บทที่ 275 ข้าให้ยืมไหล่ร้องไห้

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 275

ข้าให้ยืมไหล่ร้องไห้

เฟิงจือหลิงพยายามข่มหัวใจที่เต้นรัว เขารู้ว่าความรู้สึกของตัวเองไม่สามารถที่จะพูดออกไปได้ ตลอดกาล

เมื่อได้เห็นท่าทางโดดเดี่ยวของมู่เทียน เขาก็ถามออกมา “เกิดอะไรขึ้น?”

มู่หรงเสวี่ยไม่ตอบคำถาม หลังจากที่พวกเธอเข้าไปในห้องของโรงเตี้ยมแล้ว มู่หรงเสวี่ยก็ค่อยๆถอดหน้ากากบนใบหน้าออกและทันใดนั้นใบหน้าที่แปลกประหลาดก็เปิดเผยออกมาเบื้องหน้าเฟิงจือหลิง

เฟิงจือหลิงไม่อยากที่จะเชื่อและแตะไปที่หน้าของ มู่หรงเสวี่ย ใบหน้าของเธอถูกสลักไว้อย่างหนาแน่นด้วยอักษรรูนแปลก ๆ แม้แต่ที่ริมฝีปากของเธอก็กลายเป็นสีดำจนมองไม่เห็นใบหน้าที่หล่อเหลาของเธอแล้ว ในหัวใจของเขา มู่เทียนมักจะภูมิใจกับใบหน้าของตัวเองเสมอ ดวงตาของเขาแดงระเรื่อและหัวใจก็รู้สึกเจ็บปวด

มู่หรงปัดมือเฟิงจือหลิงและพูดออกมาอย่างไม่สนใจ “ทำไมนายต้องทำหน้าเหมือนเห็นผีด้วยล่ะ? ข้าคิดว่าตอนนี้ข้าค่อนข้างที่จะเจ๋งอยู่นะ บางทีข้าน่าจะไปเป็นเทพเฝ้าประตูนะ คอยทำให้พวกผีตอนกลางคืนกลัวจนหนีไปเลย! ฮ่าฮ่าฮ่า…”

พูดตามตรง เธอไม่ได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับใบหน้าของเธอเลยจริงๆ อย่างมากมันก็เป็นแค่ปัญหาเล็กน้อย มันแตกต่างจากเดิมมากจนเธอทำเป็นไม่เห็นไม่ได้จริงๆ เธอกลัวว่านี่จะสร้างปัญหาอย่างมาก

เฟิงจือหลิงมองไปที่รอยยิ้มของมู่เทียน แต่จะยิ้มออกมาอยู่ได้ยังไงอีก หัวใจของเธอเจ็บปวด “หลายวันที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า? แล้วหลินหนานและคนอื่นๆล่ะ?”

“มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปหาพวกเขา!” มู่หรงจับมือเขา ทั้งสองหายแวบไปจากจุดที่ยืนทันที

มู่หรงพร้อมกับเฟิงจื่อหลิงเข้าไปในน้ำตกหลังถ้ำม่าน เธอจัดให้หลินหนานและคนอื่นๆอยู่ที่นี่!

“พวกเขาเป็นอะไรเหรอ?” เฟิงจือหลิงมองไปที่หลินหนานและคนอื่นๆที่ตัวแข็งนิ่งและทั่วทั้งร่างกายเองก็กลายเป็นสีดำไปหมดแล้ว ภาพที่เห็นก็ไม่ได้ดูดีไปกว่ามู่เทียนเท่าไร

มู่หรงเสวี่ยเดินเข้าไป แตะไปที่ก้อนน้ำแข็งอย่างอ่อนโยนและพูดเสียงกระซิบ “พวกเราถูกวิญญาณปีศาจครอบงำ อย่างที่เจ้าเห็น ข้าเป็นคนเดียวที่ฟื้นขึ้นมาได้…”

เธอยังจำวันที่เธอฟื้นขึ้นมาได้ ดวงตาของหลานซุนและเสี่ยวไป๋ตกตะลึง และตั้งแต่นั้นมาเธอก็ไม่ใช่มนุษย์อีกแล้ว!

เธอฟื้นขึ้นมาช้าเกินไป หลินหนานถูกวิญญาณปีศาจโจมตีไปซะแล้ว บางทีอาจจะเพราะระดับการฝึกตนของพวกเขาไม่ได้สูงเหมือนมู่หรงเสวี่ย ดังนั้นพวกเขาจึงยังไม่ฟื้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปนาน มู่หรงเสวี่ยก็กลัวว่าสักวันจะต้องเสียลมหายใจของพวกเขาไป

หลังจากที่อ้อนวอนหลานซุนซ้ำไปซ้ำมา เขาก็ได้รู้ว่าเขาต้องใช้น้ำแข็งสีดำหมื่นปีในการผนึกพวกเขาไว้ซึ่งจะสามารถระงับชีวิตของพวกเขาไว้ได้ชั่วคราว อย่างไรก็ตามถ้าเธออยากที่จะช่วยพวกเขา เธอจะต้องเข้าไปในโลกของปีศาจ

“เจ้าถูกวิญญาณปีศาจครอบงำได้ยังไงกัน?” เฟิงจือหลิงถาม

มู่หรงเสวี่ยเล่าถึงเหตุการณ์ของวันนั้น รวมทั้งเรื่องรองคณบดีและหน้าผาแปลกๆนั้น

หลังจากที่ได้ฟังเรื่องนี้ เฟิงจือหลิงก็กอดมู่เทียนด้วยมือที่สั่นเทิ้ม “ข้าขอโทษที่ข้าไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วย…”

มู่หรงผลักเขาออก “นี่มันผู้ชายสองคนนะ อย่ามาทำตุ้งติ้งแบบนี้สิ! ข้าดีใจนะที่วันนั้นเจ้าไม่ได้อยู่ด้วย…”

มือที่กอดมู่เทียนไว้ในอ้อมแขน เขาก็รู้สึกได้ว่ามู่เทียนผอมบางมากกว่าที่คิด แตกต่างจากเด็กหนุ่มคนอื่นๆ ร่างกายของมู่เทียนจะมีกลิ่นหอมจางๆซึ่งเป็นกลิ่นที่หอมอย่างมาก

เขาปล่อยมือและพูดออกมา “ถ้าเป็นอย่างงั้น ข้าจะลองทำให้พวกเขาฟื้น…” เขารู้ว่าหลินหนานและคนอื่นๆที่ยังไม่ฟื้น คงจะทำให้มู่เทียนรู้สึกเจ็บปวดหัวใจแน่ๆ เพราะพวกเขาอยู่กันมากนานจนเหมือนที่จะเป็นสมาชิกครอบครัวเดียวกันไปแล้ว

“เจ้าต้องทำอะไรสักอย่างนะ! หลายวันต่อจากนี้ข้าอาจจะไม่ได้กลับเข้ามาอีก ข้าต้องไปที่บ้านของท่านอาจารย์เพื่อฝึกเพียงลำพัง…” มู่หรงเสวี่ยพูดเสียงเบา

ไม่เพียงแค่เรื่องที่หลินหนานและคนอื่นๆที่ยังไม่ฟื้นเท่านั้นที่ทำให้เธอปวดใจแต่ยังมีเรื่องข่าวที่เธอขอให้หลานซุนช่วยตามหาพ่อแม่ของเธออีก ข่าวที่ได้กลับมาคือพ่อแม่ของเธอไม่ได้อยู่ในดินแดนเฟิงหยุนเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สองทางเท่านั้นคือ หนึ่งคือพ่อแม่ของเธอจากไปแล้ว และอีกทางคือพวกท่านตกออกไปจากมิตินี้

แต่จากบันทึกการเสียชีวิต ดูเหมือนจะไม่มีร่องรอยของพ่อแม่เธอเลย นี่ก็ดูเหมือนจะเป็นข่าวดีเดียวท่ามกลางข่าวร้ายมากมายๆ อย่างน้อยก็ยังมีความหวังอยู่บ้าง

เสี่ยวไป๋บอกว่าถ้าเธออยากที่จะไปมิติอื่น อย่างแรกเธอจะต้องขึ้นไปให้ถึงระดับการฝึกตนสีม่วงเพื่อที่จะไปให้ถึงกระจกแห่งมิติแล้วเธอก็จะสามารถไปที่ดินแดนมังกรที่อยู่ในทวีป เฟิงหยุ่นได้ เมื่อเธอผ่านระดับการฝึกตนได้ เธอก็สามารถข้ามผ่านไปได้โดยอัตโนมัติ

ครั้งหนึ่งมู่หรงเสวี่ยเคยถามเสี่ยวไป๋ว่ามันรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง แต่เสี่ยวไป๋กลับหันก้นให้เธอและดูเหมือนจะไม่เต็มใจที่จะพูดอะไรมากกว่านี้อีก

สุดท้ายหลานซุนก็อธิบายกับเธอว่าเสี่ยวไป๋ผ่านคุณสมบัติที่จะเข้าไปในดินแดนมังกรแล้วแต่มันถูกปิดผนึกพลังส่วนใหญ่ไว้ก่อนที่จะได้ก้าวข้ามไป

ดินแดนมังกรถูกแบ่งออกเป็นอีกหลายดินแดน ระดับต่ำสุดคือระดับสวรรค์และระดับที่สูงที่สุดคือระดับของเทพเจ้า เมื่อหนึ่งหมื่นปีก่อน มู่เหลาหยูได้เจอกับจักรพรรดิที่ทำให้เธอทั้งมีความสุขและเสียใจไปพร้อมๆกัน!

นอกจากนี้ถ้าเธออยากที่จะหาวิธีช่วยหลินหนานและคนอื่นๆจากเผ่าปีศาจ เธอจะต้องไปให้ถึงดินแดนมังกรก่อน มีเพียงดินแดนมังกรเท่านั้นที่จะมีทางเชื่อมไปดินแดนปีศาจ

“เจ้าจะไม่ออกมาเลยงั้นเหรอ? ทำไม…” เฟิงจือหลิงถามออกมาโดยไม่ได้คิด

มู่หรงเสวี่ยยิ้มบูดเบี้ยว “ดูข้าตอนนี้สิ ข้าคิดว่ามันคงไม่ค่อยดีเท่าไรที่จะออกมาโผล่หน้าให้คนอื่นๆได้เห็น…” ตอนที่เธอเข้ามาในโรงเตี้ยมวันนี้ เจ้าของโรงแรมที่เกือบที่จะไล่เธอออกไปแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะชื่อเสียงของเฟิงจือหลิง เธอก็คงไม่รอดแน่ๆ

ยังไงซะผมสีม่วงของเธอก็เด่นชัดเกินไปด้วย อักษรรูนที่หน้าเธอยังใช้หน้ากากปิดบังไว้ได้แต่ผมนี่สิเป็นปัญหาใหญ่เลย

“ข้าขอโทษนะ…” เฟิงจื่อหลิงจือหลิงเปิดปากพูด น้ำเสียงที่เปล่งออกมาฟังได้อย่างเดียวคือความรู้สึกผิด

มู่หรงเสวี่ยยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “ไม่ใช่เรื่องอะไรของเจ้าซะหน่อย เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษอะไรหรอก อีกอย่างข้าก็ไม่ได้เสียใจอะไรเท่าไรด้วย ไม่ได้รู้สึกเหมือนท้องฟ้าจะถล่มลงมาตลอด ดูข้าตอนนี้สิ ข้าจะร้องไห้แล้ว อยากจะร้องไห้จริงๆ!”

เฟิงจือหลิงพยักหน้าอย่างจริงจัง “ร้องสิ ข้าจะให้เจ้ายืมไหล่เอง…”

มู่หรงทำหน้าราวกับเห็นผี นี่มันเทคนิคที่ใช้สำหรับจีบสาวชัดๆเลย!!! “ข้าไม่ร้องหรอก เป็นผู้ชายมาร้องไห้คงน่าเกลียดน่าดู! อีกอย่างนะข้าคงอยู่ที่ดินแดนเฟิงหยุ่นได้อีกไม่นาน ข้าอยากจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดดังนั้นข้าจริงมีแผนที่จะผ่านระดับการฝึกตนให้ได้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้…” มู่หรงเสวี่ยพูดเสียงเบา เธอจะต้องรีบออกไปตามหาพ่อแม่ให้เร็วที่สุดและช่วยหลินหนาน

สีหน้าของเฟิงจื่อหลิงเปลี่ยนไปทันทีและพูดออกมาอย่างตื่นเต้น “เจ้าอยากจะไปจากที่นี่งั้นเหรอ?! เจ้าจะกลับไปที่โลกของตัวเองงั้นเหรอ?” เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของเขาก็ถอดสีขึ้นมาในทันทีและสุดท้ายก็กลายเป็นซีดเผือด

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า “ถึงแม้ข้าจะไม่อยากกลับไปที่โลกของตัวเอง แต่ไม่ช้าไม่นานข้าก็ต้องกลับไป ตอนนี้ข้าต้องตามหาพ่อแม่ให้เจอโดยเร็วที่สุด ท่านอาจารย์เพิ่งจะแจ้งข่าวมาว่าพ่อแม่ข้าไม่ได้อยู่ในดินแดนเฟิงหยุนด้วยซ้ำ…”

เธอเป็นห่วงเรื่องสถานการณ์ของพวกท่านอย่างมาก พวกท่านเป็นแค่คนธรรมดา แล้วจะอยู่รอดในโลกที่เคารพคนที่แข็งแกร่งได้ยังไงกัน? พวกท่านอาจจะต้องถูกรังแก มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะดวงตาแดงระเรื่อ หยดน้ำตาไหลลงมาบนใบหน้าที่แปลกประหลาดของเธอ

เฟิงจือหลิงอยากที่จะใช้พลังที่แข็งแกร่งของตัวเองโอบกอดมู่เทียนไว้ในอ้อมแขน “งั้นข้าจะไปกับเจ้าด้วย!” เฟิงจือหลิงพูดอย่างหนักแน่น

หยดน้ำตาที่เอ่อล้นอยู่ในดวงตาที่เบิกกว้างของ มู่หรง “เจ้าเองก็อยากที่จะไปด้วยงั้นเหรอ?! ทำไมล่ะ? แต่เจ้ามีครอบครัวอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอ?”

เพราะเขาอยากที่จะไปกับเธอแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป “เพราะข้าจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งมากขึ้น สถานที่ที่เจ้าจะไปจะต้องใช้ความแข็งแกร่งที่มากพอเท่านั้น ข้าจะไม่พ่ายแพ้ให้เจ้าตลอดไปหรอกนะ ตอนนี้เราอยู่ในระดับเดียวกันแล้ว…”

เมื่อคิดถึงขนบธรรมเนียมของโลกนี้ก็ดูเหมือนว่าจะเข้าใจได้ว่าผู้คนต่างก็อยากที่จะไล่ตามเส้นทางของความแข็งแกร่ง การเป็นเทพคือความฝันของทุกคนในดินแดนเฟิงหยุน

เธอพยักหน้าแล้วจึงพูดออกมา “โอเค แต่ข้าจะไม่รอเจ้านะ ถ้าคุณสมบัติของข้าพร้อมเมื่อไร ข้าก็จะไปก่อน…” เธอไม่มีเวลาที่จะมารอ ทุกนาทีและวินาทีเธอจะต้องทุกทรมานเพราะเรื่องของพ่อแม่

เฟิงจื่อหลิงเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าเองก็ดูถูกข้ามากเกินไปแล้วนะ บางทีข้าอาจจะถึงเป้าหมายได้เร็วกว่าเจ้าก็ได้นะ!”

มู่หรงเสวี่ยหัวเราะ สมเป็นเฟิงจือหลิงจริงๆ!

ทั้งสองกลับไปที่สำนักหลงหยู่ นิ้วของคนที่เดินผ่านไปผ่านมาตามถนนที่ชี้มาทำลายอารมณ์ของมู่หรงเสวี่ยไม่ได้ อย่างไรก็ตามเฟิงจือหลิงก็หยุดห่างไปไม่ไกลเพื่อที่จะหันกลับมาหาเหล่าคนที่กำลังนินทาและเปลี่ยนให้เป็นรูปปั้นน้ำแข็งไปเลย

ด้านนอกป่าไผ่ มู่หรงเสวี่ยเดินผ่านเข้าไปได้อย่างง่ายดายในขณะที่เฟิงจือหลิงถูกกันอยู่ด้านนอกป่าไผ่ นี่เป็นการปฏิบัติที่แตกต่าง

มู่หรงถาม “ทำไมเจ้าไม่เข้ามาล่ะ?” เธอมองไปที่ เฟิงจื่อหลิงที่ยืนนิ่งอยู่ด้านนอกป่าไผ่และถามออกมา

“ข้าเข้าไปไม่ได้ ในป่าไผ่มีเส้นแดนกั้นอยู่!”

“งั้นเจ้ารอเดี๋ยวนะ!” มู่หรงรีบวิ่งเข้าไปข้างใน

เธอผลักเปิดประตูไม้ไผ่เข้าไปโดยไม่สนใจว่าจะไม่สุภาพหรือเปล่า “อาจารย์ ให้เฟิงจือหลิงเข้ามาทีสิ!”

หลานซุนที่ถือถ้วยชาอยู่พูดออกมา “นี่ข้าเป็นโรงเตี้ยมหรือไง?”

“ท่านบอกเองไม่ใช่เหรอว่าจะรับเฟิงจือหลิงเป็นศิษย์ด้วย?” มู่หรงเสวี่ยนั่งลงที่เก้าอี้และจับไปที่ถ้วยชาในมือของหลานซุนอย่างไม่ลังเล เธอรู้สึกว่าชาของท่านอาจารย์รสชาติดีอย่างมาก ดูเหมือนกับว่ามันมีพลังแห่งจิตวิญญาณพิเศษอยู่ในนั่นด้วย หลังจากที่ดื่มเข้าไป ทั่วทั้งร่างกายก็จะรู้สึกอบอุ่น

หลานซุนมองไปที่รูปร่างที่น่ารังเกียจของหน้ากากบนหน้าเธอด้วยสายตาเย็นชา “อย่าสวมหน้ากากที่นี่ ถอดมันซะ!”

มู่หรงไม่ได้สนใจและรีบถอดหน้ากากออกแล้วใบหน้าของเธอก็รู้สึกสบายขึ้นมาทันที “รีบให้เฟิงจือหลิงเข้ามาเร็วๆสิ ท่านจะต้องให้คนรออีกนานแค่ไหน…” เธอพูดในระหว่างที่กำลังดื่มชาไปด้วย

หลานซุนคิด นี่ข้าติดหนี้เจ้าหรือไงเนี่ย?! สุดท้ายแล้วใครกันแน่ที่เป็นอาจารย์เนี่ย?!!

ไม่ว่าจะในชีวิตที่ผ่านมาหรือในชีวิตนี้ เธอก็เป็นคนที่เขาไม่เคยเอาชนะได้เลย!