ภาคที่ 4 บทที่ 70 ขัดขวาง

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 70 ขัดขวาง

“เจ้ากำลังจะบอกว่าท่านแม่ไม่ได้ป่วยหนัก แต่ถูกหมอต้มตุ๋นพวกนั้นวินิจฉัยผิด ?” โจวชิงขวงกัดฟันถามอย่างหงุดหงิด

“โรคผื่นแดงกับพิษหมาป่า มีอาการที่คล้ายคลึงกันมาก จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกนักที่หมอจะตรวจพลาด” เหมียวฉางชิงตอบ

“แต่ความผิดพลาดครั้งนี้ทำให้แผนการเดินทางของข้าต้องล่าช้าไปมาก” โจวชิงขวงกล่าวด้วยความโกรธ “ส่งคำสั่งลงไป หมอตรวจโรคพลาดจะต้องถูกจับและทุบตีมันให้หนักซะ หากมันไร้สามารถมันก็ไม่ควรจะมาเป็นหมอ”

เหมียวฉางชิงตกใจ “แต่นายน้อย หมอเหล่านี้ทั้งหมดเป็นหมอที่ดีที่สุดในเมืองกระเรียน …”

“แล้วยังไง ?” โจวชิงขวงเชิดหน้าอย่างหยิ่งผยอง “หากพวกมันทำงานพลาด ก็สมควรที่จะโดนลงโทษไม่ใช่หรือ ?”

“ … ขอรับท่าน !” เหมียวฉางชิงตอบรับคำสั่งอย่างไม่มีทางเลือก

“ไปบอกให้ทุกคนเตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้เช้าเราจะออกเดินทางไปยังเมืองกลืนธารากัน มันล่าช้ามา 2 เดือน ข้าไม่อยากจะลากมันให้ล่าช้าไปมากกว่านี้” โจวชิงขวงกล่าวขณะจัดเรียงเสื้อผ้าของเขา

เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่พวกเขาเตรียมทุกอย่างเสร็จสิ้นและกำลังจะออกเดินทาง ใครบางคนก็ตะโกนขึ้นว่า “ไฟไหม้ ! เขตฝั่งตะวันออกเกิดไฟไหม้แล้ว !”

อะไรนะ ?

เขาอาศัยอยู่ทางฝั่งตะวันออก !

เขตฝั่งตะวันออกคือที่อยู่อาศัยของเขา !

โจวชิงขวงทั้งตกตะลึงและโกรธเกรี้ยว เขารีบย้อนกลับไป เมื่อไปถึงเขาก็เห็นว่าสมาชิกในตระกูลทั้งหมดไปรวมตัวกันอยู่ที่นั่นแล้ว

โชคดีที่ไฟไม่ได้ลุกไหม้รุนแรงมากนัก เหล่าผู้เชี่ยวชาญใช้วิชาของพวกเขาเคลื่อนย้ายน้ำในทะเลสาบบางส่วนมาดับไฟลงได้อย่างรวดเร็ว

ทว่าที่อยู่อาศัยด้านเขตตะวันออกก็เละเทะไปหมดแล้ว รวมไปถึงที่อยู่อาศัยของโจวชิงขวงด้วยเช่นกัน

“เกิดอะไรขึ้น ? เขตฝั่งตะวันออกเกิดเพลิงไหม้ได้อย่างไรกัน ?” โจวชิงขวงถามด้วยความโกรธ

“เรียนนายน้อย ต้นเพลิงเป็นหนูเพลิงที่โผล่มาจากที่ไหนก็ไม่รู้ทำให้เกิดไฟไหม้ขึ้นขอรับ”

“แล้วจับมันได้หรือยัง ?”

“ยัง …ยังจับไม่ได้ขอรับ”

“ไอ้พวกไร้ประโยชน์ !” โจวชิงของตะโกนอย่างเกรี้ยวกราด

อุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้การเดินทางของเขาต้องเลื่อนออกไปอีกครั้ง ที่อยู่อาศัยของเขาได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติ เขาจึงจำเป็นจะต้องอยู่เพื่อจัดเตรียมการสร้างที่พักใหม่

3 วันต่อมา ในที่สุดตระกูลโจวก็จับต้นเพลิงและฆ่ามันลงได้

อย่างไรก็ตาม ในขณะที่โจวชิงขวงกำลังจะจากไปเขาก็ได้รับข่าวใหม่อีกครั้งหนึ่ง

เกิดแสงประหลาดขึ้นที่ป่าใกล้ ๆ นี้ ว่ากันว่ามันเป็นสัญญาณบอกว่าสมบัติกำลังจะปรากฏขึ้น

ในป่านั้นเคยมีการค้นพบซากปรักหักพังของอาณาจักรอาร์คาน่าโบราณมาก่อน และผู้ที่ค้นพบมันได้รับโชคยิ่งใหญ่

แต่เพราะซากปรักหักพังนี้เก่าแก่มากแล้ว สิ่งของที่เคยเก็บไว้ภายในส่วนใหญ่จึงได้กระจัดกระจายไปทั่วทุกหนทุกแห่ง แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังคงมีข่าวลือมากมายที่บอกว่ายังมีสมบัติมากมายเหลืออยู่ในป่าเล็ก ๆ นั้น

ทุกสิ่งที่ชาวอาร์คาน่าโบราณทิ้งเอาไว้ แม้ว่าจะเป็นสิ่งของไร้ค่า แต่มันก็ถูกนับเป็นสมบัติที่ควรค่าแก่การเก็บรักษา ไม่ว่าจะเล็กหรือไร้ค่าเพียงใดมันก็ยังสามารถสร้างโชคลาภให้ได้ไม่น้อย

ดังนั้นหลังจากที่ได้รับข่าวนี้ โจวชิงขวงจึงถูกบังคับให้ชะลอการเดินทางของเขาอีกครั้ง เพื่อดูว่าเขามีโอกาสได้รับสมบัติหรือไม่

เหตุการณ์นี้ทำให้การเดินทางของล่าช้าไปอีกครึ่งเดือน

ครึ่งเดือนต่อมาในที่สุดโจวชิงขวงก็ค้นพบต้นตอของแสงประหลาดนั้น เขาแทบจะร้องไห้ขณะที่หยิบคริสตัลทองคำขึ้นมา

คริสตัลทองคำเป็นสมบัติที่ดี ชิ้นที่สมบูรณ์แบบที่เขาพบนี้มีมูลค่าประมาณ 1,000 หินพลังต้นกำเนิด ปัญหาคือเวลาที่ชายหนุ่มใช้ไปเพื่อค้นหามันนั้นเปรียบได้เท่ากับ 5,000 หินพลังต้นกำเนิด

โจวชิงขวงรู้สึกเพียงแค่ว่าตัวเองโชคร้ายยิ่งที่ต้องเปลืองเวลาครึ่งเดือนไปโดยเปล่าประโยชน์ ส่วนต่าง 4,000 หินพลังต้นกำเนิดที่ไม่ได้คืนยิ่งไม่ต้องพูดถึง

เขารู้ว่าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว ชายหนุ่มจึงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อออกเดินทางไปใช้ถึงเมืองกลืนธาราไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ท้ายที่สุดก่อนที่จะได้เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง เขาก็ล้มป่วยลง

แพทย์ที่เขาเชิญมาในครั้งนี้ ไม่ได้วินิจฉัยพลาดแต่อย่างใด เขาถูกวางยาพิษ

พิษนั้นมาจากคริสตัลทองคำ มันเปื้อนไปด้วยพิษจากดอกซากวิญญาณแต่โชคยังดีที่พิษนั้นมีไม่มากนัก ไม่อย่างนั้นโจวชิงขวงคงจะตายในทันทีที่แตะมัน

จากการวิเคราะห์ของแพทย์ คริสตัลทองคำนี้อาจจะถูกเจ้าของเดิมผู้ไม่รู้วิธีกำจัดพิษดอกซากวิญญาณฝังเอาไว้ หลังจากที่ทำให้คริสตัลเปื้อนพิษโดยบังเอิญ แต่แสงจากคริสตัลทองคำนี้กลับทะลุผิวดินขึ้นมาโดยไม่คาดคิด ทำให้โจวชิงขวงสามารถค้นหาและขุดค้นพบมัน ผลสุดท้ายเขาก็ตกเป็นเหยื่อพิษดอกซากวิญญาณนั่น

โจวชิงขวงรู้สึกอยากจะเอาหัวโขกกำแพงตายเสียเหลือเกิน

เขาจะขุดมันขึ้นมาทำบ้าอะไรกัน ?

พิษดอกซากวิญญาณไม่ได้ร้ายแรงนัก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้เขาต้องใช้เวลาถึงครึ่งเดือนในการพักฟื้น

หลังจากคำนวณมันก็ผ่านมา 3 เดือนแล้ว แต่ในขณะที่เขาวางแผนจะออกเดินทางไปยังเมืองกลืนธาราอีกรอบ เขาก็ได้ยินข่าวว่ากู่ชิงลั่วได้ออกไปแล้ว

ไม่ใช่แค่กู่ชิงลั่วเท่านั้น กู่เซวียนเหมี่ยน กู่เซวียนเจาและคนอื่น ๆ ก็จากไปเช่นกัน

กล่าวอีกนัยหนึ่ง ตอนนี้ถึงเขาจะไปที่เมืองกลืนธารามันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีกแล้ว

โจวชิงขวงทำได้เพียงนั่งกัดฟันทนรออยู่ที่บ้านอย่างไม่มีทางเลือก เขาไม่สามารถเข้าใจได้ว่าทำไมตระกูลกู่ถึงเลือกที่จะส่งพวกเขาออกไป

เห็นได้ชัดว่าเรื่องนี้เป็นเพราะเครือข่ายเรือเหาะ

ช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ซูเฉินได้ร่วมมือกับผู้ถือหุ้นมากกว่าสิบราย ไม่ใช่แค่สมาชิกจากตระกูลกู่เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสมาชิกจากตระกูลจง ตระกูลหลิวและตระกูลฟางด้วย 3 ตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองกลืนธารา การทำธุรกิจด้วยวิธีนี้ช่วยให้เขาจัดการอุปสรรคทั้งหมดได้ในคราวเดียว

นอกจากการรวบรวมเงินลงทุนแล้ว ซูเฉินยังขอให้ผู้ถือส่วนแบ่งเหล่านี้เดินทางออกไปเปิดเส้นทางในที่ต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าการจัดตั้งเครือข่ายเรือเหาะจะเป็นไปอย่างราบรื่น เงินจำนวนมากมายถูกเปลี่ยนมือกันไปมาไม่หยุด ในขณะที่ท่าเทียบเรือบินเมืองกลืนธาราเองก็เริ่มก่อสร้างขึ้นอย่างเป็นทางการ

เรือมังกรทะยานเมฆชุดแรกได้ถูกซื้อมาแล้วและกำลังอยู่ระหว่างการส่งมอบ ส่วนสัตว์อสูรที่ใช้ขับเคลื่อนเรือเหาะซูเฉินได้เลือกเป็นแกะนักโทษ สัตว์อสูรตัวนี้มีพลังมากและสามารถอยู่รอดได้ด้วยอาหารสัตว์ธรรมดา ทำให้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับใช้เป็นตัวขับเคลื่อนเรือ อย่างไรก็ตามแกะนักโทษนั้นยากที่จะฝึก จนถึงตอนนี้มีเพียง 2 ตระกูลเท่านั้นที่สามารถทำให้แกะนักโทษฟังคำสั่งได้สำเร็จ

และซูเฉินคือคนที่ 3

20 ปีแห่งการค้นคว้าทำให้ซูเฉินมีความรู้มากมาย เพียงแค่เขาไม่ได้เลือกที่จะแปลงความรู้เหล่านั้นให้เป็นเงิน

แต่เมื่อตั้งใจที่จะสร้างรายได้ เขาก็สามารถนำความรู้เหล่านี้มาใช้ให้บรรลุผลได้ในทันที

ยาสามหยางเป็นตัวอย่างที่ดีของเรื่องนี้

และยาฝึกสัตว์อสูรก็เช่นกัน

ด้วยเหตุนี้ ทุกอย่างดำเนินจึงไปตามแผนอย่างราบรื่น

5 เดือนหลังจากที่ซูเฉินเข้ามายังเมืองกลืนธารา เขาก็รู้สึกว่ามันถึงเวลาแล้วและสั่งให้กังเหยียนกลับมา

“เหตุใดข้าถึงต้องกลับไปตอนนี้ ? ข้ายังเหลือแผนที่จะถ่วงมันให้อยู่แต่ในเมืองอีกตั้งมากมาย” กังเหยียนกล่าว

“มันไม่จำเป็นแล้ว ไม่ช้าก็เร็วเราย่อมต้องเปิดศึกกับโจวชิงขวงผู้นี้อยู่ดี และตอนนี้น่าจะเป็นเวลาที่ดีที่สุดแล้ว”

“แต่ถ้าถ่วงเวลาไว้นานกว่านี้ จะไม่เตรียมการล่วงหน้าได้ง่ายกว่าหรอกหรือ ?”

ซูเฉินหัวเราะ “แน่นอนว่าไม่ เครือข่ายเรือเหาะกับฟาร์มอาหารสัตว์ทั้งหมดอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่พวกเขาทุ่มทุนไปแล้ว และเมื่อการลงทุนของพวกเขาเริ่มสร้างผลตอบแทน นั่นจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการกดดันตระกูลกู่ให้ตัดสินใจ หากเรารอจนเครือข่ายเรือเหาะถูกสร้างจนเสร็จพวกมันอาจจะคิดว่าต่อให้เขี่ยข้าทิ้งไปมันก็จะไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้น แต่ในยามนี้ถ้าพวกนั้นกล้าที่จะเตะข้าออกไป ความพยายามทั้งหมดของพวกเขาก็จะสูญเปล่าและสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด แม้ว่าอีกฝ่ายจะสามารถยึดโรงเตี๊ยมและกิจการอื่น ๆ เพื่อชดเชยความสูญเสียได้ แต่ก็ไม่สามารถมองข้ามข้อตกลงที่ข้าลงนามได้อยู่ดี …ไม่ว่าเรื่องจะเป็นอย่างไรก็ยากที่จะจัดการไล่ข้าออกไปให้พ้นทางได้ แน่นอนว่านั่นไม่ได้หมายความว่าทางนั้นจะตัดสินใจที่จะทำแบบนั้นจริง ๆ แต่หากเราหลีกเลี่ยงการเปิดโอกาสให้แก่พวกเขาได้มันก็จะเป็นการดีที่สุด”

กังเหยียนกล่าวอย่างชื่นชม “นายท่านช่างฉลาดจริง ๆ”

3 วันต่อมา ในที่สุดโจวชิงขวงก็ได้ออกเดินทางไปยังเมืองกลืนธารา

คราวนี้ไม่มีอุบัติเหตุหรือเรื่องอะไรมาถ่วงทำให้การเดินทางของเขาล่าช้า

แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือบทสรุปของการเดินทางครั้งนี้ มีการแสดงฉากใหญ่กำลังรอเขาอยู่