AST
บทที่1738 – พระราชวังเก้าเทวา ภาพวาด แรงกดดันที่ถาโถม
เจ้าอสูรศิลาเพลิงค่อยๆกลายสภาพกลายเป็นกองภูเขาหินเล็กโดยที่ด้านหลังของมันปรากฏให้เห็นเป็นกำแพงสีทองทอแสงเปล่งประกาย หากการคาดเดาของกลุ่มชิงสุ่ยไม่ผิดพลาด ประตูแห่งนี้ควรเป็นประตูที่นำพวกเขาเข้าสู่ห้องเก็บสมบัติ
ในขณะเดียวกันทุกสายตากำลังจับจ้องมาที่ชิงสุ่ย แม้แต่สุ่ยหยุนเฟิงเองก็ตาม เขาคือคนหนึ่งที่เข้าใจ และรับรู้ได้ว่าการต่อสู้ครั้งนี้ ตัวเขาเองก็ยังต้องพึ่งพาชิงสุ่ยในการกำราบเจ้าอสูรศิลาหิน หากการต่อสู้มีเพียงแค่กลุ่มของเขา โอกาสในการเอาชนะเจ้าอสูรศิลาเพลิงมันแทบเป็นไปไม่ได้ ต่อให้เขาสามารถหยุดวังวนพลังงานเพลิงในตัวของเจ้าอสูรแต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะสามารถล้มมันได้
มันเหมือนพรจากสวรรค์ที่ทำให้เขาตัดสินใจพยายามกลายเป็นมิตรสหายของเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้าเด็กหนุ่มที่เขาไว้ใจมากที่สุด
และจากการต่อสู้พิสูจน์ได้แล้วว่าชิงสุ่ยนั้นเก่งกว่าเขา มันไม่ใช่ความรู้สึกอิจฉาริษยา แต่มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่อธิบายได้ โดยปกติผู้คนจะไม่ชอบเห็นคนที่โดดเด่นกว่าตน แต่สำหรับเขาตอนนี้มันแทบจะเป็นความรู้สึกที่ตรงกันข้าม
”น้องชายเดี๋ยวพวกเราจะเป็นคนปกป้องทางเข้าแห่งนี้เอง”สุ่ยหยุนเฟิงกล่าวพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้า
ชิงสุ่ยรู้ว่าสุ่ยหยุนเฟิงกำลังคิดอะไรอยู่ตัวของชิงสุ่ยนั้นแทบจะเป็นคนเดียวที่เขาห่ำหันกับอสูรศิลา ฉะนั้นสุ่ยหยุนเฟิงจึงคิดว่าผู้ที่ควรได้รับสมบัติคือชิงสุ่ย ท้ายที่สุดแล้ว ไม่ว่าการค้นหาครั้งนี้จะประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่ทุกการกระทำของเขาก่อให้เกิดคำถามมากมาย
ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่คนที่โลภมากหวังสมบัติตราบใดที่เขายังมีชีวิตอยู่โอกาสที่จะได้ครอบครองสมบัติยังมีอีกมาก ในขั้นต้น เขาคิดว่าการพบเจอกับชิงสุ่ยนั้นเปรียบเสมือนการได้รับสมบัติอันแสนหายาก หนึ่งคือการที่เขาสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยที่ทำให้ตัวของสุ่ยหยุนเฟิงตรอมใจค้นหาได้สำเร็จ แค่นี้ก็เป็นสมบัติที่เขาได้รับมากพอแล้ว
ชิงสุ่ยจ้องมองสุ่ยหยุนเฟิงและกล่าวว่า”พี่ชาย ทำไมเราไม่เข้าไปด้วยกันล่ะ? ก็อย่างที่ท่านรู้ การอยู่ร่วมกันย่อมทำให้เราแข็งแกร่ง ฉะนั้นการแยกกันย่อมไม่เกิดผลดีอย่างแน่นอน”
สุ่ยหยุนเฟิงพยักหน้าพร้อมกับรอยยิ้มหลังจากนั้นเขาก็เดินเข้าไปในประตูแสงสว่างพร้อมกับชิงสุ่ย
และนี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ชิงสุ่ยรับรู้ถึงพลังปราณจิตอันมหาศาลคล้ายกับอยู่ในวิหารเทพเจ้าทันทีที่เขาก้าวออกมาจากม่านพลัง แรงกดดันพร้อมกับกลิ่นอายที่เยือกเย็นก็ถาโถมเข้าใส่กลุ่มของชิงสุ่ย มันเป็นความรู้สึกที่ไม่อธิบายเป็นคำพูดได้ ในขณะเดียวกันเขาก็รับรู้ถึงกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์แห่งเทวที่อยู่ภายใน
ชิงสุ่ยมองไปรอบๆเพื่อตรวจสอบสภาพแวดล้อมทั้งหมดและพบว่าสถานที่แห่งนี้ช่างเป็นสถานที่ที่ใสสะอาดไม่มีแม้แต่สิ่งใดเลย
”ที่นี่ควรจะเป็นห้องเก็บสมบัติแต่ทำไมที่นี่กลับไม่มีอะไรเลย?” ประมุขพระราชวังสุริยา หลัว ชิงเฉิงกล่าวถามขณะที่เธอจ้องมองดูสภาพแวดล้อมโดยรอบ novel-lucky
”มีกระบี่อยู่ตรงนั้น!!”
มูหยุนชิงเก้อชี้ไปที่ปลายกำแพงอีกฟากหนึ่งของห้อง หรืออาจเรียกได้ว่ามันเป็นห้องส่วนใน สิ่งเดียวที่ภูเขามองเห็นและรับรู้ก็คือภายในห้องชั้นในเต็มไปด้วยห้องเล็กๆมากมาย และบนกำแพงก็มีกระบี่แขวนเอาไว้
”ไปดูกันเถิด”ชิงสุ่ยนำพากลุ่มคนของเขาเดินตรงเข้าไปห้องส่วนใน
”รอก่อน!!ลองมองดูใต้เท้าสิ!!”ชิงสุ่ยกล่าวเตือนทุกคนอย่างรวดเร็ว
บริเวณใต้ฝ่าเท้าปรากฏให้เห็นเป็นลวดลายภาพวาดสี่เหลี่ยมจัตุรัสแต่ถ้าหากไม่ทันสังเกตก็จะมองไม่เห็นมัน
”ชิงสุ่ยนี้มันภาพวาดพระราชวังเก้าเทวา!!”มูหยุนชิงเก้อกล่าวด้วยความประหลาดใจ
”ดูเหมือนว่าขุมทรัพย์จะยังคงอยู่สิ่งที่เราเห็นทั้งหมดเปรียบเสมือนภาพลวงตา มันจะปรากฏให้พวกเราเห็นก็ต่อเมื่อเราสร้างรูปแบบพระราชวังเก้าเทวาตามที่อยู่เบื้องล่าง มันจะเป็นกุญแจพาเราไปหาสมบัติ”ชิงสุ่ยกล่าวขณะมองดูภาพวาดที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา
”พี่ชายท่านมากับข้า”ชิงสุ่ยกล่าวขณะหันไปมองสุ่ยหยุนเฟิง เมื่อชิงสุ่ยมองดูสีหน้าของสุ่ยหยุนเฟิงเขาก็รู้ทันทีว่าชายคนนี้คงจะไม่รู้เรื่องภาพวาดพระราชวังเก้าเทวา แน่นอนว่ามันคือเรื่องที่ค่อนข้างซับซ้อน ผู้ที่รู้เรื่องและสามารถไขกลไกมันได้จึงมีเพียงแค่หยิบมือ
สุ่ยหยุนเฟิงพยักหน้าแล้วรีบเดินตามชิงสุ่ย
ในอดีตกาลเขาไม่เคยไว้ใจใครนอกจากตัวเองสำหรับคนที่อยู่ในชนชั้นขุนนาง สิ่งเดียวที่ไว้ใจได้คือพลังของตน แต่ตอนนี้เขาได้มอบความไว้ใจที่เขาไม่เคยมีให้ใครแก่ชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยนำกลุ่มของเขาเดินตรงเข้าไปอีกทางนึงเบื้องหน้าเป็นเหมือนห้องที่ถูกตัดขาดออกจากห้องอื่นๆ สถานที่แห่งนี้ดูเหมือนโครงสร้างบ้านที่ว่างเปล่า มีเพียงแค่ภาพวาดแขวนอยู่บนผนัง
มันคือภาพวาดของภูเขาและสายน้ำ!!
ภาพวาดขนาดใหญ่ที่มีภูเขาสูงตระหง่านพร้อมกับธารน้ำไหล ท้องฟ้าเต็มไปด้วยปุยเมฆ พร้อมกับนกอินทรีที่กำลังกางปีกบินถลาลม แต่บริเวณตีนเขากลับเต็มไปด้วยป่าทึบอันแสนมืดมนที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรดุร้าย
หลังจากที่ทุกคนจ้องมองตรงไปที่ภาพวาดชิงสุ่ยเป็นคนแรกที่รู้สึกราวกับว่าเขากำลังทะลุเข้าไปในภาพวาด ภาพวาดเต็มไปด้วยแรงกดดันอันน่าพิศวง และทันทีที่ชิงสุ่ยทะลุเข้าไปในภาพวาด มันให้ความรู้สึกเหมือนท้องฟ้ากำลังถล่มลงมา
ขาทั้งสองข้างกำลังถูกเหน็บชากลืนกินมีเพียงร่างกายของชิงสุ่ยที่ยังคงยืนตระหง่านต้านทานพลังที่ตกกระทบใส่ ในขณะที่สุ่ยหยุนเฟิงและคนอื่นๆกำลังทรุดตัวลงเพราะไม่อาจต้านทานพลังเทวะแห่งเต๋าที่กำลังกดทับพวกเขาได้
ชิงสุ่ยปลดปล่อยพลังเทวะแห่งเต๋าออกมาต้านทานเขาพยายามทำความเข้าใจถึงแรงกดดันมหาศาล และปลดปล่อยมันออกมาเพื่อไม่ให้กลุ่มของเขาต้องทนทุกข์ทรมาน
ชิงสุ่ยทำความเข้าใจพลังที่ถาโถมเข้ามาภายในช่วงเวลาอันสั้นเขารับรู้ถึงภูมิปัญญาที่อยู่ภายในแรงกดดันมหาศาลจากพลังเทวะแห่งเต๋า นี่คงเป็นครั้งแรกที่เขาถูกกลืนกินโดยภาพวาด และเมื่อทำความเข้าใจ จู่ๆ ภาพวาดหยินหยางที่อยู่ในทะเลแห่งปัญญาก็เริ่มหมุนวนขยายตัวเหมือนกำลังจะระเบิด
ภาพวาดหยินหยางกำลังพัฒนา
นี่คือสิ่งที่ชิงสุ่ยรับรู้ภาพวาดหยิน-หยางไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆทั้งสิ้นมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว แต่ในตอนนี้มันกลับเคลื่อนไหวและขยายขนาดครอบคลุมไปทั่วพื้นที่ทะเลแห่งปัญญา ยิ่งไปกว่านั้น ทัศนวิสัย พลังปราณจิต ความสามารถในการฟื้นตัว สภาพร่างกายทั้งหมดก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง
แต่เดิมภาพวาดหยินหยางในทะเลแห่งปัญญาจะคอยทำหน้าที่ในการเพิ่มพูนพลังปราณจิตฟื้นฟูและซ่อมแซมบาดแผลทุกอย่างภายในร่างกาย นอกจากนี้มันยังเปรียบเสมือนศูนย์กลางหลักในการรวบรวมพลังปราณจิต และขยายขอบเขตพลังเพื่อต้านทานพลังจากโลกภายนอก
ในขณะที่ชิงสุ่ยกำลังทำความเข้าใจกับพลังที่กดดัน
เขาเพ่งเล็งภาพวาดแต่พบว่ามีคำสี่คำเขียนจารึกอยู่บนภาพวาด
เพื่อพิชิตโลก!!