บทที่ 276 เอ้า! ดื่มสิ

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 276

เอ้า! ดื่มสิ

หลานซุนมองไปที่เธออย่างพูดอะไรไม่ออก

“ท่านกำลังทำอะไรอยู่เหรอ?! ไปสิ ชานี่อร่อยมากเลย เมื่อไรข้าถึงจะได้อีกถ้วยล่ะ?” เธอเห็นอาจารย์ยังนั่งนิ่งอยู่จึงพูดออกไปอีกครั้ง

สีหน้าของหลานซุนเข้มขึ้นและคำพูดดุดันของเขาก็ดังลอดฟันออกมา “ดูเหมือนว่าข้าจะต้องสอนเรื่องการเคารพอาจารย์และเรื่องมารยาทให้เจ้าซะหน่อยแล้ว!”

มู่หรงเสวี่ยตัวแข็งและรีบพูดออกมาอย่างเร็ว “โถ่ อาจารย์ ข้าบอกท่านตั้งหลายรอบแล้วไงว่านี่ก็แค่ล้อเล่นกันเฉยๆ” ด้วยหน้าตาที่แปลกๆและรอยยิ้มที่น่าเกลียดของเธอแบบนี้ยังไม่เข้าใจอีกได้ยังไงเนี่ย

หลานซุนใช้เทคนิคการตรึงร่างกายของเธอไว้ มู่หรงเสวี่ยกลายเป็นรูปปั้น ในที่สุดเขาก็ไม่ต้องได้ยินเสียงที่น่ารำคาญแล้ว เมื่อได้เห็นรูปปั้นที่อยู่ตรงหน้าที่ทำตลกไม่ได้อีกแล้ว เขาก็รู้สึกพอใจและผ่อนคลายขึ้นมาทันที “ข้าจะออกไปดูเฟิงจือหลิง งั้นก็เชิญเจ้าตามสบายเลยแล้วกันนะ!”

ในหัวใจของมู่หรงเสวี่ยเกิดกลุ่มก้อนความคิดขึ้นมามากมาย โอ้! ดูเหมือนว่าต่อไปเธอคงอวดดีแบบนี้ไม่ได้แล้ว เธอคงจะต้องยับยั้งมากกว่านี้ ท่าทางของรูปปั้นนี่ไม่ค่อยสบายเท่าไรเลย เธอจะต้องจัดการเขาให้ได้ เธอจะต้องฝึกให้หนัก สักวันเธอจะต้องทำให้อาจารย์ได้ลิ้มรสชาติการเป็นรูปปั้นดูบ้าง แล้วความคิดทั้งหมดก็มารวมเข้าด้วยกันและใบหน้าภายในของเธอก็เริ่มที่จะยิ้มแสยะ

“ท่านหลานซุน! ข้าทำตามสัญญาที่ตกลงกันไว้ว่าจะขึ้นมาอยู่ในระดับสีม่วงภายในหนึ่งอาทิตย์สำเร็จแล้วนะ ข้าเหมาะสมที่จะเป็นลูกศิษย์ของท่านแล้วหรือยัง?” หลังจากที่เห็นหลานซุนเดินออกมา เฟิงจือหลิงจึงถามออกมา!

“ได้! มีศักยภาพดีมาก!” นี่สิสิ่งที่ลูกศิษย์ควรที่จะเป็น เมื่อเขานึกถึงท่าทางอวดดีของมู่หรงเสวี่ย เขาก็คิดว่าเธอรนหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวจริงๆ! “มากับข้า!” เขาสั่ง

เฟิงจือหลิงตามหลานซุนไปไม่ห่าง อย่างไรก็ตามเขาก็รู้สึกได้ถึงจิตวิญญาณแห่งความอาฆาตที่แข็งแกร่งของป่าไผ่ซึ่งแตกต่างจากท่าทางปกติของมู่หรงเสวี่ยอย่างสิ้นเชิง

เมื่อหลานซุนกลับมาที่อาคารไม้ไผ่ เขาก็เห็นมู่หรงเสวี่ยที่ยังอยู่ในท่าเดิมที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ประกายรอยยิ้มแวบขึ้นมาในดวงตาเขาแต่ก่อนที่จะมีใครได้เห็นมันก็จางหายไป เขานั่งลงในที่ของตัวเองโดยไม่สนใจสายตาดุดันของมู่หรงเสวี่ย ตอนนี้เขามีความสุขอย่างมาก เฟิงจือหลิงตะลึงไม่ชั่วขณะตอนที่เห็นท่าทางของมู่เทียนอีกครั้ง

อย่างไรก็ตามเขาก็รีบหันกลับไปหาท่านอาจารย์ทันที กฎของการเคารพอาจารย์ของโลกนี้คือจะต้องรินน้ำชาให้อาจารย์ เขาไม่ได้ถามเรื่องสถานการณ์ของมู่เทียนในตอนนี้เพราะเขายังหายใจปกติดีและตามร่างกายก็ไร้ร่องรอยบาดแผล เขาอาจจะเกเรมากเกินไปเลยถูกลอร์ดหลานซุนลงโทษเล็กๆน้อยๆ

การตรึงร่างกายไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติอะไร มันก็แค่พลังในระดับสูงที่ใช้กับคนที่ระดับพลังต่ำกว่าและต้องใช้การฝึกตนที่สูงกว่าแค่ระดับเดียวด้วย ถ้าอยู่ในระดับสีม่วงเหมือนกันก็คงไม่มีผล นอกจากนี้ยังคงสภาพไว้ได้ไม่นานด้วยและการกลับมาเหมือนเดิมก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยด้วย ดังนั้นจึงไม่ใช่อะไรที่คนทั่วไปจะเอามาใช้ได้

การจะตรึงร่างกายต้องใช้ธรรมสูตรซึ่งอาจจะไม่สำเร็จ ในระหว่างการร่ายมนตร์ก็อาจจะมีคนอื่นเข้ามาโจมตีได้ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่คุ้มที่จะเสี่ยงเท่าไร!

ไม่มีใครใช้ทักษะการตรึงร่างกายได้ในทันทีเหมือนกับหลานซุน

เฟิงจือหลิงเห็นว่าที่โต๊ะมีถ้วยชาเพียงแค่ถ้วยเดียวซึ่งวางอยู่ในตำแหน่งของหลานซุน โดยธรรมดาแล้วถ้วยชานี้ก็คงจะต้องเป็นของหลานซุน เขาหยิบถ้วยชาขึ้นมาและรินชาลงไปในถ้วย แล้วเขาก็นั่งคุกเข่าลงเบื้องหน้าหลานซุน ยืดหลังตรงและพูดออกไป “ท่านอาจารย์ เชิญดื่มชา!”

หลานซุนรับถ้วยชามา แต่จังหวะที่เขากำลังจะดื่ม เขาก็เห็นสายตาแปลกๆของมู่หรงเสวี่ย

ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าเธอเพิ่งจะดื่มไป เขารู้สึกว่ามันกลืนยากอยู่สักหน่อย

เฟิงจือหลิงมองไปที่หลานซุนด้วยสายตาคาดหวัง อย่างไรก็ตามหลานซุนไม่ยอมขยับปากอยู่นานดังนั้นเขาจึงเดาเอาเองว่าท่านอาจารย์กำลังรู้สึกเสียใจอยู่หรือเปล่า?!

หลานซุนชั่งใจอยู่นานก่อนที่จะดื่มชาเข้าไป และแน่นอนว่าทันทีที่เขาเงยหน้าขึ้นมา เขาก็เห็นสายตาภูมิใจของมู่หรงเสวี่ย ราวกับจะพูดว่า ไม่รังเกียจเหรอ?! ไม่รังเกียจหรือไง?! ทำไมถึงดื่มเข้าไปล่ะ?!!!

“ลุกขึ้น ตั้งแต่นี้ไปเจ้าจะเป็นลูกศิษย์คนแรกของข้า!” หลานซุนพูดเสียงเบา

“ขอรับท่านอาจารย์!” เฟิงจือหลิงลมลุกขึ้นและไปยืนอยู่ข้างๆด้วยความเคารพ

ไม่รู้ว่าหลานซุนหยิบตำราทักษะการฝึกตนออกมาจากไหนแล้วเขาก็ยื่นส่งให้เฟิงจือหลิง

แล้วเขาก็พูดออกมาว่า “ไม่ว่าก่อนหน้านี้เจ้าจะเคยฝึกอะไรมา ต่อจากนี้ไปให้ฝึกตามนี้! นี่เป็นทักษะที่มีเกียรติ ในเมื่อข้าเป็นอาจารย์ของเจ้าและข้าคงอยู่ในดินแดนแห่งเฟิงหยุนไม่ได้ตลอดไป”

“ข้าจะไม่ทำให้อาจารย์ผิดหวังครับ!” เฟิงจือหลิงพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นพร้อมถือตำราไว้ในมือแน่น

“ดี!” แล้วหลานซุนก็เหล่ไปที่มู่หรงเสวี่ยอีกครั้ง เมื่อรู้สึกว่ามันเกือบจะถึงเวลาแล้วเขาก็โบกมือเพื่อปล่อยมนต์ที่ตรึงร่างกายของมู่หรงเสวี่ยอยู่ออก

“อาจารย์ ท่านไม่ยุติธรรมเลยอ่ะ ทำไมท่านถึงมอบตำราการฝึกให้เฟิงจือหลิงแต่กลับไม่ให้อะไรข้าบ้างเลย…” มู่หรงเสวี่ยบ่น ในตอนแรกเธอขอของรับขวัญจากอาจารย์ แต่อาจารย์กลับให้กิ๊บติดผมกับเธอซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรเลย

หลานซุนเหล่ตาไปที่เธอและพูดออกมาว่า “เจ้าไม่ยกชาทำความเคารพอาจารย์ด้วยซ้ำ…”

เธอจะรู้ได้ยังไงล่ะว่าเธอจะต้องรินชาให้อาจารย์ดังนั้นเธอจึงเดินหยิบถ้วยชาขึ้นมาและยื่นให้หลานซุนด้วยท่าทางสบายๆ “อ่ะ นี่ของท่าน ดื่มซะสิ!”

เฟิงจือหลิงที่ยืนอยู่อีกด้านพยายามที่จะเก็บอาการตกใจของตัวเองไว้ มู่เทียนนี่กล้าจริงๆ ไม่ว่าจะพูดยังไง ท่านหลานซุนก็ยังเป็นผู้ชายที่อยู่ในตำแหน่งสูง แต่เขากลับส่งถ้วยชาให้อาจารย์อย่างไม่เคารพเลยด้วยซ้ำ

หลานซุนแสยะยิ้ม “ไม่ดื่ม!”

มู่หรงถาม มือที่ถือถ้วยชาอยู่เกือบที่จะเทชาทิ้ง “ทำไมล่ะ?”

หลานซุนนั่งลงที่เก้าอี้อย่างสบายๆแล้วหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านด้วยท่าทางตั้งใจ “ทำไมล่ะ?! จู่ๆข้าก็ไม่อยากที่จะรับเจ้าเป็นศิษย์ขึ้นมาแล้ว…”

มู่หรงเสวี่ยวางถ้วยชาลงบนโต๊ะเสียงดัง “ปัง” “นี่ท่านล้อข้าเล่นหรือเปล่า? ตอนแรกท่านยังบอกว่าอยากที่จะรับข้าเป็นศิษย์อยู่เลยนะ?”

“ข้าเพิ่งจะได้รู้ว่าเจ้ามันสมองทึบจริงๆและคงที่จะแก้ไขไม่ได้ ข้าเลยคิดว่ายอมแพ้ซะตั้งแต่ตอนนี้น่าจะดีกว่า…” หลานซุนพูดพร้อมมองไปที่หนังสือโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาแม้สักนิด

มู่หรงเสวี่ยโยนหนังสือที่อยู่ในมือของหลานซุนแล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงดูถูก “เหตุผลแค่นี้เองใช่ไหม ยังไงซะข้าก็ไม่อยากได้ท่านเป็นอาจารย์อยู่แล้ว ไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักนิด ฮึม!”

คิ้วของหลานซุนขมวดเข้าหากัน ถึงแม้เขาจะไม่ได้คิดที่จะรับเธอเป็นลูกศิษย์อยู่แล้ว ในตอนแรกเขาเพียงแค่อยากที่จะใช้เวลาอยู่ด้วยกัน เขาไม่ได้ให้เธอทำขั้นตอนการถวายตัวเป็นศิษย์ด้วยซ้ำ ดังนั้นพวกเขาก็ยังไม่ถือว่าเป็นศิษย์อาจารย์กันโดยแท้จริง

แต่เมื่อได้ฟังแบบนี้แล้วมันรู้สึกหงุดหงิดจริงๆ

เฟิงจือหลิงเห็นสีหน้าที่เคร่งขึ้นของท่านอาจารย์ เขากลัวว่าอาจารย์จะลงโทษมู่เทียนจึงรีบเดินเข้าไปเอามือปิดปากมู่เทียนไว้และบังคับให้เขาก้มหัวลง “ท่านอาจารย์ มู่เทียนก็แค่กังวลไปชั่วขณะ จริงๆแล้วเขาเคารพอาจารย์มาตลอดนะขอรับ…”

“โอ้ เก่งแต่ปากงั้นเหรอ?” หลานซุนมองไปที่มู่หรงเสวี่ยที่พยายามขัดขืนและถามออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เขาพูดเสมอว่าอาจารย์คือคนที่เขาชื่นชมมากที่สุด บอกว่าท่านไม่เพียงแค่หน้าตาหล่อเหลาแต่ยังมีทักษะการฝึกตนที่อยู่ในระดับสูงอีกด้วยนะขอรับ เขาชอบท่านเป็นอย่างมากเลยทีเดียว” เขาเปิดปากพูดเรื่องโกหกออกไปก่อน!

“หล่อเหลางั้นเหรอ?! เจ้าเห็นมาจากไหนกัน?” หลานซุนถาม

หลังจากได้สติ เฟิงจือหลิงก็นึกขึ้นได้ว่าท่านอาจารย์สวมหน้ากากและไม่มีทางที่จะมองเห็นหน้าได้อย่างชัดเจน

ใจตอนนี้มู่หรงเสวี่ยที่เพิ่งจะดิ้นหลุดจึงพูดออกมาด้วยท่าทางอวดดี “ฮ่าฮ่า ชมกันเกินไปแล้ว!”

แม้แต่เฟิงจือหลิงเองก็อดไม่ได้ที่จะจ้องเขาด้วยสายตาดุดัน เขาไม่ได้ทำเพื่อตัวเองเลย มู่เทียนเป็นคนเก่งแต่ก็ยังมาพูดจาแบบนี้ที่นี่อีกเนี่ยนะ!

มือสีเทาของหลานซุนจับไปที่หัวที่รู้สึกปวด “พวกเจ้ารีบไปฝึกกันได้แล้ว ส่วนมู่เทียน เจ้าเปลี่ยนไปฝึกทักษะที่กำลังฝึกอยู่ตอนนี้ได้แล้ว ทักษะของเจ้าไม่ใช่ทักษะทั่วไป เดี๋ยวต่อไปเจ้าก็จะรู้เอง…”

มู่หรงเห็นหลานซุนที่ดูจะสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไร ในหัวใจจึงรู้สึกผิดขึ้นมาทันที “อาจารย์ ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า?”

หลานซุนมองมาที่เธอด้วยสายตากังวล เธอยังมีสำนึกอยู่บ้าง “ไม่เป็นไร!”

“ไม่เป็นไรจริงๆเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยยังถามต่อ

เรื่องนี้ก็เป็นเพราะเธอแต่ใครเป็นคนเริ่มล่ะ?! เขามองเธอด้วยสายตาที่ไม่ดี

“ฮ่าฮ่า” มู่หรงเสวี่ยหัวเราะ พยายามที่จะเปลี่ยนบรรยากาศ

“เข้าไปในมิติลับกันเถอะ!” มู่หรงเห็นท่าทางของ หลานซุนที่ดูเหมือนไม่อยากที่จะสนใจพวกเธอจึงพูดออกมาอย่างระวัง

หลานซุนไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ เพียงแค่โบกมือ

หลังจากนั้นสักพัก มู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงก็แวบเข้าไปในมิติลับ มีมิติลับก็ต้องใช้ แน่นอนว่าพวกเขาคงไม่โง่พอที่จะฝึกข้างนอกแน่ๆ

หลังจากที่ทั้งสองไปแล้ว หลานซุนก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มขมขื่นบนใบหน้า หลังจากที่ได้อยู่ใกล้ชิดกัน เขาก็รับปากไม่ได้ว่าตัวเองจะทนได้อีกนานแค่ไหน

ถ้ามู่เหลาหยูปรากฏกายในดินแดนมังกร ก็คาดว่าคนเหล่านั้นจะเริ่มพร้อมที่จะเคลื่อนไหวแล้ว เขาจะมัวมานั่งเฉยไม่ได้และมีบางอย่างที่จะต้องเตรียมให้พร้อมโดยเร็วที่สุด

แล้วร่างของหลานซุนก็หายไปจากอาคารไม้ไผ่ในทันทีด้วยเหมือนกัน!

“จือหลิง เจ้าไปหาที่ฝึกตรงไหนก็ได้นะ ข้าจะฝึกตรงน้ำตก!” มู่หรงเสวี่ยพูดกับเฟิงจือหลิง เธอเดินไปสองก้าวและดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงถามออกไปอีกครั้ง “ว่าแต่น้องสาวเจ้าอยู่ไหนเหรอ?! เราควรจะให้นางเข้ามาด้วยหรือเปล่า…”

“ช่วงนี้นางมีบางเรื่องที่ต้องจัดการ ไว้ข้าจะชวนนางมาทีหลัง!” เฟิงจือหลิงจำเรื่องที่น้องสาวบอกกับเขาไว้วันก่อนได้ นางบอกว่านางชอบมู่เทียน

ตอนนี้เขาไม่อยากให้น้องสาวติดต่อกับมู่เทียนเลยแต่เขาก็ไม่อยากที่จะทำแบบนั้นเลย

มู่หรงเสวี่ยไม่ได้คิดอะไรมาก เธอพยักหน้าและเดินเข้าไปในกำแพงหินของน้ำตก เธอเชื่อว่าคำพูดของอาจารย์เป็นเรื่องจริง เมื่อกี้เธอเพียงแค่แหย่อาจารย์เล่นเท่านั้น ตั้งแต่ที่เธอฟื้นขึ้นมา สีหน้าของท่านอาจารย์ก็เต็มไปด้วยความคิดมากมาย เธอเพียงแค่อยากให้เขาได้ผ่อนคลายบ้าง ไม่ได้ต้องการทักษะอะไรหรอก อีกอย่างเธอก็มีความรู้สึกบางอย่างว่าฟินิกซ์ไฟของเธอถูกสร้างมาเพื่อเธอและสอดคล้องกับจิตวิญญาณของเธออย่างหาที่เปรียบมิได้