ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเช่นนั้นแล้วหัวใจก็เต้นแรง แต่ก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง เรื่องนี้เธอไม่เคยรู้มาก่อน แล้วทำไมจ่านมู่ฮวาที่ไม่ได้อยู่ในวงการเครื่องประดับถึงได้รู้รายละเอียดขนาดนี้?
ราวกับจ่านมู่ฮวาดูออกว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่ จึงยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ผมเป็นเจ้าของคลับหยก งานนิทรรศการหยกเกือบทุกครั้งคลับหยกล้วนเป็นผู้จัดงาน และเป็นที่มาของคลับหยกด้วย เพราะฉะนั้นเรื่องส่วนมากผมย่อมที่จะรู้”
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าอย่างเข้าใจ จ่านมู่ฮวาจึงพูดขึ้นอีกครั้ง “ถ้าหากคุณซื้อหุ้นบริษัทตระกูลหลินได้สำเร็จ ผมว่าคุณก็จำเป็นต้องเข้าร่วมงานนิทรรศการหยกครั้งนี้นะ”
“ขอบคุณ” ซีเหมินจินเหลียนขอบคุณ บัตรวีไอพีของคลับหยกใบนี้เธอจะรับมันไว้ แต่ว่าถ้าหากไปเข้าร่วมในงานนิทรรศการจริงๆ เธอก็ต้องจ่ายค่าเช่าสถานที่ราคาสูงด้วยเหมือนกัน นั่นก็เท่ากับเป็นการช่วยเหลือในการทำธุรกิจ เพราะฉะนั้นสำหรับความคิดนี้ของจ่านมู่ฮวา เธอไม่ได้มีข้อโต้แย้งใดๆ
“อันนี้ผมก็ให้คุณ” จ่านมู่ฮวามองเป็นนัยไปทางกล่องที่วางอยู่บนโต๊ะและยิ้มขึ้น “คุณจะไม่ลองเปิดมันดูสักหน่อยหรือครับ”
“ไม่ดีกว่าค่ะ ฉันไม่ต้องการของของคุณ” ซีเหมินจินเหลียนรีบปฏิเสธทันควัน บัตรวีไอพีของคลับหยก เธอจะรับมันไว้ แต่ของอย่างอื่นเธอไม่ต้องการ
แต่จ่านมู่ฮวาเองก็ไม่ได้ใส่ใจ เขาเปิดกล่องออกมาและยื่นไปตรงหน้าของเธอแล้วยิ้ม “นี่เป็นของที่ นายพลคาร์ลให้ผม คุณรู้หรือเปล่าว่าภูมิภาคแอฟริกาใต้อุดมไปด้วยเพชรและเขามีเหมืองเพชรหลายแห่งที่นั่น”
ซีเหมินจินเหลียนกวาดสายตามองดูเพชรทั้งหกเม็ดในกล่อง ลักษณะไม่ได้เล็กมาก แต่ถึงจะเล็กแต่เกรงว่าน่าจะสักสองกะรัตได้ หนึ่งในนั้นมีเม็ดที่เป็นสีแดงดอกกุหลาบถูกเจียระไนเป็นรูปหัวใจ ดูแปลกใหม่กว่าใคร อีกทั้งยังเป็นเพชรแท้ๆ ที่ยังไม่ได้ผ่านการจัดใส่ในเครื่องประดับ เธอหยิบขึ้นมาถือไว้ในมือหนึ่งเม็ด และส่องมันไปมา เพชรนั้นก็ดูราวกับดาวหกดวงที่ส่องแสงเป็นประกายระยิบระยับ
นอกจากนี้ยังมีอีกเม็ดที่เป็นสีเขียวของใบหญ้า เป็นสีเพชรที่หาพบได้ยาก ส่วนอีกเม็ดเป็นสีฟ้า ส่วนที่เหลืออีกสามเม็ดล้วนเป็นสีแดงเลือด แม้ว่าจะไม่ใช่สีแดงเลือดตามตำนาน แต่ก็ดูไม่เลวเลย สายตาของเธอมองเห็นถึงความบริสุทธิ์สูงสุดในตัวเพชร…
“ฉันไม่รับไว้ดีกว่า” ซีเหมินจินเหลียนรีบนำเพชรสีดอกกุหลาบแดงเก็บไว้ในกล่องกำมะหยีตามเดิม ก่อนจะเลื่อนมันไปข้างหน้าจ่านมู่ฮวา “อย่างที่คุณพูด ไม่มีสีอัญมณีไหนในโลกจะเทียบเท่ากับเสน่ห์ของสีหยกได้ ในเมื่อเป็นอย่างนั้นฉันก็มีหยกชั้นดีแล้ว ฉันไม่ต้องการเพชรเพิ่มหรอกค่ะ ขอบคุณเจตนาที่ดีของคุณ”
“ผมอุตส่าห์ปล่อยหลินเสวียนหลานแล้ว อย่างน้อยๆ คุณก็ไม่ควรจะปฏิเสธนะครับ” จ่านมู่ฮวาพูด “เมื่อสักครู่ผมบอกไว้ว่าถ้าผมปล่อยเขา คุณจะต้องรับปากคำขอร้องของผมอย่างหนึ่ง”
ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไรต่อ จริงอยู่ที่เขาเคยพูดไว้ แต่เธอเองก็ไม่ได้รับปาก
“คำขอร้องของผมก็ง่ายดายมาก วันมะรืนนี้ผมต้องไปงานเลี้ยงที่หนึ่ง แล้วผมยังขาดคู่ควงอยู่พอดี” จ่านมู่ฮวาพูด
“ฉันไม่ไปหรอกค่ะ และก็จะไม่ยอมเป็นคู่ควงของคุณด้วย” ซีเหมินจินเหลียนยิ้มบางๆ คนอย่างเขานี่น่ะหรือจะขาดคู่ควง? ล้อเล่นอะไรกัน
“วันมะรืนนี้ผมจะมารับคุณ อย่างไรคุณจะต้องไปแน่ๆ” จ่านมู่ฮวาพูดจบก็หยิบเสื้อของตัวเองขึ้นพาดตัว ปิดบังรอยคราบเลือดที่อยู่บนเสื้อเชิ้ต ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปยังนอกประตู
ซีเหมินจินเหลียนเห็นเขาพูดเองเออเองก็ขี้เกียจใส่ใจ จนกระทั่งเขาเดินไปถึงหน้าประตูแล้ว จู่ๆ เธอก็พูดขึ้นว่า “ของของคุณ…”
“ไม่มีใครที่ไหนที่ให้ของไปแล้วเอากลับคืนมาหรอกนะครับ” จ่านมู่ฮวาหยุดฝีเท้าลงที่หน้าประตูแล้วยิ้มขึ้น “ในอนาคตถ้าบริษัทจิวเวอรี่ของคุณอยากได้เพชรไปเป็นของตกแต่ง ก็ติดต่อผมมาได้เลยนะ อย่างน้อยราคาของผมก็ถูกกว่าในตลาดหลายเท่า”
ซีเหมินจินเหลียนยกสองมือขึ้นกอดเข่าขดตัวอยู่บนโซฟา สายตามองไปที่กล่องกำมะหยีที่วางอยู่บนโต๊ะ ข้างในมีเพชรจำนวนหกเม็ด จ่านมู่ฮวากลับไปแล้ว เธอรู้ว่าเขาพูดไม่ผิด เครื่องประดับจากหยกส่วนมากมักจะต้องมีเพชรเป็นองค์ประกอบด้วย ถ้าเธออยากจะเล่นเองก็แล้วไป แต่ถ้าหากในอนาคตเธอซื้อหุ้นบริษัทตระกูลหลินได้แล้ว เธอจะหาซื้อวัตถุดิบอีกชิ้นมาประดับหยกได้อย่างไร นี่ก็เป็นปัญหาแล้ว
ถ้าหากไปหาบริษัทรับขายเพชรที่อื่น เธอคงได้ล้มละลายจนหมดสิ้นแน่
จ่านมู่ฮวามีเพื่อนที่มีเหมืองเพชร ถ้าหากซื้อเพชรมาจากแอฟริกาใต้โดยตรง ระหว่างกลางคงลดช่องทางลงได้บ้าง แต่จิตใต้สำนึกของเธอมักจะคิดเสมอว่าคนคนนี้ดูอันตรายเกินไป ถึงเธอจะใช้เชือกมามัดตัวเขาไว้ แต่เธอก็ยังไม่รู้สึกถึงความปลอดภัย จนกระทั่งเขาจากไป
เธอเอนกายพิงโซฟา ก่อนจะโทรไปหาจ่านป๋ายอีกครั้ง ครั้งนี้จ่านป๋ายไม่ได้ปิดเครื่อง เขาบอกเธอว่าถึงเรื่องจะมีปัญหานิดหน่อย แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ให้เธอวางใจได้ ในเวลานั้นเขาก็หาหลักฐานที่เพียงพอว่าหลินเสวียนหลานโดนใส่ร้าย
ซีเหมินจินเหลียนนั่งพิงโซฟาอย่างไร้เรี่ยวแรง ถอนหายใจยกใหญ่ ไม่เป็นอะไรก็ดีไป…
ประมาณเจ็ดโมงเช้าของวันถัดมา จ่านป๋ายกลับมาถึงย่านหลานกุ้ย คฤหาสน์ของซีเหมินจินเหลียน เมื่อเขาเปิดประตูเข้ามาก็เห็นซีเหมินจินเหลียนที่ขดตัวอยู่บนโซฟา ท่าทางคล้ายกับแมวที่ชอบนอนขดตัวเป็นก้อน
“จินเหลียน จินเหลียน…” จ่านป๋ายถอนหายใจ เรียกเธออย่างแผ่วเบา “ทำไมคุณไม่กลับไปนอนที่ห้องตัวเองอีกแล้วล่ะครับ” พูดพลาง สายตาเขาก็ตกไปอยู่ที่กล่องกำมะหยีที่วางอยู่บนโต๊ะ ภายในกล่องมีเพชรอยู่ทั้งหมดหกเม็ด ข้างๆ กล่องมีบัตรวีไอพีของคลับหยก เมื่อเขากวาดสายตามองไปโดยรอบก็เห็นเชือกหนึ่งเส้นวางกองอยู่บนพื้น แล้วยังมีเข็มขัดที่ดูแล้วถูกถอดออกอย่างรุนแรง…
จ่านมู่ฮวา?
จ่านป๋ายตกใจ นี่เขาไม่ได้ทำอะไรเธอใช่ไหม
“คุณกลับมาแล้วเหรอ” ซีเหมินจินเหลียนขยี้ตาที่กำลังสะลึมสะลือ มองใบหน้าที่คุ้นเคยของจ่านป๋าย แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ในที่สุดเธอก็วางใจลงได้เสียที
“จินเหลียน คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม” จ่านป๋ายนั่งคุกเข่าอยู่กับพื้นถามอย่างเป็นห่วง
“ฉันไม่เป็นไร คุณ…กับพี่หลินเป็นยังไงบ้าง” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้น ได้ยินว่าพวกเขาถูกกุมขังไว้ที่สถานีตำรวจ เธอก็รู้สึกเป็นห่วงพวกเขาจริงๆ
“พวกผมไม่เป็นอะไร ว่าแต่…จ่านมู่ฮวาไม่ได้ทำอะไรคุณใช่ไหม?” จ่านป๋ายเอ่ยถาม นิสัยของจ่านมู่ฮวานั้นเขาเข้าใจเป็นอย่างดี คนคนนี้ใจคอคับแคบ ชอบแก้แค้น ครั้งก่อนที่คลับหยก ซีเหมินจินเหลียนใช้นางพญางูขาวจัดการเขา เขาคงไม่ได้เคียดแค้นเธอหรอกนะ? เมื่อคืนถือโอกาสที่เขาไม่อยู่ เข้ามาหาซีเหมินจินเหลียนถึงในบ้าน เกรงว่าจะไม่ได้มีเจตนาดีอะไรแน่
ซีเหมินจินเหลียนเห็นเขากลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว เธอเองก็อารมณ์ดีขึ้นมา “ทำไมคุณไม่ถามว่าฉันทำอะไรเขาบ้าง”
จ่านป๋ายไม่เข้าใจ ก่อนจะมองไปที่เชือกและแส้ ในใจได้แต่ครุ่นคิดว่าจ่านมู่ฮวาหน้าตาสวยงาม จะผู้หญิงหรือผู้ชายก็เหมือนกับ ต่างชอบของสวยงามทั้งนั้น หรือว่าเธอจะกินจ่านมู่ฮวาจนเรียบ แล้วยังปล้นเขาอีก?
“จินเหลียน คุณทำอะไรเขาอย่างนั้นหรือ” จ่านป๋ายถามลองเชิงเธอ
“ค่ะ” ซีเหมินจินเอียงคอแล้วพูดขึ้นยิ้มๆ ว่า “เขาเป็นคนเลวร้ายมาก คิดไม่ถึงว่าจะยอมเล่นฉากซาดิสม์จริงๆ แต่เสียดายที่ไม่มีผู้ชม ฉันจับเขามัดไว้แล้วก็ตีไปหลายครั้ง คิดไม่ถึงเลยว่าดูเหมือนเขาจะชอบอะไรแบบนี้…”
จ่านป๋ายฟังจนตาโตอ้าปากค้าง คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะตีจ่านมู่ฮวา? นี่…มันไร้สาระยิ่งกว่าตำนานใดๆ เสียอีก แต่ในใจของเขาก็เข้าใจดีว่าซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดโกหก
“เขามีงานอดิเรกแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” จ่านป๋ายหัวเราะ “เป็นมาโซคิสม์เนี่ยนะ?”
ซีเหมินจินเหลียนไม่เพียงแต่หัวเราะไม่หยุด แต่เมื่อเธอเห็นจ่านป๋ายปลอดภัยดี และรู้ว่าหลินเสวียนหลานไม่เป็นอะไร จิตใจเธอก็เบ่งบานขึ้นมา รู้สึกว่าจัดการกับจ่านมู่ฮวาไปหนึ่งฉากมันช่างทำให้สุขภาพจิตสดชื่นกระปรี้กระเปร่าเสียจริง
“เขาบอกว่างานนิทรรศการหยกที่มีขึ้นสามปีครั้งจะจัดที่คลับหยก ในนั้นจะมีการเดิมพันหยกอยู่ ฉันว่าพวกเราน่าจะลองไปเข้าร่วมนะ” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“แน่นอนอยู่แล้ว” จ่านป๋ายพยักหน้า “นี่เป็นการเปิดตลาดหยกขั้นแรกของพวกเรา แล้วทำไมจะไม่ไปเข้าร่วมล่ะครับ แต่ว่าพวกเราต้องซื้อหุ้นตระกูลหลินให้ได้เสียก่อน”
“ตระกูลหลินทางนั้นว่าอย่างไรบ้าง” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“ประเด็นหลักของตระกูลหลินตอนนี้คือทนายจางคนนั้น” จ่านป๋ายพูด “ขอแค่หาตัวเขาให้พบ หาพินัยกรรมที่หลินเสวียเหวินทิ้งเอาไว้ ทุกอย่างก็จะจัดการได้อย่างราบรื่น
“แต่ว่าเขาอยู่ที่ไหนกัน” ซีเหมินจินเหลียนถาม “อีกอย่าง ตกลงคุณปู่หลินตายอย่างไรกันแน่”
“ผมสงสัยว่าน่าจะเป็นฝีมือวางยาของหลินเจิ้ง” จ่านป๋ายพูด “เขาก็ทำไปเพื่อมรดกแล้วก็หยกราชาก้อนนั้น”
“เวรกรรมจริงๆ นรกต้องการตัวเขาแน่” ซีเหมินจินเหลียนพูด อย่างไรหลินเสวียเหวินก็เป็นพ่อแท้ๆ ของเขา คิดไม่ถึงว่าเขาจะวางยาพ่อของตัวเอง เมื่อคิดเหม่อลอยไปไกล เธอก็คิดถึงตัวเอง ตั้งแต่เล็กจนโต เธอยังไม่รู้เลยว่าพ่อแม่ของตนเป็นใครกันแน่
“หลินเสวียเหวินทิ้งพินัยกรรมชุดนั้นไว้ที่บ้าน แน่นอนว่าต้องอยู่ที่หลินเจิ้งแน่ และผมยังสงสัยอีกว่าหลินเสวียนหลานคงจะได้เป็นผู้สืบทอดมรดก เรื่องนี้เลยทำให้หลินเจิ้งไปร่วมมือกับฉินซินเพื่อวางยา ถ้าหากเมื่อคืนไม่ได้เกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น บางทีหลินเสวียนหลานก็อาจถูกพวกเขาทำร้ายไปแล้ว” จ่านป๋ายพูดต่อ
ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า จ่านมู่ฮวาเคยบอกไว้ว่ารอให้หลินเสวียนหลานมีชีวิตไปได้ถึงคืนวันนี้แล้วค่อยว่ากัน
“ราชาหยกนั่น คืออะไรกันแน่” ซีเหมินจินเหลียนถาม
จ่านป๋ายส่ายหน้า เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าหยกก้อนนั้นเป็นอะไร แต่รับรองได้ว่าราชาหยกก้อนนั้นจะต้องมีความสัมพันธ์อะไรกับหนกราชางูอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้หลินเสวียเหวินตายแล้ว ผู้อาวุโสหูก็ยังหายตัวไปอีก ถ้าหากอยากจะรู้ความลับระหว่างราชาหยกและราชางู เกรงว่าคงจะไม่มีหนทาง
“ผู้อาวุโสหูคนนั้นก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน” จ่านป๋ายถอนหายใจออกมา ผู้อาวุโสคนนี้ช่างลึกลับเกินคาด มีแต้ฟ้าเท่านั้นถึงจะรู้
“มีข่าวคราวของทนายจางบ้างไหม” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“มีครับ” จ่านป๋ายตอบ
“เขาอยู่ที่ไหน” ซีเหมินจินเหลียนถามขึ้นอย่างสงสัย
“ถ้าหากผมวิเคราะห์ไว้ไม่ผิด น่าจะเป็นคนที่ฉินซินจับไว้ แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจว่าฉินซินมีประโยชน์อะไรที่จะต้องร่วมมือ เขากับฉินเฮ่าหาเรื่องกันไปมา นั่นก็เป็นเรื่องที่ตระกูลของเขา ไม่จำเป็นต้องลากตัวเองเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ ไหนจะจ่านมู่ฮวาอีก เขาก็ไม่ได้ไม่มีเงิน…” จ่านป๋ายขมวดคิ้วพูด จ่านมู่ฮวาไม่เหมือนเขา แม้ว่าหลายปีที่ผ่านมาจ่านป๋ายก็หาเงินมาได้ไม่น้อย แต่ทรัพย์สมบัติของเขาล้วนอยู่ที่ต่างประเทศทั้งหมด ส่วนจ่านมู่ฮวาเป็นเพราะได้รับมรดกตกทอด ถึงมีเงินเพิ่มขึ้น เขาจึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องโผล่มายุ่งเรื่องธุรกิจเครื่องประดับ
ซีเหมินจินเหลียนไม่ได้พูดอะไรออกมา กำไรของธุรกิจเครื่องประดับสูงก็จริง แต่คงไม่ได้ถึงขนาดทำให้ฉินซินและจ่านมู่ฮวาสนใจได้ เป้าหมายของพวกเขาน่าจะเป็นราชาหยกมากกว่า ถึงตอนนี้แล้วเรื่องราชาหยก หลินเจิ้งคงรู้ข้อมูลอะไรเพิ่มขึ้นในสิ่งที่พวกเขาไม่รู้
ตอนนี้เองเสียงมือถือก็ดังขึ้น ซีเหมินจินเหลียนหยิบขึ้นมาดู กลับคิดไม่ถึงว่าจะเป็นสายจากร้านของเถ้าแก่โจว เธอจึงรีบกดปุ่มรับทันที “คุณซีเหมินหรือเปล่าครับ? อรุณสวัสดิ์ คืนนี้ทางผมมีหินหยกขนเข้ามา ไม่รู้ว่าคุณซีเหมินจินเหลียนสนใจจะมาดูไหม” เสียงของเถ้าแก่โจวถ่ายทอดมาทางโทรศัพท์