ตอนที่ 598 เหยียนอวี้ให้คำแนะนำ
ถ้าไม่ใช่ว่ามั่วไป๋ดื้อดึง ชอบไป๋จิ่งมาตลอด เขาจะช่วยไป๋จิ่งส่งตัวมั่วไป๋ไปให้ได้อย่างไร
มั่วไป๋คนนี้คิดเยอะเกินไป กังวลมากเกินไป ใส่ใจไป๋จิ่งมากกว่าใคร เพราะว่ายิ่งเป็นคนที่ใส่ใจ ก็ยิ่งจะไม่กล้าตัดสินใจ
เขาไม่อยากเห็นมั่วไป๋ทรมานตัวเองอยู่อย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า กักตัวเองอยู่ในโลกของตัวเองออกมาไม่ได้ ดังนั้นถึงได้รับปากยอมตกลงจะช่วย
เขาเหยียนอวี้คือเพื่อนของมั่วไปตลอดไป
เพราะเชื่อว่าไป๋จิ่งจะทำให้มั่วไป๋เปลี่ยนไปดียิ่งขึ้นกว่าเดิมได้ ดังนั้นถึงได้อนุญาตให้ไป๋จิ่งเข้าใกล้มั่วไป๋ได้
ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่เขาจะช่วยเลย แม้แต่หน้าของมั่วไป๋ เขาก็จะไม่ให้ไป๋จิ่งได้เห็น
คนเราทั้งชีวิตจะมีช่วงวัยเยาว์ได้มากแค่ไหน
มั่วไป๋กับไป๋จิ่งพลาดมันมาหลายปีแล้ว
เขาไม่อยากเบิกตาค้างมองดูมั่วไป๋มัดมือชกตัวเองไปแบบนี้
“คุณคิดจะทำให้มั่วไป๋คืนดีกับคุณยังไงเหรอ”
ไป๋จิ่งขมวดคิว สองวันมานี้ลี่เจินก็ถามแบบนี้ เหยียนอวี้ก็ถามแบบนี้
เดิมทีเขาคิดจะค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปกับมั่วไป๋ หนึ่งวันไม่ได้ก็สองวัน หนึ่งปีไม่ได้ก็สองปี
ต้องมีสักวันที่เขาจะทำให้มั่วไป๋ประทับใจได้
เหยียนอวี้ได้ยินแผนพิชิตใจอันยาวเหยียดของเขา พลางถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ เขาอดไม่ได้ที่จะพูดจาในแบบที่ไม่เป็นหมอเหยียนผู้เย็นชาออกมา “คุณเป็นหมูเหรอ”
หลังจากมั่วไป๋คนนี้ออกมาในตอนนั้น เขาก็กักตัวเอง อยากจะทำให้เขาประทับใจอย่างเต็มที่ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้ เพียงแต่ว่าครั้งก่อนใช้เวลานานขนาดนั้น
ครั้งนี้ไป๋จิ่งคิดจะใช้เวลาอีกนานเท่าไหร่ เติมเต็มความรู้สึกเขา
เหยียนอวี้ถอนหายใจ ไป๋จิ่งมีใจอดทนเสียจริงๆ
‘อย่างที่เขาว่า จับกดไปเลย จูบไปเลย กอดไปเลย หลับนอนกันไปเลย ก็สิ้นเรื่องไปแล้วไม่ใช่เหรอ’
ทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างชอบกันอยู่ทนโท่ แต่กลับยังทำเป็นบริสุทธิ์ใจอยู่ที่นี่
เมื่อก่อนสองคนนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยทำ ผูกพันกันมาหลายปีขนาดนี้ ยังจะเก็บอาการได้อีก
เหยียนอวี้เอามือกุมหัว พลางเอ่ยเสียงต่ำ “คุณยังจำได้ไหมว่าเมื่อก่อนมั่วไป๋จีบคุณยังไง”
ไป๋จิ่งชะงักงัน มั่วไป๋จีบเขาเหรอ
เขามีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาเร็วมาก มั่วไป๋ที่เหยียนอวี้เอ่ยถึง ควรจะเป็นหลินฝาน
“ตอนนั้นเขาจีบคุณยังไง คุณก็จีบเขากลับไปยังงั้น”
พูดจบเหยียนอวี้ก็กระแทกเสียงแล้ววางสายไป
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อดทน แต่พวกเขาสองคนช้าเกินไปแล้วจริงๆ ถ้ายึดตามความก้าวหน้าของพวกเขา ไม่แน่ว่าต้องใช้เวลาสามถึงห้าปีถึงจะจับมือกันได้
หลังจากเหยียนอวี้วางสายไป ไป๋จิ่งบีบมือถือไว้ จู่ๆ ก็ตอบสนองกลับมา
‘ใช่สิ ทำไมเขาถึงคิดไม่ถึงวิธีนี้’
ไป๋จิ่งตาลุกวาว มีปฏิกิริยาตอบกลับในทันใด
ในใจเขาเหมือนมีคลื่นลูกใหญ่ซัดมา ราวกับว่าแค่มองก็อยากกอดได้ อยากจูบได้อย่างไรอย่างนั้น
อดทนรอมาสองชั่วโมง กว่าลี่เจินจะลุกขึ้นมา
ไป๋จิ่งนั่งยองๆ อยู่หน้าประตูห้องลี่เจิน เธอเปิดประตูมา ไป๋จิ่งก็ยืนขึ้นทันที
ลี่เจินสะดุ้งตกใจ เอามือตบอกเบาๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ลูกอยากทำให้แม่ตกใจตายเหรอ”
ไป๋จิ่งยื่นมือไปดึงประตูมา ตัวเองเดินเข้าไปแล้วปิดประตูทันทีหลังจากนั้น
เขามองลี่เจินพลางเอ่ยเสียงต่ำ “แม่ เดี๋ยวผมจะให้คนไปส่งแม่กลับไปก่อนนะครับ”
ลี่เจินเลิกคิ้ว เอ่ยออกมาโดยไม่ได้คิดก่อน “ลูกยังตามจีบเขาไม่ติด แม่ไม่ไป”
ไป๋จิ่งเอ่ยต่อ “แม่กลับไปก่อน ผมรับรองจะรีบพาลูกสะใภ้ของแม่ไปหาแม่ให้เร็วที่สุดครับ”
ลี่เจินทำหน้าไม่เชื่อ เธอคิดว่าตามไอคิวของไป๋จิ่งแล้ว ยากมากที่จะทำได้
ด้วยเหตุนี้เธอจึงมองเขาด้วยความสงสัย “ลูกแน่ใจนะว่าลูกทำเองได้”
อีกนิดไป๋จิ่งเหลือแค่สาบานแล้ว “แม่ครับ แม่เชื่อผม ผมรับประกันไม่เกินหนึ่งสัปดาห์ ผมจะพาลูกสะใภ้แม่กลับไปครับ”
ลี่เจินได้ยินเขาพูดแบบนี้ ถึงได้ลังเลอยู่สักพัก
ไป๋จิ่งเอ่ยเพิ่มอีกประโยค “แม่อยู่ที่นี่ มั่วไป๋ขี้อายขนาดนั้น ผมตามจีบเขาไม่สะดวกครับ”
ตอนที่ 599 เริ่มลงมือปฏิบัติการ
ลี่เจินตาลุกวาว รู้สึกว่าในที่สุดแล้วลูกชายของเธอก็พูดประโยคที่มีหลักการได้เสียที
ด้วยเหตุนี้เธอจึงพยักหน้ารับ “โอเคก็ได้ งั้นแม่กลับไปก่อน ใจสู้ให้แม่หน่อยนะเรา อย่าทำให้ลูกสะใภ้แม่ตกใจจนวิ่งหนีไปล่ะ หนึ่งสัปดาห์ให้หลัง ถ้าลูกพาลูกสะใภ้แม่กลับมาไม่ได้ ก็อย่ามาเรียกแม่ว่าแม่”
ไป๋จิ่งรีบรับปากทันที กว่าจะสส่งคนกลับไปไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
ก่อนจะไป ลี่เจินยังไม่ลืมที่จะพูดกับไป๋จิ่งว่า “เป็นฝ่ายเข้าหามั่วไป๋หน่อย ไม่มีอะไรเอะอะมาจูบมากอด แก้ปัญหาไม่ได้นะ”
แน่นอนว่านี่คือการมีเงื่อนไขแรก
เงื่อนไขแรกจำเป็นว่าคนคนนั้นชอบคุณ ถ้าไม่อย่างนั้นพุ่งเข้าไปกอดจูบก็คือพวกฉวยโอกาส
แต่ว่าตามที่เธอสังเกตมาตอนเช้า มั่วไป๋ยังคงชอบลูกชายจอมซื่อบื้อคนนี้ของเธอมากอยู่
ด้วยเหตุนี้ลี่เจินจึงออกจากคฤหาสน์ไป ในใจยังกำลังคิด ลูกชายเธอใจสู้ขึ้นมาแล้ว ไม่ช้าก็เร็วจะพาคนมา เธอก็จะเปลี่ยนจากพี่สาวเป็นแม่ได้
……
พอลี่เจินออกไปแล้ว ไป๋จิ่งเหมือนไปฉีดเลือดไก่[1]มาไม่มีผิด แรงสู้อยู่เต็มกาย
เขาฮึกเหิมเต็มกำลัง ถือโอกาสจัดการตกแต่งคฤหาสน์ใหม่อีกครั้งไปด้วย
ท้องฟ้ามืดแล้ว มั่วไป๋เอามือไปบีบนวดต้นคอที่ค่อนข้างจะเคล็ดอยู่ เขายืดเอวแล้วยืนขึ้นมา
ดูเวลาแล้วก็เข้าสู่เวลาหนึ่งทุ่มกว่าๆ โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว
มั่วไป๋วางสีในมือลง แล้วไปล้างมือทันทีหลังจากนั้น เวลานี้ถึงได้ถอดชุดคลุมกันเปื้อนที่ตั้งใจใส่กันสีเลอะออก
ดึงประตูเปิดแล้วเดินออกไป คฤหาสน์ทั้งหลังเงียบเชียบมาก
มั่วไป๋เลิกคิ้ว ข้างในไม่มีคนแล้วเหรอ
มั่วไป๋รู้สึกแปลกใจไม่เบา อดจะคิดไม่ได้ว่าลี่เจินไม่อยู่ แม้แต่ไป๋จิ่งเองก็ไม่อยู่
เขาเพิ่งจะเตรียมเดินออกไปข้างนอก ก็เห็นไป๋จิ่งเดินลงมาจากชั้นบน เขาเห็นมั่วไป๋แววตาก็ประกายรอยยิ้ม
“วาดเสร็จแล้วเหรอ”
มั่วไป๋พยักหน้ารับ “พี่ลี่เจินล่ะ”
ไป๋จิ่งซับเหงื่อบนหน้าปาก “มีธุระด่วนเลยกลับไปก่อนแล้ว”
‘ดังนั้นตอนนี้ในคฤหาสนี้ก็เหลือแค่ไป๋จิ่งกับตัวเองงั้นเหรอ’
ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋ยืนเซ่ออยู่ที่เดิม เขาก็เดินไปอยู่ข้างๆ มั่วไป๋ ก่อนจะเอื้อมมือไปจูงมือเขามาพาไปช่วยในห้องครัว
มั่วไป๋โดนเขาดึงตัวไปแบบนี้ก็ตกใจอยู่ในที จิตใต้สำนึกสั่งให้เขาอยากจะปลดมือไป๋จิ่งออก
แต่ครั้งนี้ไป๋จิ่งไม่ได้ปล่อยมือ เขารั้งมือมั่วไป๋อย่างแน่นสนิท
เขาลากคนมาจนถึงห้องครัว แล้วเอื้อมมือไปหยิบจานที่อยู่ข้างวางใส่มือมั่วไป๋
มั่วไป๋ชะงักงัน สงสัยนิดหน่อย “ถืออันนี้ไว้ทำไม”
“ช่วยผมถือหน่อย ของผมเยอะ ถือไปไม่หมด”
ในมือไป๋จิ่งกอดกล่องใบใหญ่ใบหนึ่งไว้ มั่วไป๋เองก็ไม่รู้ว่าข้างในคืออะไร เห็นไป๋จิ่งไม่มีมือถือแล้วจริงๆ เขาก็หยิบจานทั้งหมดวางไว้ในมือ แล้วเดินตามไป๋จิ่งไป
ไป๋จิ่งพาเขาขึ้นมาชั้นสาม มั่วไป๋เลิกคิ้วเล็กน้อย เขามาอยู่ตั้งนาน ยังไม่เคยขึ้นมาชั้นสามมาก่อน ไม่รู้ว่าบนชั้นสามจะมีอะไรได้
หลังจากถึงทางขึ้นบันได ทันใดนั้นไป๋จิ่งก็เอ่ยขึ้น “คุณรอผมตรงนี้แป๊บเดียว”
พูดจบ ไป๋จิ่งก็รีบวิ่งไป จากนั้นก็วิ่งกลับมาอย่างรวดเร็ว
เมื่อกลับมาอีกครั้ง ในมือก็ไม่มีกล่องใบใหญ่ใบนั้นแล้ว
เขาเองก็ไม่ได้หยิบจานในมือมั่วไป๋ แต่เอามือขึ้นปิดตามั่วไป๋เสียดื้อๆ มั่วไป๋ตกใจในทันใด เกือบจะทำจานในมือร่วงแล้ว
ไป๋จิ่งเอ่ยเสียงต่ำข้างหู “ระวังหน่อยนะ ในมือคุณยังมีจานอยู่”
ด้วยเหตุนี้มั่วไป๋จึงจับจานไว้แน่น พลางเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนกไม่น้อย “นายปล่อยมือออกก่อนสิ ฉันมองไม่เห็นทาง”
ไป๋จิ่งคิดว่าเขาไม่กล้าขยับมือ ดังนั้นถึงได้ปิดตาของเขาไว้
‘ถึงยังไงในมือของมั่วไป๋ก็ยังมีจานอยู่ จะไม่ขยับมือไปหรอก’
“นี่คือจานทั้งหมดที่มีในบ้าน ถ้าทำตกพวกเราจะไม่มีของไว้ใช้กินข้าว” เขาหัวเราะเบาๆ ที่ข้างหูของมั่วไป๋ “คุณต้องจับไว้ให้แน่นแล้ว”
มั่วไป๋กลืนน้ำลายโดยไม่ตั้งใจ “ไป๋จิ่ง นายกำลังเล่นอะไรอยู่กันแน่ ปล่อยมือก่อนสิ”
[1] ฉีดเลือดไก่ มาจากความเชื่อทางการแพทย์จีนเมื่อยุคปี 60 ว่าการฉีดเลือดไก่เข้าตัวเป็นยารักษาสารพัดโรค (Chicken-blood therapy)