หลังจากหลี่รุ่ยกลับจวน นางก็ให้คนไปสืบเรื่องนี้ทันที ด้วยความสามารถแห่งจวนลั่วหยางอ๋อง ไม่นานคำตอบก็อยู่ในมือของหลี่รุ่ย
“หญิงผู้นั้นเป็นโจรสลัดจริงๆ ทั้งยังเป็นหัวหน้าโจรสลัดที่เป็นนักโทษอาญาของราชสำนักอีกด้วย!”
“อวี้เชียนเสวี่ย สายตาท่านก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่นักนะ!”
หลี่รุ่ยเขียนเทียบเชิญส่งให้กับอวี้เชียนเสวี่ยอีกครั้ง ทั้งยังแนบหลักฐานสถานะมู่เหนี่ยนซีไปด้วย
ถึงแม้ว่าในเทียบเชิญนั้นหลี่รุ่ยจะไม่ได้เขียนเงื่อนไขใดๆ แต่ก็หมายความถึงการข่มขู่ได้เป็นอย่างดีโดยมิต้องเอื้อนเอ่ย
“ข้าจะไปฆ่านาง!”
เห็นหลี่รุ่ยใช้สถานะตนข่มขู่อวี้เชียนเสวี่ย มู่เหนี่ยนซีก็โมโหเป็นอย่างมาก หยิบกระบี่เตรียมจะพุ่งไปจัดการนางที่จวนลั่วหยางอ๋อง แต่ถูกอวี้จิงเหลยห้ามปรามเอาไว้
“เหนี่ยนซี เจ้าไม่ต้องกังวลใจไป เจ้าสำเร็จถึงขั้นราชัน ต่อให้นางไปฟ้องเจ้า อย่างมากชื่อเสียงตระกูลอวี้เราก็อาจจะเสียหายเล็กน้อย ส่วนเรื่องอื่นก็ไม่มีอะไร”
วาจาอวี้จิงเหลยทำให้มู่เหนียนยิ่งเสียใจ
ชื่อเสียงตระกูลอวี้หล่อหลอมมาจากชีวิตเลือดเนื้อตั้งเท่าไหร่ จะมาเสียหายเพราะนางได้อย่างไรกัน!
มู่เหนี่ยนซีไม่ยินยอมที่จะมองดูให้เรื่องนี้เกิดขึ้น!
ท่านปู่ดีกับนางยิ่งนัก แล้วนางใจดำทำกับท่านเช่นนี้ได้อย่างไร!
“เพราะข้าไม่ดีเอง ข้าทำให้ตระกูลอวี้ต้องลำบากไปด้วย!”
มู่เหนียนก้มหน้าลงต่ำ หยาดน้ำตาหยดลงมาอาบแก้ม
ในตอนนั้นเอง ผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยถูกยื่นมา เมื่อนางเงยหน้าขึ้นเจออวี้เฟยเยียนที่ยืนอยู่หน้านาง
“ท่านป้าสาม อย่าเสียน้ำตาให้กับเศษคนชั่วช้า ไม่คุ้มค่าหรอกเจ้าค่ะ! อีกอย่าง ชื่อเสียงลาภยศล้วนเป็นของนอกกาย ตระกูลอวี้เราเป็นตระกูลราชนิกุลที่สูงศักดิ์ที่สุดแห่งต้าโจวแล้ว จึงไม่ต้องเกรงว่าจะแปดเปื้อนด้วยเรื่องเพียงน้อยนิดหรอกเจ้าค่ะ!”
หลี่รุ่ย เจ้าจะข่มขู่ตระกูลอวี้ ปัญญาอ่อนไปแล้วหรือเปล่า
คำปลอบโยนของอวี้เฟยเยียน ทำให้สภาพจิตใจของมู่เหนี่ยนซีดีขึ้นมาก
“แต่ว่า นางจะกราบทูลฝ่าบาท เช่นนี้แล้วจะทำให้ฝ่าบาททรงเกิดความเคลือบแคลงพระทัยหรือไม่นะ”
คำถามนี้กลายเป็นหน้าที่ของซย่าโหวฉิงเทียนตอบคำถามนี้แทน
“เสด็จพี่ทรงรู้เรื่องนี้ตั้งนานแล้ว ข้าได้กราบทูลพระองค์เรียบร้อย!”
คราวนี้ ทำเอาสมาชิกของตระกูลอวี้อึ้งกิมกี่ไปตามๆ กัน
หลินเจียงอ๋อง พวกท่านพี่น้องความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกันจริงๆ นะ นี่ท่านคุยกับเสด็จพี่ท่านทุกเรื่องเลยหรืออย่างไรกันหา!
“เช่นนั้นฝ่าบาททรงตรัสว่าอย่างไรบ้าง”
อวี้เฟยเยียนสนใจที่สุด ก็คือข้อนี้
“ข้านำบันทึกรายละเอียดของคดี รวมทั้งนำตัวพยาน คำให้การทั้งหมด ถวายให้กับเสด็จพี่ เสด็จพี่ยังทรงชื่นชมท่านป้าสามว่าเป็นสตรีผู้กล้าหาญเปี่ยมด้วยน้ำใจ”
ได้ฟังสิ่งที่ซย่าโหวฉิงเทียนพูด ในที่สุดอวี้เชียนเสวี่ยและมู่เหนี่ยนซีก็วางใจ
สายตาที่อวี้เชียนเสวี่ยจ้องมองซย่าโหวฉิงเทียน ยิ่งแตกต่างจากเมื่อก่อนขึ้นไปอีก
หลินเจียงอ๋องผู้นี้ เพื่อเสี่ยวเยียนเยียนแล้ว เขาทุ่มเททั้งกายใจไปมากมาย ยินยอมที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่าง!
สืบเรื่องราวเกี่ยวกับคดี ตามหาพยาน เขียนคำให้การ…
สามเรื่องนี้ กล่าวลอยๆ นึกว่าเป็นเรื่องง่าย แต่คดีนี้เกิดขึ้นมาหลายปี หากจะตระเตรียมทุกอย่างให้เรียบร้อย นับเป็นเรื่องที่ยากลำบากไม่น้อย!
ฝ่าบาททรงวางพระทัยและโปรดปรานหลินเจียงอ๋องเป็นที่สุด ครานี้ซย่าโหวฉิงเทียนออกหน้าด้วยตัวเอง ฝ่าบาทจะต้องทรงเชื่อแน่ จะไม่เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในตระกูลอวี้อย่างแน่นอน
ซึ่งก่อนหน้านี้ซย่าโหวฉิงเทียนมิได้เอ่ยปากอะไรออกมา แต่กลับแอบไปจัดการเรื่องทั้งหมดจนเรียบร้อย เขาช่างรอบคอบ ไตร่ตรองเรื่องราวได้อย่างรอบด้าน ยอดเยี่ยมยิ่งนัก
ในใจของอวี้เชียนเสวี่ย สับสนเป็นที่สุด
ด้านหนึ่งก็คือความสุขของหลานสาว อีกด้านก็คือบุญคุณของซย่าโหวฉิงเทียน
เป็นสิ่งที่เลือกยากจริงๆ!
แต่ทว่า ลึกๆ ในใจแล้ว อวี้เชียนเสวี่ยก็รู้สึกซาบซึ้งใจในตัวซย่าโหวฉิงเทียนยิ่งนัก
หากมิใช่เพราะเรื่องอวี้เฟยเยียนละก็ อวี้เชียนเสวี่ยคิดว่าตนเองจะต้องคบหาซย่าโหวฉิงเทียนฉันมิตรอย่างแน่นอน
หลี่รุ่ยมาคอยอยู่ ณ สถานที่เขียนลงในเทียบเชิญ แต่ทว่ารอแล้วรอเล่า ก็ไม่เห็นท่าว่าอวี้เชียนเสวี่ยจะมาเลยแม้แต่น้อย
เกิดอะไรขึ้นนะ
หรือว่าเขาไม่สนใจชื่อเสียงตระกูลอวี้เลยหรืออย่างไรกัน
ถึงแม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมานาน แต่หลี่รุ่ยก็ยังคงไม่ล้มเลิก ยังคงรอคอยอยู่เช่นเดิม
สุดท้าย อวี้เชียนเสวี่ยที่นางรอคอยไม่มา กลับเป็นพวกนักเลงอันธพาลมาแทน
“เจ้าคนชั้นต่ำปล่อยข้าเดี๋ยวนี้นะ! ข้าคือพระชายาแห่งลั่วหยางอ๋อง…”
หลี่รุ่ยจ้องมองชายสามสี่คนด้วยอาการตื่นตระหนก ตกใจขวัญเสียเป็นอย่างมาก
นางลักลอบออกมาจากจวน จึงพามาเพียงแค่สาวใช้ กระทั่งองครักษ์ก็ไม่ได้พามา ดังนั้นจึงถูกใครบางคนเล่นงานเข้าให้
“พระชายาอย่างนั้นหรือ พวกเราก็มาหาท่านนี่แหละ!”
หลี่รุ่ยไหนเลยจะเป็นคู่ต่อสู้ของพวกมัน ไม่นานก็มีเสียงร่ำไห้กรีดร้องเล็ดลอดออกมาจากในห้อง สุดท้ายหลี่รุ่ยก็ถูกอุดปาก เสียงนั้นจึงค่อยๆ เบาลง
รอจนกระทั่งประตูถูกคนถีบออก ในขณะที่หลี่รุ่ยกำลังนั่งคร่อมอยู่บนร่างของชายคนหนึ่ง ซึ่งชายผู้นั้นกำลังดิ้นไปมา
“ท่านอ๋อง ดูนั่นสิเพคะ…”
เม่ยเหนียงประคองท้องตนเอาไว้ แล้วชี้ไปที่หลี่รุ่ยหน้าตาตื่น
“พระชายามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไรกัน สวรรค์ พระชายาทรงทำเรื่องเช่นนี้ลับหลังท่านอ๋องได้อย่างไรกัน!”
เม่ยเหนียงรู้สึกว่าจวนอ๋องอุดอู้นัก ซย่าโหวอี้จึงพานางมาเดินเล่นข้างนอก ทั้งยังจัดรถม้าคอยดูแลนางตลอดเวลา
คนทั้งสองเพิ่งจะก้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยมก็พบกับสาวใช้ข้างกายพระชายา เมื่อเม่ยเหนียงเค้นหนักเข้า หน้าตาของนางตื่นตระหนกสีหน้ามีพิรุธ ซย่าโหวอี้จึงมาดูให้เห็นด้วยตาตนเอง ใครจะคาดคิดว่าจะจับได้คาหนังคาเขา
“หลี่รุ่ย หญิงแพศยาหน้าไม่อาย!”
ถูกพระชายาสวมเขา ทำให้ซย่าโหวอี้โกรธจนแทบจะกระอักเลือด
แต่หลี่รุ่ยราวกับว่าไม่ได้รับรู้ถึงสถานการณ์อันตรายของตนเองเลยแม้แต่น้อย ยังคงออกแรงเคลื่อนไหว ปากก็พร่ำร้องว่า พี่ชายที่แสนดี
คราวนี้ทำให้ซย่าโหวอี้อกแทบจะแตกตาย
“ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ซย่าโหวอี้ร้องตะโกน ว่าแล้วก็ชักกระบี่ออกมาแทงไปที่ร่างของหลี่รุ่ย
แต่น่าเสียดาย วิชากระบี่ของซย่าโหวอี้อ่อนหัด จึงแทงไปถูกเพียงไหล่หลี่รุ่ยเท่านั้น
เมื่อได้ลิ้มรสถึงความเจ็บปวด ในที่สุดหลี่รุ่ยก็ได้สติขึ้น
นางก้มมองเสื้อผ้าของตนเองที่หลุดลุ่ยไม่เรียบร้อย กำลังทำเรื่องฉันสามีภรรยากับชายอื่น นางไม่ได้รู้สึกถึงเจ็บปวดจากบาดแผลที่ถูกแทงแม้แต่น้อย นางกำลังตะลึงงัน
“ท่านอ๋อง ข้าถูกใส่ร้าย! มีคนต้องการให้ร้ายข้า!”
หลี่รุ่ยพยายามที่จะลุกขึ้น แต่ทว่าเมื่อชายใต้ร่างของนางขยับตัว ฤทธิ์ยาในร่างนางก็กำเริบขึ้นอีกครั้ง นางร้องแสดงความต้องการเสียงหวาน
“เจ้า นังแพศยาหญิงไร้ยางอาย!”
ซย่าโหวอี้ความโกรธแค้นสุมอกจนธาตุไฟเข้าแทรก ล้มทรุดลงที่พื้น น้ำลายฟูมปากหมดสติไปทันที
“ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที!”
เม่ยเหนียงตะโกนร้องเรียกให้คนช่วย ไม่นานก็เรียกคนทั้งโรงเตี้ยมเข้ามา
กระทั่งองครักษ์หามลั่วหยางอ๋องออกไป เม่ยเหนียงจึงทิ้งกำไลทองลงที่พื้นข้างๆ ร่างชายสามสี่คนนั้น
“นี่คือรางวัลพวกเจ้า! ทำได้ดีมาก!”
มองเลยไปที่หลี่รุ่ยที่ยังคงเสพสุข เม่ยเหนียงลูบเครื่องประดับบนศีรษะของนางแผ่วเบา แล้วหัวเราะออกมาอย่างมีจริตจะกร้าน
“ลูกมีแล้ว แต่ตำแหน่งพระชายาน่ะสิ ยังไม่มี!”
มีเพียงแต่หลี่รุ่ยกระเด็นจากตำแหน่ง นางจึงจะขึ้นแทนอย่างไร้กังวล!
คุณหนูผู้เกิดในตระกูลสูงศักดิ์ ไหนเลยจะมาต่อสู้กับเม่ยเหนียงผู้ที่เติบโตมาจากหอนางโลมได้เล่า!
เรื่องพระชายาลั่วหยางอ๋องคบชู้สู่ชาย ทำให้ลั่วหยางอ๋องพิโรธ กลายเป็นเรื่องฉาวโฉ่ที่สุดแห่งปีที่แพร่สะพัดไปอย่างรวดเร็ว
จากการตรวจของหมอหลวง ลั่วหยางอ๋องเป็นอัมพาต ไม่มีโอกาสจะยืนขึ้นมาได้อีก ยิ่งมิต้องพูดถึงว่าจะได้คั่วสตรีอีกเลย
หลังจากที่ทรงทราบข่าวนี้ ซย่าโหวจวินอวี่ออกราชโองการลงโทษตายแก่หลี่รุ่ย
ส่วนตระกูลหลี่ก็พลอยเดือดร้อนไปด้วย ถูกลดขั้นแล้วลดขั้นอีก
สำหรับเม่ยเหนียงและลูกในครรภ์ของนาง ไม่นานก็สืบรู้ได้ว่าทารกในครรภ์ไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขซย่าโหวอี้ เพราะซย่าโหวอี้เมื่อครั้งยังเยาว์วัยเคยได้รับบาดเจ็บ ทำให้มิอาจสืบตระกูลได้ ฉะนั้นจุดจบของเม่ยเหนียงจึงต้องตายสถานเดียว
หลังจากขันทีประกาศราชโองการให้ซย่าโหวอี้ได้รู้ เดิมอาการยังทรงๆ อยู่ เมื่อเป็นอัมพาตยิ่งอั้นปัสสาวะ อุจจาระไม่อยู่ กลายเป็นอัมพาตหนักขึ้นไปอีก
ซย่าโหวจวินอวี่ให้คนนำทรัพย์สินของจวนลั่วหยางอ๋องออกมานับ แล้วแบ่งแจกจ่ายให้กับหญิงที่ซย่าโหวอี้ฉุดมาแล้วให้พวกนางแยกย้ายกลับบ้าน
ขณะนี้ในจวนลั่วหยางอ๋อง เหลือเพียงแค่บ่าวไพร่เพียงไม่กี่คนคอยดูแลเขา
ซย่าโหวจวินอวี่จัดการเช่นนี้ ทำให้เกิดเสียงสะท้อนไปถึงประชาชน ทุกคนต่างก็ชื่นชมว่าเป็นฮ่องเต้ที่ดี