บทที่ 1737 - อสูรศิลาเพลิง ประตูเบิกทางสู่ขุมสมบัต

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

AST
  บทที่1737 – อสูรศิลาเพลิง ประตูเบิกทางสู่ขุมสมบัติ
  เสียงที่หนักแน่นและกระทึกทำให้จิตใจของทุกคนสั่นไหวมันเหมือนกับเสียงบรรเลงเพลงลึกลับที่ทำให้ทุกคนเกิดความรู้สึกเชื่องช้า
  โชคดีที่ทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ใช่คนธรรมดาพวกเขารีบขยายพลังปราณจิตตัวต้านทานพลังที่ถาโถมเข้าใส่ แม้ว่าจะป้องกันได้ไม่สมบูรณ์ แต่อย่างน้อยพลังที่หลงเหลือก็ไม่อาจทำอะไรพวกเขาได้
  คลื่นพลังที่แผ่ซ่านออกมาเป็นคลื่นพลังในรูปแบบเดียวกับม่านประตูทางเข้าเส้นทางมังกรการุณแห่งแดนทะเลเหนือ แต่มาในรูปแบบพลังที่เล็กกว่า ส่วนเสียงสั่นสะเทือนให้ความรู้สึกเหมือนวัตถุคล้ายหินขนาดมหึมาที่กำลังระเบิดอยู่ใต้ดิน
  อสูรสยบมังกรค่อยๆย่างกรายออกไปข้างหน้าทันใดนั้น เบื้องหน้าของมันในระยะ 100 เมตร ปรากฏให้เห็นเป็นหมียักษ์ขนาดใหญ่ ร่างกายเปรอะเปื้อนไปด้วยหินโคลน แขนขนาดมหึมาของมันแหว่งลงกระแทกพื้นส่งผลให้ภูเขาขนาดเล็กที่อยู่ด้านข้างพังทลายลง
  อสูรศิลาเพลิง!!!
  ชิงสุ่ยผงะเล็กน้อยดูเหมือนอสูรข้างหน้าจะเกิดจากหินโคลนที่ถูกแผดเผาภายใต้เพลิงหฤทัยแห่งโลก จากนั้นมันก็ค่อยๆดูดซึมพลังควบแน่นจนกลายเป็นแก่นแท้แห่งสวรรค์และโลก หลังจากใช้เวลาอีกช่วงหนึ่ง มันเริ่มมีความสามารถในการเรียนรู้พลังปราณจิตซึ่งอาจจะมีผู้ใช้กับดักหรือผู้ฝึกฝนวิญญาณเป็นตัวประสานพลังให้
  ผู้คนเหล่านั้นจะทำการปลูกฝังจิตสำนึกเข้าไปโดยตรงฉะนั้นมันจึงฟังคำสั่งผู้ฝึกฝน และอาศัยอยู่ที่นี่โดยไม่ขยับเขยื้อน และยังคงจดจำได้ว่าหน้าที่ของมันจะตื่นขึ้นก็ต่อเมื่อมีผู้บุกรุกย่างกรายเข้าใกล้
  นั่นก็หมายความว่าอสูรศิลาเพลิงตัวนี้เป็นอสูรที่ไร้ชีวิตวิธีเดียวที่จะกำราบมันลงได้คือการทำลายมันให้ป่นปี้ แม้วิธีการอาจจะดูเรียบง่าย แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถทำได้สำเร็จ
  แม้ร่างกายของมันจะสร้างขึ้นจากหินโคลนทรายแต่เจ้าอสูรศิลาเพลิงก็ถูกขัดเกลาจากเพลิงหฤทัยแห่งโลก ฉะนั้นร่างกายของมันจึงแข็งแกร่งไม่ต่างอะไรจากก้อนแร่อุกกาบาต อีกทั้งยังได้รับอิทธิพลจากธาตุหิน ที่หล่อหลอมจนร่างกายของมันแข็งแกร่ง มันจึงสามารถสลายพลังโจมตีที่รุนแรงได้โดยที่ร่างกายของมันแทบไม่เป็นอะไรเลย
  ชิงสุ่ยที่แทบจะไม่รู้เรื่องของมันจึงไม่รู้วิธีการจัดการกับเจ้าอสูรตัวนี้มันจะดีกว่านี้มากถ้าหากผู้พิทักษ์ขุมสมบัติเป็นสัตว์อสูรมีชีวิต มิใช่สัตว์อสูรจำลอง การที่มันไม่มีจุดอ่อน ย่อมไม่ใช่เรื่องดี
  แต่สิ่งที่ชิงสุ่ยรับรู้ได้นอกจากความทนทานของร่างกายที่แข็งแกร่งดุจหินอุกกาบาตเขาก็รู้ทันทีว่าร่างกายของมันได้ดูดซับเปลวเพลิงหฤทัยแห่งโลกเพราะความร้อนแผดเผาที่ส่งผ่านออกมา นั่นก็หมายความว่าร่างกายของมันมีความสามารถในการทนความร้อนแทบจะสมบูรณ์
  สุ่ยหยุนเฟิงเองก็ตกใจไม่ใช่น้อยเขาเดินตรงออกมาข้างหน้าพร้อมกับยื่นมือออกไปแตะมือของชิงสุ่ย พร้อมกับปรากฏน้ําใสๆหยดลงบนปลายนิ้วชิงสุ่ย
  ชิงสุ่ยรับรู้ถึงคลื่นพลังแห่งความสดชื่นที่ปัดเป่ากลิ่นความร้อนโดยรอบทันที
  หฤทัยแห่งวารีจันทรา!!
  สุ่ยหยุนเฟิงโบกสะบัดมือพร้อมปรากฏให้เห็นเป็นหยดน้ำจำนวนมากพุ่งถาโถมเข้าใส่สัตว์อสูรศิลาเพลิง
  โฮกกกก!!
  เสียงคำรามขู่ร้องดังสั่นสะเทือนไปทั่วแผ่นดินในธาตุทั้งห้า น้ำคือศัตรูตัวฉกาจของไฟ ฉะนั้นความสามารถของสุ่ยหยุนเฟิงจึงมีโอกาสกำราบสัตว์อสูรธาตุไฟตัวที่อยู่เบื้องหน้า
  ตูมมมมมม!! ไอลีนโนเวล
  คลื่นน้ำระเบิดสาดกระเซ็นไปทั่วพื้นที่ทันทีที่สัมผัสเข้ากับตัวของสัตว์อสูรศิลาไอระเหยที่เกิดขึ้นแตกตัวอย่างต่อเนื่องกลายเป็นม่านหมอกหนา ราวกับกลุ่มไอน้ำที่ออกมาจากเรือกลไฟ
  ชิงสุ่ยรู้สึกได้ว่าพลังงานความร้อนในตัวของเจ้าอสูรศิลาเพลิงลดลงอย่างฉับพลันไอน้ำที่เกิดขึ้นโดยรอบกำลังกดดันพลังของศัตรู เขาจึงรีบเรียกเจ้าอสูรสยบมังกรให้พุ่งเข้าโจมตีเจ้าอสูรศิลาเพลิง
  ชิงสุ่ยอยากรู้ว่ากรงเล็บของเจ้าอสูรสยบมังกรจะสามารถสร้างความเสียหายให้กับศัตรูได้มากน้อยเพียงใด
  ในชั่วพริบตาเจ้าอสูรสยบมังกรพุ่งตรงเข้าไปหาอสูรศิลาเพลิง
  ในแง่ของความคล่องตัวเจ้าอสูรศิลาเพลิงถือเป็นรองเจ้าอสูรสยบมังกรฉะนั้น โอกาสในการโต้ตอบของมันก็ย่อมต้องมีน้อยลง
  ตูมมมมม!!
  โฮกกกกก!!
  แต่ในชั่วพริบตาเจ้าอสูรสยบมังกรก็ถูกแรงกระแทกอัดปลิวกลับมา ดวงตาของชิงสุ่ยชายตามองดูพื้นที่ทั้งหมด และแล้วเขาก็พบชิ้นส่วนซากศพมนุษย์จำนวน 2 คน
  อสูรศิลาเพลิงมีขนาดใหญ่พอๆกับเนินเขาเล็กๆเห็นได้ชัดว่าวงเล็บของเจ้าอสูรสยบมังกรสามารถทำร้ายมันได้ แต่เนื่องจากมันเป็นสัตว์อสูรที่ไร้ชีวิต มันจึงไม่มีความรู้สึกใดๆ และไม่มีเลือดให้เห็น มีเพียงแค่ชิ้นส่วนเศษหินเท่านั้นที่ถูกทำลายลง
  สุ่ยหยุนเฟิงเองก็เข้าโจมตีแต่ดูเหมือนมันจะไร้ผล ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับการโจมตีของเจ้าอสูรสยบมังกร หากศัตรูของเจ้าอสูรสยบมังกรเป็นเพียงแค่มนุษย์ ร่างกายของมนุษย์ผู้นั้นก็คงถูกฉีกจนแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดี
  ดวงตาของชิงสุ่ยทอแสงเปล่งประกายในเมื่อการโจมตีของสัตว์อสูรที่เขาใช้ก่อให้เกิดผล ถ้าเช่นนั้นทักษะล่าสังหารของเขาก็ต้องเกิดผลเช่นกัน
  เขาเรียกมังกรไอยราเกล็ดทองคำในร่างสัตว์อสูรออกมาพร้อมกับปลดปล่อยวชิระอสูรจำนน
  ปราณกระบี่วชิระ!!
  สลายความเร็ว!!
  เจ้าอสูรขนาดเท่านั้นเขาถูกลดความเร็วลงอย่างรวดเร็วในขณะที่เจ้าอสูรสยบมังกรก็ยังเข้าถาโถมโจมตีอย่างต่อเนื่อง ชิงสุ่ยเองก็เข้าร่วมการต่อสู้โดยการกระหน่ำโจมตีโดยใช้ง้าวทองทะลวงศัตรูซึ่งให้พลังโจมตีไม่ต่างอะไรจากกรงเล็บของเจ้าอสูรสยบมังกรเลย
  ชิงสุ่ยวางค่ายกลแล้วเปิดการใช้งานกฎแห่งพระราชวัง9 เทวา ส่งผลให้เจ้าอสูรศิลาเพลิงถูกโจมตีโดยไม่ทันได้ตั้งตัว และการโจมตีก็เกิดขึ้นรอบตัวเหมือนวังวนไม่มีวันจบ ยิ่งไปกว่านั้น ชิงสุ่ยอยากได้ปลดปล่อยเถาวัลย์อสูรกระหายเลือดออกมาพันธนาการการเคลื่อนไหวของเจ้าอสูรศิลาเพลิงเป็นครั้งคราว
  ตูมมม!!
  เปลวเพลิงขนาดใหญ่ลุกท่วมร่างกายเจ้าอสูรศิลาเพลิงเผาไหม้ทุกสิ่งอย่างในตอนแรกชิงสุ่ยต้องการจะเรียกเจ้าแมงมุมอสูรเศียรมังกร และวิหคอัคคีทมิฬออกมาช่วยต่อสู้ แต่สุดท้ายเขาก็ตัดใจไม่เรียกมันออกมาเพราะเขายังไม่อยากเปิดเผยความสามารถที่แท้จริง นอกจากนี้ใยแมงมุมของเจ้าแมงมุมอสูรเศียรมังกรแพ้ทางไฟ และไฟของเจ้าอสูรศิลาเพลิงก็ไม่ใช่ไฟธรรมดา ฉะนั้นหากเจ้าแมงมุมอสูรถูกเรียกออกมา จุดจบของมันก็คงเป็นความพ่ายแพ้อยู่ดี
  ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสัมพันธ์กันองค์ประกอบของสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตล้วนเกิดขึ้นจากธาตุทั้ง 5 ฉะนั้นทุกอย่างย่อมมีการแพ้ทางซึ่งกันและกัน ความแข็งแกร่งจริงเป็นสิ่งจำเป็น เหมือนดังคำกล่าวที่ว่าน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ ต่อให้ธาตุน้ำจะชนะธาตุไฟแต่ถ้าหากมีน้ำแค่หยดเดียวก็ไม่อาจตัดไฟได้ แต่ต่อให้เป็นไฟที่ผมจะนำก็ไม่อาจเผาผลาญน้ำในมหาสมุทรให้หมดสิ้นได้เช่นกัน
  ตูมมมมมมม!!
  หลังจากการโจมตีอย่างต่อเนื่องผ่านไป1 ชั่วโมง ชิงสุ่ยก็สามารถระเบิดชิ้นส่วนบนร่างกายขนาดเล็กของมันออกมาได้ รวมทั้งทำลายขาข้างหนึ่งของมันจนมันต้องล้มลงไปหมอบคลานอยู่บนพื้น
  แม้ว่าร่างกายของเจ้าอสูรศิลาเพลิงจะเป็นร่างกายที่ไร้ชีวิตแต่มันก็อยู่ได้บนโลกนี้โดยอาศัยจุดที่เชื่อมต่อกันบนร่างกายทั้งหมด 4 จุด ร่างกายของมันก็เหมือนมนุษย์ทั่วไป หากสูญเสียขาไปข้างหนึ่งความสมดุลก็จะขาดหาย ร่างกายก็จะพังทลาย กลายเป็นเต่าที่นอนหงายรอถูกสังหาร
  ชิงสุ่ยและกลุ่มของเขากำลังยืนดูร่างของเจ้าอสูรศิลาเพลิงกำลังผุกร่อนแม้ว่าตอนนี้มันจะยังมีการเคลื่อนไหว แล้วยังไม่แตกสลายทั้งหมด แต่เมื่อขาข้างหนึ่งถูกฉีกขาด พลังปราณจิตที่หล่อหลอมร่างกายของมันก็เริ่มรั่วไหลออกมาสู่โลกภายนอก และหากพลังปราณจิตรั่วไหลออกจากร่างกายจนหมดสิ้น มันก็จะกลายเป็นเพียงก้อนหินกองยักษ์ไม่อาจกลับมาขยับเขยื้อนได้อีก
  เหตุการณ์จะจบลงง่ายดายเช่นนี้ไม่ได้หากขาดหฤทัยแห่งวารีจันทราไปหยดน้ำที่เกิดขึ้นแม้จะดูเป็นเหตุการณ์เล็กๆแต่มันคือตัวแปรสำคัญในการเข้าทำลายเปลวเพลิงหฤทัยที่เป็นดังจิตวิญญาณของเจ้าอสูรศิลาเพลิง เมื่อจุดสำคัญถูกโจมตีตั้งแต่เริ่ม มันจึงทำได้เพียงแค่ยื้อเวลาต่อสู้ และรอวันตายเพียงเท่านั้น