
  หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับตอบไปว่า“เจ้าลืมไปแล้วหรือยังไง! ข้าลงไปที่ก้นหลุมยักษ์ และสามารถออกจากค่ายกลมังกรหยิน-หยางได้!”
  เย่ซิงเฉินจ้องมองหลิงหยุนด้วยดวงตาที่เป็นประกายระยิบระยับพร้อมกับยิ้มออกมา..
  หลิงหยุนเองก็หันหน้าไปมองหน้าเย่ซิงเฉินและถามขึ้นว่า “แม่นางคนงาม.. นี่เจ้าจะให้ข้าฝ่าค่ายกลเข้าไป หรือจะให้กุญแจบ้านกับข้า แล้วเดินเข้าไปพร้อมกัน”
  แสงไฟสลัวหน้าบ้านที่สาดส่องมานั้นทำให้เย่ซิงเฉินที่อยู่ภายใต้ผ้าแพรสีดำยิ่งดูลึกลับมากขึ้น โดยเฉพาะนัยต์ตาที่ทั้งเย้ายวน และมีมนต์เสน่ห์ดึงดูดผู้ที่ได้พบเห็น..
  ระหว่างที่ถูกหลิงหยุนจ้องมองอย่างเปิดเผยเช่นนั้นเย่ซิงเฉินถึงกับรู้สึกประหม่า และเกิดความรู้สึกที่ยากจะอธิบายขึ้นในใจ จึงรีบร้องตะโกนบอกหลิงหยุนอย่างไม่พอใจนัก
  “ข้าไม่เข้าไปกับเจ้าหรอก!หากพวกนางไม่พอใจข้าขึ้นมา แล้วร่วมมือกันรังแกข้า ข้าจะทำเช่นไรเล่า ในเมื่อข้ามาเพียงแค่คนเดียว..”
  น้ำเสียงของเย่ซิงเฉินค่อยๆอ่อนลงเรื่อยๆ และดวงตาคู่งามของนางก็จ้องมองหลิงหยุนราวกับจะอ้อนวอนให้หลิงหยุนอยู่ฝ่ายตนเอง..novel-lucky
  หลิงหยุนเห็นแววตาเว้าวอนคู่นั้นก็ถึงกับใจสั่นและได้แต่แอบคิดในใจว่านางมารน้อยผู้นี้ช่างมีเสน่ห์ดึงดูดมากจริงๆ หรือนี่จะเป็นสิ่งที่คนบนโลกใบนี้เรียกว่าพลังเหนือธรรมชาติ แม้จะรู้ว่านางเสแสร้ง หลิงหยุนก็แทบอดใจที่จะปกป้องนางไม่ได้!
  เวลานี้ทั้งหลินเมิ่งหานและเหยาลู่ต่างก็อยู่ภายในบ้าน หลิงหยุนรู้ว่านี่ไม่ใช่เวลาที่จะสนใจเรื่องอื่น เขาสงบจิตสงบใจ และเมื่อได้สติคืนมาจึงรีบตอบกลับไปว่า
  “เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าเจ้าจี้จุดพวกนางไว้ต่อให้พวกนางไม่ถูกเจ้าจี้จุดไว้ พวกนางจะสามารถรังแกคนอย่างเจ้าได้อย่างไรกัน”
  ภายใต้จิตหยั่งรู้ของหลิงหยุนทำให้เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าหลินเมิ่งหานกับเหยาลู่นั้นได้ถูกเย่ซิงเฉินควบคุมไว้ด้วยการจี้จุด และทั้งคู่ต่างก็อยู่ในสภาพที่อ่อนล้า และน่าเวทนายิ่งนัก
  เย่ซิงเฉินมีสีหน้ากระอักกระอ่วนก่อนจะพูดออกมาอย่างไม่พอใจ “พวกนางสองคนล้วนเจ้าอารมณ์นัก! ข้าก็เลยปล่อยให้อดข้าวอดน้ำ!”
  “อะไรนะนี่พวกนางไม่ได้ดื่มไม่ได้กินมาถึงสองวันเชียวรึ?”
  หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของเย่ซิงเฉินก็ถึงกับร้องตะโกนออกมาอย่างโมโห!
  “แค่นี้หนักหนามากหรือยังไงข้าทำกับพวกนางแค่นี้ดีกว่าปล่อยให้ซือกงวู่จี๋จับตัวไปเป็นร้อยเป็นพันเท่า!”
  เย่ซิงเฉินเองก็ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางจึงไม่ยอมหยุดต่อล้อต่อเถียงกับหลิงหยุนและยังคงจ้องมองเขาอยู่เช่นนั้น เพียงแค่ชั่วประเดี๋ยวเดียวสถานการณ์ของทั้งคู่ก็กลับกลายเป็นมึนตึง..
  แม้แต่เจสเตอร์ซึ่งแอบดูอยู่เมื่อได้เห็นคนทั้งคู่ทะเลาะกันไปมา ก็ได้แต่คิดในใจว่า ‘เจ้านายกับธิดาพรรคมารผู้นี้ทะเลาะอะไรกันมากมาย นี่พวกเขาจะมาช่วยคน หรือจะมาสู้กันเองต่อกันแน่’
  เจสเตอร์คิดว่าสงครามระหว่างคนทั้งคู่คงต้องเกิดขึ้นแน่แต่กลับคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะหันกลับไปตอบเย่ซิงเฉินด้วยสีหน้าท่าทางที่อารมณ์ดี..
  ทันทีที่เห็นท่าทางอิดโรยของหลินเมิ่งหานกับเหยาลู่หลิงหยุนก็ถึงกับโกรธ แต่เมื่อได้ฟังคำพูดของเย่ซิงเฉิน เขาก็เห็นด้วยทันที!
  ในคืนวันที่คลินิกสามัญชนและร้านเสื้อผ้าของหลิงหยุนถูกวางระเบิดนั้น หลิงหยุนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเย่ซิงเฉินล่วงรู้แผนการของซือกงวู่จี๋ ที่คิดจะใช้หลินเมิ่งหานกับเหยาลู่จัดการกับหลิงหยุน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโศกนาฏกรรมขึ้น เย่ซิงเฉินจึงได้ไปดักลักพาตัวหญิงสาวทั้งสองคนตัดหน้าซือกงวู่จี๋
  ด้วยเหตุนี้..จึงนับว่าเย่ซิงเฉินเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตหญิงสาวทั้งสองคนไว้ มิเช่นนั้นแล้วหากให้พวกนางตกไปอยู่ในกำมือของซือกงวู่จี๋จริงๆ ผลลัพธ์ที่จะตามมาคงแทบไม่ต้องอธิบาย..
  แม้แต่หลิงหยุนเองยังไม่กล้าที่จะคิดและคาดเดาต่อ..
  “เห็นแก่ที่เจ้ามีน้ำใจช่วยพวกนางไว้ไม่เช่นนั้นวันนี้ข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่!” หลิงหยุนยังคงเถียงต่ออย่างไม่ยอมแพ้
  “เจ้าคิดว่าจะเอาชนะข้าได้งั้นรึพวกนางตกอยู่ในกำมือของข้า ก็ดีกว่าต้องทนขมขื่นกับเรื่องเลวร้ายอื่นๆ เจ้าเองก็สร้างศัตรูไว้มากมาย ไม่รู้ว่าต่อไปหญิงสาวคนใหนจะถูกลักพาตัวไปอีก!”
  เย่ซิงเฉินเองก็ดูเหมือนจะไม่ยอมอ่อนข้อให้กับหลิงหยุนเช่นกัน..แต่ครั้งนี้ดูเหมือนว่านางตั้งใจจะเตือนหลิงหยุนเสียมากกว่า จากนั้นจึงยื่นกุญแจในมือให้กับหลิงหยุนพร้อมพูดออกไปว่า
  “เอาไป!”
  หลิงหยุนยื่นมือออกไปรับกุญแจจากเย่ซิงเฉินปากก็อยากจะตอบโต้นางออกไปตามสัญชาติญาณ แต่ก็เลือกที่จะกลืนคำพูดต่างๆ กลับลงไปในลำคอ เพราะสิ่งที่นางพูดล้วนถูกต้อง..
  ทั้งเฉิงเม่ยเฟิงเสี่ยวเม่ยเม่ย เกาเฉินเฉิน หลินเมิ่งหาน และเหยาลู่ ล้วนแล้วแต่ถูกลักพาตัวไปเพราะเขา!
  หลิงหยุนได้แต่ยืนกัดฟันนิ่ง..จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นจ้องลึกลงไปในดวงตาของเย่ซิงเฉินพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
  “เย่ซิงเฉิน..เจ้าจำคำพูดของข้าไว้ให้ดี! สักวัน.. ข้าจะต้องทำให้ทุกคนไม่กล้าแตะต้องผู้หญิงของข้า และคนที่ข้ารัก!”
  เย่ซิงเฉินคิดไม่ถึงว่าหลิงหยุนจะพูดกับตนเองด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่จริงจังเช่นนี้ นางจึงได้แต่ตกตะลึง และหลังจากที่จ้องลึกลงไปในดวงตาของหลิงหยุน นางก็เกิดความรู้สึกปั่นป่วนในจิตใจขึ้นมาแทน
  เย่ซิงเฉินไม่กล้าจ้องตาหลิงหยุนนานนักจึงรีบบิดเอว และเมินหน้าหนีไปทันที ปากก็ร้องบอกด้วยว่า
  “ข้าต้องไปแล้ว!”
  เย่ซิงเฉินไม่ต้องการอยู่ดูภาพที่ทั้งสามคนอยู่ด้วยกันแต่ก่อนจะจากไปก็ไม่ลืมที่จะเตือนหลิงหยุน..
  “เมื่อใดที่เจ้าไปเมืองหลวง..จำไว้ว่าต้องระมัดระวังเย่เทียนตูแห่งตระกูลเย่ไว้ให้ดี!”
  “เวลานี้ยอดฝีมือที่อวดอ้างตนเองเป็นฝ่ายธรรมะต่างก็พากันเดินทางมาที่จิงฉูกันมากมาย เจ้าอย่าได้ชะล่าใจไป!”
  “ภายในเวลาครึ่งเดือนนี้..เจ้าคงหลีกเลี่ยงที่จะประมือกับซือกงวู่จี๋ไม่ได้ หากเกิดการต่อสู้กันขึ้น เจ้าต้องระวังวิชารอยเท้ามาร และฝ่ามือโลหิตของมันให้ดี!”
  หลังจากพูดจบแล้ว..ร่างสง่างามในชุดผ้าแพรสีดำพริ้วไหวของเย่ซิงเฉินก็ค่อยๆ เดินหันหลังให้หลิงหยุน และหายลับเข้าไปในภูเขาเบื้องหน้า แต่น้ำเสียงไพเราะกังวานใสของนางที่เตือนหลิงหยุนนั้น ยังคงดังก้องอยู่ในหูของเขา
  หลิงหยุนถือกุญแจที่ยังคงมีกลิ่นหอมจางๆไว้ในมือและยืนมองเย่ซิงเฉินที่ค่อยๆ เดินหายไปท่ามกลางความมืด..