กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 981

แม่ทัพเฝ้าประตูเมืองจ้องมองอย่างเย็นชา ทำให้บรรดาทหารต่างพากันตัวสั่นและก้มหน้าไม่กล้าพูดอะไร

“ฝ่าบาทมีรับสั่งว่าห้ามปล่อยผู้ต้องสงสัยไปแม้แต่คนเดียว ต่อให้พวกเขาเป็นโรคไข้ทรพิษก็เถอะ”

และแบบนี้เอง ทำให้กู้ชูหน่วนและเยี่ยจิ่งหานถูกนำตัวเข้าไปกักบริเวณ

ระหว่างนั้นมีหมอเข้ามาจำนวนมาก แต่ละคนต่างก็วินิจฉัยว่าพวกเขาเป็นโรคไข้ทรพิษ ทำให้ทุกคนต่างตกใจและไม่กล้าเข้าใกล้

แม่ทัพที่เฝ้าประตูเมืองสั่งให้นำตัวพวกเขาไปยังที่รกร้าง จากนั้นฆ่าพวกเขาทิ้ง เพื่อจะได้ไม่ทำให้โรคไข้ทรพิษลามไปติดต่อสู่ผู้อื่น

ภายในพื้นที่รกร้างในเวลากลางคืน เยี่ยจิ่งหานส่งสายตาให้กู้ชูหน่วน เขาคิดไม่ออกจริงๆ เลยว่าผู้หญิงคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

นางนอกจากมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมแล้ว เรื่องอื่นๆ กลับมีความคิดแปลกประหลาดผิดมนุษย์

และเมื่อมองนางที่กำลังหลับตาและนั่งขัดสมาธิ ดูจากภายนอกเหมือนคนกำลังหลับ แต่ในความเป็นจริงแล้ว นางกำลังกระตุ้นกำลังภายใน แม้แต่บนศีรษะก็มีควันสีขาวๆ ปรากฏขึ้นมา ซึ่งเห็นได้ชัดว่านางกำลังฝึกวรยุทธ์

ตลอดระยะทาง แม้เพียงเวลาน้อยนิดนางก็จะใช้เพื่อฝึกวรยุทธ์

ตั้งแต่ที่ตระกูลมู่ถูกฆ่าล้างตระกูล ดูจากภายนอกแล้วนางยังคงเป็นปกติ ทว่าแววตาของนางกลับมีร่องรอยของความโศกเศร้าเสียใจปรากฏให้เห็น

เห็นได้ชัดว่าการที่ตระกูลมู่ถูกฆ่าล้างตระกูล ทำให้นางรู้สึกเศร้าเสียใจอย่างมาก

แม่ทัพเฝ้าประตูเมืองพาทหารมาด้วยอีกสองคน

เขายืนอยู่ ส่วนกู้ชูหน่วนและเยี่ยจิ่งหานนั้นกำลังนั่งอยู่ และจู่ๆ แม่ทัพเฝ้าประตูเมืองก็รู้สึกว่าขาของตัวเองอ่อนแรง และรู้สึกมีแรงกดทับบนร่างกายอย่างหนัก

หนักจนทำให้เขาแทบอยากจะคลานลงไป และความรู้สึกนี้ล้วนมาจากเยี่ยจิ่งหาน

“พวกเจ้าเป็นใครกันแน่?” หลัวหลิน แม่ทัพเฝ้าประตูเมืองถามออกไป

แม้ว่าสองคนนี้จะปลอมตัวเป็นอย่างดี ทว่าความสง่าสูงส่งของชายคนนั้นกลับปิดไม่มิด

เขาไม่มีทางเป็นเพียงคนตัดไม้ธรรมดา ทว่ากลับเหมือนผู้ที่มีตำแหน่งสูงส่ง

กู้ชูหน่วนถอนหายใจอย่างเชื่องช้าและจ้องมองไปยังหลัวหลิน จากนั้นก็เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก

“เจ้าไม่รู้ว่าพวกข้าคือใครแต่กลับกล้าพาพวกข้าเข้าเมือง และยังกล้าร่วมมือกับพวกข้า เจ้าช่างกล้านักนะ”

“ที่ปล่อยให้พวกเจ้าเข้าเมืองก็เพราะไม่ต้องการปล่อยผู้ที่ต้องสงสัยไป ส่วนเรื่องการร่วมมือ ข้าได้เคยพูดไปหรือว่าจะร่วมมือกับพวกเจ้า?”

“ไม่ร่วมมือกับพวกข้า เช่นนั้นเจ้าจะมาที่นี่ด้วยตัวเองทำไม? คงไม่ใช่เพราะต้องการมาฆ่าพวกข้าด้วยตัวเจ้าเองหรอกนะ”

“พวกเจ้าเป็นใครกันแน่?”

“จะเป็นใครไปได้ ก็เป็นคนที่ฝ่าบาทของพวกเจ้าต้องการตัวอย่างไรล่ะ”

สีหน้าของหลัวหลินไม่มีความเหี้ยมโหด ทว่ากลับถามขึ้นมาอย่างจริงจัง “เช่นนั้นโรคไข้ทรพิษของพวกเจ้า……ก็เป็นเรื่องโกหกหรือ?”

“ทายาไปเล็กน้อย ทำให้คัน แต่ผลที่ออกมาก็ไม่เลวเลย อย่างน้อยก็โกหกหมอเหล่านั้นได้สำเร็จ” ขณะพูด กู้ชูหน่วนก็หยิบผ้าออกมาและเช็ดตุ่มแดงออกไป

ทุกคนต่างพากันตกตะลึง

นี่คือยาอะไรกัน เหตุใดถึงสามารถโกหกหมอได้ทุกคน? ช่างน่าอัศจรรย์เกินไปเหลือไม่

กู้ชูหน่วนไม่อยากเสียเวลา นางเช็ดตัวไปพลางพร้อมกับกล่าวออกมา “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนสนิทของชินอ๋องเสวี่ย และหลายปีมานี้พวกเจ้าก็ไม่พึงพอใจในจักรพรรดินีอย่างมาก ครั้งนี้จักรพรรดินีก็กลับลงมือกับชินอ๋องเสวี่ย ฉะนั้นพวกเจ้าก็เกิดเป็นความแค้นขึ้นในใจตั้งนานแล้ว”

หลัวหลินและคนอื่นๆ จับตามองอย่างเคร่งเครียด หนึ่งในทหารตวาดขึ้นมา “เจ้าพูดเหลวไหลอะไรของเจ้า พวกข้าจงรักภักดีต่อฝ่าบาท จะคิดกบฏได้อย่างไร นี่มีโทษถึงตัดศีรษะเก้าชั่วโคตรเชียวนะ เจ้า……”

“ที่นี่เป็นป่ารกร้าง ไม่มีคนนอก เจ้าจะกลัวอะไร? ข้าก็ไม่มีเวลามากมายจะมาไร้สาระกับพวกเจ้า”

“ในเมื่อเจ้ารู้ เช่นนั้นเราก็จะไม่ปกปิดต่อไป เราไม่พอใจในฝ่าบาทมานานมากแล้ว หลายปีมานี้ฝ่าบาททำร้ายผู้คนที่จงรักภักดี ฆ่าทำร้ายผู้คนไม่เลือกหน้า กดขี่ข่มเหงประชาชน ผู้คนเดือดร้อนเรื่องอาหารการกินและความเป็นอยู่ อดอยากยากไร้ ต่อให้เป็นผู้มีจิตใจดีในรัฐปิง มีใครบ้างไม่คิดอยากล้มฝ่าบาท เพียงแต่…… ”

“แม้ว่ารัฐปิงจะมีกองกำลังทหารจลาจลจำนวนมาก แต่ก็ไม่ใช่มาอย่างถูกต้อง พวกเจ้าได้รับเงินจากราชสำนัก และจงรักภักดีต่อราชสำนัก เพียงแค่ต้องการปกป้องราชวงศ์คนข้างหลัง พวกเจ้าคิดปกป้องชินอ๋องเสวี่ย แต่ชินอ๋องเสวี่ยกลับไม่คิดอยากเป็นจักรพรรดิ และตอนนี้ก็ไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร ฉะนั้นตอนนี้พวกเจ้ากำลังเดือดร้อนไม่มีที่พึ่งใช่หรือไม่?”

หลัวหลินรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยว่าเหตุใดผู้หญิงคนนี้ถึงรู้เรื่องราวเยอะมากมายเช่นนี้

“หากข้าบอกพวกเจ้าว่าชินอ๋องเสวี่ยยังไม่ตาย และอยู่ที่เมืองอวิ๋นโจว เจ้าจะเชื่อหรือไม่?”