บทที่ 274
ทำไมนี่ถึงฟังดูเหมือนคำสารภาพรักเลย
“เหลาหยู! ฟื้นเถอะ” หลานซุนกระซิบ
ร่างกายที่เจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างของมู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะบิดไปบิดมาพร้อมทั้งสั่นเทิ้ม เลือดยังคงไหลออกมาจากร่างของเธอเรื่อยๆและวิญญาณปีศาจก็กระจายไปครอบคลุมทั่วร่างภายในของเธอ สีหน้าของหลานซุนเปลี่ยนไปและอยากที่จะกอดเธอไว้แต่เมื่อเขาพยายามที่จะแตะตัวเธอ จู่ๆเขาก็กระเด็นห่างออกไปไกลด้วยพลังที่ทรงอำนาจ
“นี่มันอะไรกันเนี่ย?” หลานซุนจับไปที่มือที่สั่นเทิ้มของเขาเองอย่างไม่อยากจะเชื่อ!
พลังที่เพิ่มโจมตีเขาเมื่อกี้ไม่เบาไปกว่าพลังอันศักดิ์สิทธิ์ของเขาเลย หรือนี่พลังศักดิ์สิทธิ์ของเหลาหยูจะกลับคืนมาแล้วงั้นเหรอ?!
เขายังไม่ยอมแพ้และเดินตรงเข้าไปอีกครั้ง เขาก็ยังถูกโจมตีปะทะอยู่อีกหลายครั้ง ตอนนี้เขาเห็นแล้วว่าทั่วทั้งร่างของ มู่หรงเสวี่ยถูกห่อไว้ด้วยแสงสีดำราวกับเป็นดักแด้และก่อตัวเป็นก้อนลูกบอลขนาดใหญ่ หลานซุนนวดขมับที่กำลังปวด นี่มันอะไรกันเนี่ย
เขาย้ายบาร์เรียที่ด้านนอกของหอคอยเก้าชั้น
“ไอ้ทุเรศ กล้าดียังไงมาขังข้าไว้ข้างนอก…” เสี่ยวไป๋รีบพุ่งเข้ามาด้วยความโกรธเกรี้ยว
“อย่าเสียงดัง ที่นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” หลานซุนชี้ไปที่ไข่สีดำขนาดใหญ่ที่อยู่บนเตียงและถามออกมา
เสี่ยวไป๋หยุดเตะไปที่หลานซุนและมองไปที่จุดที่เขากำลังมอง
“เจ้าทำอะไรลงไป?” เสี่ยวไป๋ถาม หลังจากหมื่นปีจิตใจของเขาเปลี่ยนไปแล้วหรือไง?!
“ข้าไม่ได้ทำอะไรเลยแล้วอยู่ดีๆนางก็กลายเป็นแบบนี้! เจ้าเป็นคนที่เก่าแก่ที่สุดในยุคโบราณไม่ใช่งั้นเหรอ?! เจ้าก็น่าจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นที่นี่สิ ไม่ใช่เหรอ?” หลานซุนถาม ยังไงซะ เสี่ยวไป๋ก็ยังแก่กว่าเขาและยังเป็นผู้ที่ได้รับสืบทอดมาด้วย
“บ้าเอ๊ย ข้าขอให้เจ้าพานางเข้ามาเพื่อที่จะให้ช่วยไล่ปีศาจออกจากวิญญาณของนางแต่เจ้ากลับบอกว่าเจ้าไม่ได้ทำอะไรเลยงั้นเหรอ?!!”
“ข้าพยายามแล้ว แต่ไม่สำเร็จเลย!”
อะไรคือไม่สำเร็จ แม้ว่าระดับการฝึกตนของเจ้าจะล้มเหลวแต่พลังหยวนที่เป็นของเทพก็ยังมีอยู่นิ นี่ก็แค่ปีศาจฉีตัวน้อยเองไม่ใช่เหรอ? หรือนี่เจ้าแค่เกลียดนางมากเลยใช้โอกาสนี้เพื่อที่จะแก้แค้นนางใช่ไหม?!”
“ข้าบอกว่าไม่ใช่ไง! ข้าจะทำร้ายนางได้ยังไง?” ดวงตาของหลานซุนแวบประกายความรู้สึกอ่อนไหวแล้วไม่นานก็กลับมาเป็นปกติแล้วจึงถามออกมา “บอกข้ามาว่านางเป็นอะไร?” เขารู้สึกว่าเหตุการณ์มันดูคุ้นๆแต่ก็ยังนึกไม่ออก
เสี่ยวไป๋มองไปที่ไข่ใบใหญ่แล้วจึงพูดออกมาช้าๆ “ข้าก็ไม่รู้แต่ข้าได้ยินว่าตอนที่ปีศาจตัวแรกเกิด มันมีไข่สีดำใบใหญ่ออกมา แน่นอนว่าทุกคนต่างก็คิดว่ามันเป็นแค่ตำนาน ไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า เผ่าปีศาจได้สร้างขอบเขตขึ้นมากับดินแดนทั้งสามดังนั้นจนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครรู้เรื่องเหตุการณ์ที่แท้จริง…”
“ปีศาจงั้นเหรอ?” ประกายเย็นชาแวบขึ้นมาในดวงตาของหลานซุนและร่างกายของเขาก็เริ่มเปล่งแสงออกมาอย่างสมศักดิ์ศรี เกิดกลุ่มแสงเล็ก ๆ ที่กำลังถูกควบแน่นระหว่างมือของเขา
สีหน้าของเสี่ยวไป๋เปลี่ยนไปแล้วรีบจับมือของเขาไว้ “นี่เจ้าจะทำอะไร?”
“ข้ายอมให้นางกลายเป็นปีศาจไม่ได้!” หลานซุนพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือไง นางจะตายนะ มันไม่สำคัญกับเจ้าเลยหรือไง?” เสี่ยวไป๋พูด
“แล้วเจ้าจะยอมตายไหมล่ะ?” แสงที่มือของหลานซุนค่อยๆเปล่งแสงมากขึ้น สายตาสับสนมองไปที่ไข่สีดำใบใหญ่
“ถ้านางกลายเป็นปีศาจงั้นเหรอ?! เมื่อหมื่นปีก่อนนางเป็นเทพแต่นางก็ไม่ได้มีจุดจบแบบนั้น แล้วระหว่างเทพกับปีศาจมันจะต่างอะไรกัน…”
“…”
แตกต่างจากดินแดนพายุที่สงบสุข ที่โลกสมัยใหม่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สั่นสะเทือนโลก
องค์กรดำมืดที่โด่งดังได้ประกาศท้าทายดราก้อน พาวิเลี่ยนว่าพวกมันอยากที่จะครองโลกนี้ ไวรัสที่ได้รับการศึกษากระจายจากเมืองหนึ่งไปอีกเมืองหนึ่งอย่างรวดเร็ว ผู้คนที่ยังยืนพูดคุยหัวเราะสนุกสนานอยู่ดีๆก็กลายเป็นซอมบี้ที่ไร้ซึ่งอารมณ์ได้ในพริบตา ความเร็วของการกระจายตัวทำให้เหล่าผู้นำของหลายประเทศไม่มีเวลาจะทันได้ตอบสนองหรือสร้างนโยบายอะไรได้เลย
หลังจากวันสิ้นโลกบางคนติดเชื้อไวรัสเป็นครั้งแรกและบางคนสามารถรวมตัวกันได้เป็นครั้งแรก
มนุษย์ไม่เคยช่วยเหลือกันมากเท่ากับวันนี้เลยและดราก้อนพาวิลเลี่ยนเองก็ได้รับความเสียหายอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเช่นกันซึ่งไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์ซอมบี้ภายนอก แต่ไม่คิดเลยว่าจะเกิดขึ้นจากการที่เพราะพวกเขาไม่รู้ว่ามีคนทรยศเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไร ครึ่งหนึ่งของคนที่อยู่ในดราก้อนพาวิลเลี่ยนที่เมืองหลวงกลายไปเป็นซอมบี้ภายในชั่วข้ามคืนเพราะคนที่ทรยศนำเชื้อโรคเข้ามาแพร่ภายใน และเรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นกับดราก้อนพาวิลเลี่ยนในสาขาจังหวัดอื่นๆด้วยเหมือนกัน นี่เป็นครั้งแรกที่ที่ดราก้อนพาวิลเลี่ยนรวบรวมกำลังเพื่อสร้างเมืองป้องกันขนาดใหญ่เพื่อปกป้องผู้คนที่ไม่ติดเชื้อไว้ในเมือง แน่นอนว่าทุกคนในเมืองต่างก็มีหน้าที่ที่จะต้องทำให้เสร็จในแต่ละวันด้วย
กองกำลังจะรับหน้าที่เรื่องการออกไปหาเสบียง ในวันโลกาวินาศแบบนี้ไม่มีอะไรเป็นสิ่งสำคัญอีกแล้ว มีเพียงอาหารเท่านั้นที่เป็นเรื่องพื้นฐานสำหรับความรอดชีวิตของมนุษย์
นิกายซิ่วเจิ้นเองก็ไม่ได้นิ่งเฉย พวกเขาเองก็ส่งคนมาคอยช่วยดราก้อนพาวิลเลี่ยนด้วยเช่นกัน หลังจากนั้นก็รับผิดชอบในเรื่องการค้นหามนุษย์ที่มีรากแห่งจิตวิญญาณท่ามกลางมนุษย์ทั่วไป หลังจากนั้นพวกเขาก็จะถูกนำตัวมาเพื่อฝึกให้เป็นนักรบคนต่อไป!
โชคดีที่คุณปู่คุณย่าของมู่หรงได้รับการคุ้มกันจากฮวงฟูอี้และคนอื่นๆ พวกท่านจึงไม่ต้องทรมานจากเรื่องความเปลี่ยนแปลงของซอมบี้ อย่างไรก็ตามเมืองที่กว้างใหญ่ก็ทำให้ผู้เฒ่าทั้งสองต้องเสียน้ำตาด้วยเหมือนกัน
ในตอนนี้มู่หรงเสวี่ยไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมดนี้เลย ตอนนี้สติของเธอดูเหมือนจะออกจากร่างไปแล้ว ล่องลอยไปทั่วพร้อมทั้งสงสัยว่าตัวเองอยู่ที่ไหน
วันแล้ววันเล่า เสี่ยวไป๋และหลานซุนไม่ขยับเลยสักนิด พวกเขายังคงยืนอยู่ข้างๆไข่สีดำใบใหญ่ของมู่หรงเสวี่ย
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปและในที่สุดเฟิงจือหลิงก็ทะลุผ่านขึ้นมาสู่ระดับสีม่วงได้แล้ว ตอนที่เขาเข้าไปหาหลานซุนแต่ก็กลับไม่เจอเขาเลย นอกจากนี้ตอนที่เขาไปที่โรงแรมเพื่อจะหาคนที่เหลือและมู่หรงเสวี่ย เจ้าของโรงเตี้ยมก็บอกเขาว่าพวกเพื่อนๆของเขาหายตัวไปหลายวันแล้ว
ลางสังหรณ์ไม่ดีแวบเข้ามาในใจของเฟิงจือหลิงและรีบกลับไปหาน้องสาวตัวเองทันที อย่างไรก็ตามเขาก็พบว่าเธอเองก็ตามหาพวกเขาด้วยเหมือนกัน ตั้งแต่ที่เขาปลีกตัวออกไปฝึกตน เขาก็ไม่ได้ข่าวอะไรเลย พร้อมกันนั้นรองคณบดีที่ทำการประเมินหลินหนานเมื่อวันก่อนก็หายตัวไปด้วยเช่นกัน ไม่เพียงแค่เฟิงจือหลิงเท่านั้นที่ตามหาเขาแต่สำนักหลงหยุ่นเองก็ส่งคนออกไปมากมายเพื่อที่จะตามหาพวกเขาเช่นกันแต่กลับไม่มีข่าวคราวอะไรเลย
เฟิงจือหลิงรู้สึกเจ็บปวดหัวใจและพยายามที่จะไม่คิดไปในด้านที่ไม่ดี เขาออกไปตามหามู่เทียนและคนอื่นๆราวกับคนบ้า เขาไม่รู้เลยว่าจะไปหาที่ไหนแต่รู้แค่ว่าเขาจะหยุดหาไม่ได้และจะต้องหาให้เจอ
นี่ก็ผ่านไปหนึ่งเดือนเต็มแล้วที่มู่เทียนและคนอื่นๆหายตัวไป ความหลงใหลในการต่อสู้ของไอ้หมาบ้าแห่งสำนักหลงหยู่ จางหายไปจนหมดสิ้น ทั้งทางสำนักและตระกูลต่างก็ส่งคนมามากมายเพื่อมาสอบถามเรื่องสถานการณ์ของเฟิงจือหลิง อย่างไรก็ตามเขาเอาแต่ปิดปากเงียบ น้องสาวเขาเองก็เดาไปต่างๆนานา อย่างไรก็ตามเธอเองก็เศร้ามากไม่ต่างกัน ยังไงซะเธอก็ต้องผ่านเรื่องความเป็นความตายกับเพื่อนเหล่านี้มาแล้ว เธอเองก็ไม่ได้รู้สึกดีไปกว่าพี่ชายเท่าไรดังนั้นเธอจึงไม่ได้มีอารมณ์ที่ดีเท่าไรที่จะไปคอยปลอบใจเขา
จนกระทั่งวันหนึ่ง
“เฟิงจือหลิง ข้าไปเจอเจ้ามาสักพักแล้วนะ ทำไมหน้าตาเจ้าถึงโทรมเป็นศพแบบนี้ล่ะ?” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นมา
เฟิงจือหลิงที่กำลังนอนอยู่ที่พื้นหัวใจเต้นรัวแต่เขาก็ไม่กล้าที่จะเงยหน้าขึ้นมอง เขากลัวว่ามันจะเป็นเหมือนเดิมอีก เป็นเพียงภาพลวงตาที่เกิดจากความคิดถึงที่มากเกินไปของเขาเอง
“เป็นอะไรไปล่ะ? ข้าเรียกเจ้าอยู่นะ!” มู่หรงเสวี่ยตบไปที่หัวของเขา
สัมผัสงั้นเหรอ?! เฟิงจือหลิงยกหัวขึ้นมาทันที เมื่อเขาได้เห็นคนที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง เขาไม่อยากที่จะเชื่อ
“หวัดดี! เจ้านี่งี่เง่าจริงๆ ข้าน่าเกลียดขนาดนั้นเลยหรือไง?” มู่หรงพูดออกมาอย่างไม่พอใจแล้วมองไปที่เขาด้วยความสงสัย “ไม่นะ ข้าคิดว่าตัวเองเจ๋งจะตายไป อ่า มันต่างกันขนาดนั้นเลยเหรอ?” เธอยังคงพึมพำต่อไปอีก
เฟิงจือหลิงรีบลุกขึ้นยืนทันที จับไปที่ไหล่ของมู่หรงด้วยความตื่นเต้น “เจ้าคือมู่เทียนจริงๆใช่ไหม?” น้ำเสียงที่พูดออกมาฟังดูไม่อยากจะเชื่อ ในดวงตามีประกายแห่งความหวังพร้อมทั้งตั้งตารอคำตอบจากมู่หรง
มู่หรงเสวี่ยกลอกตา “ก็ข้าไงจะเป็นใครได้อีกล่ะ เจ้าตาไม่ดีหรือไงถึงได้จำข้าไม่ได้ด้วยซ้ำ…”
ดวงตาของเฟิงจือหลิงเบิกตากว้างและเขาก็รีบดึงมู่เทียนเข้ามาในอ้อมกอดตัวเองทันที “เจ้ายังไม่ตาย มันดีจริงๆ…” น้ำเสียงที่ดังออกมาสะอื้น
มู่หรงเสวี่ยรู้สึกได้ถึงความเปียกเย็นๆที่ไหลอยู่ที่คอของเธอ เธอตั้งใจที่จะค่อยๆใช้มือของเธอดันเขาออกเบาๆ “ไร้สาระน่า ข้าจะตายได้ยังไงกันล่ะ…” ในหัวใจของเธอก็ยังรู้สึกอยู่นิดหน่อยเพราะหลินหนานยังไม่ฟื้นเลย
เฟิงจือหลิงไม่รู้ว่าหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเธอไปทำอะไรมาบ้าง ใครๆต่างก็บอกว่าพวกเขาตายไปแล้วและคงจะไม่มีวันได้กลับมาอีก เมื่อวานแม้แต่น้องสาวของเขาเองก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาด้วย บนเส้นทางของถนนชานเมืองคนของสำนักหลงหยู่ที่ถูกส่งออกไปเพื่อทำการค้นหาก็เจอชิ้นส่วนเสื้อผ้าของรองคณบดี
รองคณบดีอยู่ในระดับสีม่วง ทุกคนต่างก็คิดว่ามู่เทียนและรองคณบดีคงจะถูกพลังที่ทรงอำนาจโจมตีและหายเข้าไปในกลุ่มควันแล้ว
เพราะคนของสำนักหลงหยู่เจอการ์ดชีวิตที่แตกหักของรองคณบดีที่อยู่ในห้องของเขาเองในระหว่างที่มู่หรงเสวี่ยและคนอื่นๆที่เพิ่งจะเข้ามาที่สำนัก ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่มีเวลาที่จะได้ทำการ์ดชีวิตเป็นของตัวเองแต่ทุกคนต่างก็ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่าพวกเขาตายไปแล้ว
เฟิงจือหลิงกอดเธอไว้แน่นมากซึ่งทำให้มุ่หรงเสวี่ยรู้สึกเจ็บขึ้นมานิดหน่อยแต่เธอก็ไม่ได้เอ่ยปากห้ามอะไรเขา เธอเข้าใจถึงความเจ็บปวดจากความกังวลดี
หลังจากที่เวลาผ่านไปนาน สุดท้ายเฟิงจือหลิงก็ปล่อย มู่เทียน ดวงตาของเขาแดงระเรื่อเล็กน้อย เขาเอาแต่จ้องมาที่ มู่เทียนและถามอย่างเป็นกังวล “มู่เทียน เจ้ากลายเป็น…เจ้ากลายเป็นแบบนี้ได้ยังไง…”
ในตอนนี้ มู่หรงเสวี่ยยังเป็นเด็กหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีขาวธรรมดาๆ อย่างไรก็ตามเขาสวมหน้ากากสีเงินเหมือนกับที่หน้าของหลานซุนแต่ก็ใหญ่กว่าของหลานซุนมาก หน้ากากเกือบจะคุมทั่วทั้งใบหน้าของมู่เทียน เหลือแค่เพียงดวงตาเข้มหนึ่งคู่เท่านั้น เดิมทีสีผมที่เป็นสีดำของเขาตอนนี้ก็เปลี่ยนเป็นสีม่วงไปแล้วซึ่งสะดุดตาอย่างมาก
“ถ้า ถ้าข้าไม่ใช่คนอีกแล้ว เจ้าจะยังมองข้าเป็นเพื่อนอยู่ไหม?” มู่หรงเสวี่ยถามเสียงอ่อน
เฟิงจือหลิงถามออกมา “ไม่ใช่คนงั้นเหรอ?! นี่หมายความว่าไง?” ความเจ็บปวดในหัวใจเริ่มที่จะกลับมาอีกครั้ง เขาหวังว่าให้เรื่องนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง ไม่ใช่มู่เทียน เส้นเลือดของ มู่เทียนเริ่มที่จะปูดโปนขึ้นมาอีกครั้งเบื้องหน้าเขาแต่ร่างกายของเธอก็ดูเหมือนจะมีความร่องรอยของความโศกเศร้าอยู่ด้วย
แล้วแบบนี้หัวใจของเขาจะไม่รู้สึกเจ็บปวดไปด้วยได้ยังไง
“มันคงไม่เหมาะที่จะคุยตรงนี้ เรากลับไปคุยกันที่โรงเตี้ยมเถอะ…” มู่หรงเสวี่ยพูดและมองไปรอบๆเหล่าสาวกที่เดินไปเดินมา
เพราะชื่อเสียงของเฟิงจือหลิงในทุกวันนี้ ทำให้เหล่าสาวกหลายคนถึงกับต้องหันกลับมามอง นอกจากนี้เสียงบทสนทนาเล็กๆของพวกเขาก็ยังผ่านเข้าไปในหูของพวกเขาด้วยเหมือนกัน
“ดูสิ เด็กหนุ่มที่ผมสีม่วงนั่นดูแปลกมากๆเลย!”
“นั่นมันปีศาจไม่ใช่เหรอ! ถ้าไม่ใช่แล้วจะสวมหน้ากากทำไม…”
“แต่ดูเหมือนเขาจะสวมชุดของสำนักเราด้วยนะ…”
“น่ากลัวจริงๆ ต่อไปเจ้าต้องอยู่ห่างๆไว้นะ…”
“ข้าไม่รู้เลยว่าชั้นเรียนไหนที่จะโชคดีได้เขาไปอยู่ด้วยเนี่ย…”
“ไม่สำคัญหรอก คนแบบนั้นจะผ่านเข้ามาเรียนที่นี่ได้ยังไง? ข้าไม่เห็นระดับการฝึกตนที่ร่างกายของเขาเลยนะ…”
“เป็นปีศาจก็ต้องใช้พลังของปีศาจสิ พวกเขาจะมาใช้พลังแห่งจิตวิญญาณเหมือนกับพวกเราได้ด้วยเหรอ?”
“พูดง่ายๆนะ คนแบบนั้นควรที่จะต้องถูกกำจัดออกไป ทำไมถึงยังมาอยู่ในโลกนี้ได้อีก? พระเจ้าก็น่าจะรู้ว่าจะมีผลกระทบยังไงบ้าง…”
เส้นเลือดของเฟิงจื่อหลิงปูนโปนขึ้นมาแล้วทั่วทั้งร่างกายก็เปล่งพลังในระดับสีม่วงออกมา คลื่นที่มือของตรงเข้าใส่เหล่าคนที่นินทาอยู่จนกระเด็นห่างออกไปหลายสิบเมตร น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวปนเย็นชาพูดออกมา “ไปจากที่นี่เถอะ”
“พระเจ้า ไอ้หมาบ้ากลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว…”
“ไปกันเถอะ ไอ้หมาบ้าโกรธแล้ว ไม่อยากจะนึกถึงสิ่งที่จะตามมาเลย…”
“พระเจ้า ดูเหมือนไอ้หมาบ้าจะสนิทกับปีศาจนั่นนะ”
“ข้ากล้าพูดเลยนะว่าถ้าไม่รีบออกไปจากที่นี่ก็คงจะได้ตายแน่ๆ”
“บ้าเอ๊ย ไอ้หมาบ้าดูน่ากลัวกว่าปีศาจนั่นอีก…”
“…”
ฝูงชนแตกกระเจิงหายไปเร็วปานสายฟ้า
“ฮ่าฮ่า เจ้าทำคนพวกนั้นกลัวหนีกันไปหมดเลย เจ้านี่ร้ายกาจจริงๆ!” มู่หรงเสวี่ยตีไปที่หน้าอกเขา
เฟิงจือหลิงมองสายตาที่กำลังยิ้มของมู่เทียน สีหน้าก็กระตุกขึ้นมาทันที “ข้า…ข้าเปล่า…” ท่าทางดูเหมือนจะเขินอยู่เล็กน้อย
มู่หรงไม่ได้ขำอีกแล้ว แต่แตะไปที่ไหล่เขาเบาๆ “ข้าเข้าใจ ขอบคุณนะ ไปกันเถอะ!” แล้วจึงออกเดินนำไป
เฟิงจือหลิงเองก็รีบตามไปด้วยเหมือนกันพร้อมด้วยน้ำเสียงเย็นชาแต่หนักแน่นที่พูดออกมา “ไม่ว่าเจ้าจะกลายเป็นอะไร ข้าก็จะไม่มีวันเปลี่ยนใจ!”
“ฟิ้ว” มู่หรงระเบิดเสียงหัวเราะที่ดังราวเสียงระฆังเงินก้องไปทั่วสำนักออกมา “ทำไมข้ารู้สึกเหมือนนี่เป็นคำสารภาพรักเลยล่ะ ฮ่ะ!”
หัวใจของเฟิงจื่อหลิงพองโตขึ้นมาทันที พร้อมด้วยสีหน้าที่แดงระเรื่อ “ข้า…ข้า…” เวลาผ่านไปนานแต่ก็ยังหาคำที่จะพูดออกมาไม่ได้
“ฮ่าฮ่า! เจ้านี่น่ารักจริงๆ…” มู่หรงเสวี่ยพูดพร้อมรอยยิ้ม “ข้าแค่ล้อเจ้าเล่น ข้ารู้ว่าเจ้ามองพวกเราเหมือนเป็นเพื่อนแต่ก็น่าเสียดาย…” เสียงหัวเราะของมู่หรงเสวี่ยหยุดลง