บทที่ 277
มีบางอย่างที่ผิดปกติ
วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า มู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงเฝ้าฝึกตนกันทั้งวันทั้งคืนอยู่ในมิติลับ
“มู่เทียน นี่เจ้าจะออกไปข้างนอกแล้วงั้นเหรอ?” เฟิงจือหลิงถาม
มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า “ได้เวลาที่จะออกไปดูข้างนอกบ้างแล้ว…”
ในตอนนี้ เฟิงจือหลิงและมู่หรงเสวี่ยขึ้นมาถึงระดับสูงสุดของระดับสีม่วงแล้ว เพียงแค่ก้าวเดียวก็ไปถึงประตูแล้ว แต่บาร์เรียของระดับสีม่วงมันจะผ่านไปได้ง่ายๆขนาดนี้เลยงั้นเหรอ?!
“งั้นก็ไปกันเถอะ ข้าก็จะออกไปด้วย อยู่ที่นี่ตลอดข้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ บางทีจะได้ถามท่านอาจารย์ด้วย…”
พวกเขาถูกเลื่อนขึ้นมาอยู่ในระดับสีม่วงนานแล้วแต่ไม่ว่าพวกเขาจะฝึกกันหนักมากแค่ไหนก็ยังก้าวไปมากกว่านี้ไม่ได้ซะที
มู่หรงเสวี่ยพยักหน้าและยื่นมือไปให้เฟิงจือหลิง พวกเขาออกมาจากมิติลับในทันที อย่างไรก็ตามพวกเขาเดินจนทั่วบ้านไม้ไผ่อยู่นานแต่ก็ไม่เจอร่างของหลานซุนเลย มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว โดยปกติแล้วหลานซุนแทบจะไม่ออกไปข้างนอกเลย เวลาส่วนใหญ่เขาก็จะนั่งอ่านหนังสืออยู่ในอาคารไม้ไผ่
“ดูเหมือนว่าท่านอาจารย์จะไม่อยู่นะ…” เฟิงจือหลิงพูด
“ก็คงจะใช่ งั้นไปหาเสี่ยวหลินก่อนเถอะ เราไม่ได้เจอนางมานานมากแล้ว เดี๋ยวเราค่อยหลับมาหาท่านอาจารย์ทีหลังก็ได้ บ่ายๆท่านก็น่าจะกลับมา…” มู่หรงเสวี่ยพูด
เฟิงจือหลิงพยักหน้าแล้วก็มองไปที่ผมของมู่เทียน หลังจากที่คิดถึงเรื่องนี้เขาก็หยิบหมวกออกมาจากแหวนเก็บของและยื่นให้มู่เทียน “สวมนี่ซะ!” เมื่อนึกถึงวิธีที่มู่เทียนถูกคนอื่นชี้ก่อนหน้านี้ เขาก็รู้สึกไม่สบายใจ
“ขอบใจนะ ไปกันเถอะ” มู่หรงรับมาและสวมมันไว้ที่หัว ม่านที่หมวกปิดผมและใบหน้าของมู่หรงเสวี่ยไว้ได้อย่างพอดี หน้ากากสีเงินที่หน้าเธอเพียงแค่ส่องประกายแสงนิดหน่อยเท่านั้น
เฟิงจือหลินอยู่ในสำนัก พวกเขาเจอเธอทันทีหลังจากที่ออกมาจากป่าไผ่ เมื่อเห็นสีหน้ากังวลของเธอ เฟิงจือหลิงก็ถามออกมา “เป็นอะไร? มีอะไรหรือเปล่า?”
“พี่ใหญ่?” เฟิงจือหลินหันกลับมาและเมื่อเห็นว่าเป็นพี่ชายที่ถามออกมาด้วยความร้อนรน “พี่ใหญ่ ช่วงนี้หายไปไหนมา? ข้าตามหาจนแทบจะเป็นบ้าแล้วนะ!! รู้หรือเปล่าว่าที่บ้านเกิดเรื่องอะไรบ้าง?”
“มีอะไรเหรอ? เกิดเรื่องอะไร?” มู่หรงเสวี่ยเองก็ถามเช่นกัน
“มู่เทียนเหรอ?” ดวงตาของเฟิงจือหลินเบิกกว้างด้วยความไม่อยากที่จะเชื่อ
“ใช่ ข้าเอง!” มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า พวกเขามีแผนที่จะกันแค่สองสามวันแล้วค่อยออกมา ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะฝึกกันไปเกือบพันปี
เมื่อเฟิงจือหลินได้ยินคำยืนยันของเธอ เธอก็อดไม่ได้ที่จะกระโดดกอดมู่หรงเสวี่ยแน่น หยดน้ำตาของเธอเองก็ไหลออกมา “ข้าคิดว่าเจ้าตายไปแล้ว…หื้อหื้อ…”
มู่หรงตบไปที่หลังของเธอเพื่อปลอบใจ “ข้าจะตายง่ายๆได้ยังไง? ข้าต้องกลับมาอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ?”
หัวใจของเฟิงจือหลิงแวบประกายเศร้าแต่เขาก็รู้ดีว่าน้องสาวของเขาเหมาะสมกับมู่เทียนมากกว่ากับเขามาก เขายินดีที่จะยืนเคียงข้างเขาไปตลอดกาลและกลายเป็นผู้ติดตามของเขาด้วย เขาหันหัวไปทางอื่นเพราะไม่อยากที่จะเห็นภาพนี้อีก
“อย่าร้องไห้เลย” มู่หรงพูดออกมาอย่างช่วยไม่ได้
เฟิงจือหลินค่อยๆหยุดเสียงสะอื้นแล้วจึงค่อยๆปล่อยแขนออกจากมู่หรงด้วยท่าทางเขินๆ “เจ้าหายไปอยู่ไหนมา? นี่ก็ผ่านมาสองเดืนแล้วนะที่ข้าไม่ได้เจอเจ้า”
“พวกเราฝึกกันอยู่ในมิติลับ แต่เราไม่คิดว่าเวลามันจะผ่านไปนานขนาดนี้ เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอ?”
“ข้าเพิ่งเคยเห็นท่าทางเป็นกังวลแบบนี้จากเจ้า…” มู่หรงเสวี่ยถาม
“เจ้าไม่เห็นท้องฟ้าตรงนั้นหรือไง?” เฟิงจือหลินชี้ไปที่ ขอบฟ้าที่ห่างไกล
มู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงมองไปตามทิศทางของนิ้วและเห็นกลุ่มสีดำขนาดใหญ่เชื่อมระหว่างสวรรค์และโลก หมอกดำที่อยู่ข้างในดูวุ่นวายและน่ากลัว
สีหน้าของเฟิงจือหลิงเปลี่ยนไปพร้อมทั้งพูดออกมา “ไอ้นั่นมันอะไรกันเนี่ย?”
มู่หรงนึกถึงบางอย่างขึ้นมาได้ทันทีและรีบถามออกไป “นั่นใช่หน้าผาของป่าแห่งความตายหรือเปล่า?” เธอยังจำกลิ่นเย็นๆแปลกๆที่ก้นของหน้าผาได้ บวกกับร่างกายที่ดูแปลกๆของคณบดีอีกซึ่งทำให้เธอรู้สึกขนลุก เธอไม่รู้ว่าปีศาจแบบไหนที่อยู่ที่ก้นของหน้าผากันแน่?!
เฟิงจือหลินพยักหน้า “ถึงจะใช่แต่ข้าก็ไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น หมอกดำขนาดใหญ่เกิดตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้ว ไม่เพียงแค่นั้นนะแต่หมอกดำนี่ยังค่อยๆกระจายตัวไปทั่วด้วย ตอนนี้ครึ่งหนึ่งของป่าแห่งความตายก็ถูกโจมตีไปแล้ว…”
หลังจากที่หยุดไปสักพักเธอก็พูดต่อ “ทุกที่ที่หมอกดำนี่ไปถึงต้นไม้ก็จะล้มตายและแม้แต่ผู้คนก็กลายเป็นสีดำไปด้วย ตอนนี้ตระกูลใหญ่ๆทุกตระกูล, สำนักต่างๆแล้วก็เหล่าราชวงศ์ต่างก็รวมกันเป็นปึกแผ่นและพยายามที่จะแก้ไขสถานการณ์นี้อยู่ ถ้ามันยังกระจายต่อไปแบบนี้ เดาว่าทั่วทั้งทวีปเฟิงหยุนจะต้องแห้งแล้งหมดแน่ๆ และแม้แต่มนุษย์อย่างพวกเราก็คงจะสูญพันธุ์ไปด้วย…” เหล่าผู้อาวุโสของทุกเผ่าต่างก็ถูกส่งตัวออกไปแต่ก็ยังไม่มีใครกลับมาเลย เธอไม่รู้เลยว่าตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?!
สีหน้าของเฟิงจือหลิงเคร่งเครียด ไม่สงสัยเลยว่าทำไมหลังจากที่ออกมาวันนี้พวกเขาถึงไม่เจอใครเลย ปกติแล้วที่สำนักจะต้องครึกครื้นมากและจะต้องมีเหล่านักเรียนมากมายแต่ที่เห็นวันนี้มีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น
“เจ้าเห็นอาจารย์ของข้าบ้างไหม?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“ท่านหลานซุนงั้นเหรอ?! หลานซุนลงไปที่ก้นของหน้าผาตั้งแต่เมื่อเดือนที่แล้วและยังไม่กลับออกมาเลย…” ถ้าแม้แต่หลานซุนก็ยังช่วยไม่ได้ พวกเขาก็คงจะไม่เหลือความหวังแล้วใช่ไหม?
“อะไรนะ? อาจารย์เข้าไปนานขนาดนั้นเลยเหรอ?” สีหน้าของเฟิงจือหลิงเปลี่ยนไป
“อาจารย์งั้นเหรอ?! พี่ใหญ่ นี่ท่านเคารพท่านหลานซุนเหมือนเป็นอาจารย์ของตัวเองเลยงั้นเหรอ?” เฟิงจือหลินถาม
เฟิงจือหลิงพยักหน้า “อย่าเพิ่งพูดเลย ไปดูสถานการณ์กันก่อนเถอะ…” เขาพูดในขณะที่เดินไปข้างหน้า
มู่หรงเองก็รีบตามไปด้วย หลานซุนที่เข้าไปนานขนาดนั้นแต่ก็ยังไม่กลับออกมา ทำให้หัวใจเธอรู้สึกลางสังหรณ์ไม่ดี อาจารย์ของเธอทรงพลังขนาดนั้นแต่ก็ยังจัดการไม่ได้งั้นเหรอ?!
“เดี๋ยวก่อนพี่ใหญ่…” เฟิงจือหลินรีบวิ่งตามมาพร้อมตะโกนเรียก
“เดินไปพูดไป…” เฟิงจือหลิงไม่หยุด เพียงแค่ตอบออกมาสั้นๆ
ไม่นานก่อนที่พวกเขาจะไปถึงนอกเมืองของป่าแห่งความตาย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” เฟิงจือหลิงถาม
ป่าแห่งความตายทั้งหมดถูกล้อมรอบไว้ด้วยสายอากาศ จากตรงนี้จะเห็นได้ว่าข้างในมีหมอกดำกระจายไปทั่วและป่าก็ดูแปลกออกไปและน่ากลัวมาก
“แฮก แฮก!” ในตอนนี้ เฟิงจือหลินต้องใช้พลังแห่งจิตวิญญาณเพื่อที่จะตามให้ทัน เธออยู่ในระดับเริ่มต้นของระดับสีฟ้าและแน่นอนว่าความเร็วของเธอไม่เร็วเท่ากับสองคนนั้นที่อยู่ในระดับขั้นสูงสุดของระดับสีม่วงแน่นอน
“ข้ายังพูดไม่จบเลย…” เฟิงจือหลินพูดต่อหลังจากที่หยุดไปสักพัก “บาร์เรียพวกนี้ท้่านหลานซุนและอาจารย์คนอื่นๆเป็นคนกั้นเอาไว้ก่อนที่พวกท่านจะเข้าไปข้างใน ไม่งั้นหมอกดำก็คงจะกระจายไปทั่วทั้งเมืองแล้ว คนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางต้านทานมันได้แน่ๆ ไม่งั้นคงจะต้องตายกันหมดแล้ว”
“หมอกดำนี่เลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอ?” เฟิงจือหลิงถาม
“หมอกดำนี่อาจจะเป็นหมอกปีศาจหรือเปล่า?! ข้ากับหลินหนานก็เคยเห็นก่อนที่จะถูกวิญญาณปีศาจครอบงำ…” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างหนักแน่น
เมื่อนึกถึงรูปร่างของมู่เทียนตอนนี้ หลินหนานและคนอื่นๆที่ยังหลับใหลอยู่ในมิติลับ ทั่วทั้งร่างกายเป็นสีดำหมด ใบหน้าของเฟิงจือหลิงก็กลายเป็นเครียดมากขึ้น
“มู่เทียน เจ้าเคยเจอหมอกดำนี้มาก่อนงั้นเหรอ? งั้นเจ้าก็…” เฟิงจือหลินสังเกตเห็นว่าท่าทางของมู่เทียนดูไม่ปกติ “ทำไมเจ้าต้องสวมหมวกด้วย…”
มู่หรงเสวี่ยเห็นว่าตรงนี้ไม่มีคนอื่น เธอจึงถอดหมวกออก แล้วผมสีม่วงที่เด่นชัดก็ปลิวไปกับตามสายลม
“ผมของเจ้า…” เฟิงจือหลินจ้องไปที่ผมของเขาอย่างไม่อยากจะเชื่อแล้วก็เห็นหน้ากากที่หน้าของมู่เทียน สีหน้าเธอก็ซีดเผือด “แล้วเกิดอะไรขึ้นกับหน้าของเจ้า?”
มู่หรงเสวี่ยถอดหน้ากากออกพร้อมรอยยิ้มที่ไร้กังวล “อันที่จริงข้าคิดว่ามันเจ๋งดีนะ แต่ที่ข้าต้องปิดไว้ก็เพราะคิดว่าคนอื่นคงไม่ยอมรับเท่าไร…”
สายตาของเฟิงจือหลินแดงระเรื่ออยู่ชั่วขณะ หยดน้ำตาร่วงหล่นลงมา
มู่หรงเสวี่ยยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ “อย่าร้องไห้ ข้าไม่สนใจจริงๆ…” เธอไม่สนใจจริงๆและรูปร่างหน้าตาของเธอก็ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญอะไร เธอเชื่อว่าคนที่รักเธอจะต้องเข้าใจเรื่องนี้
“อย่าพูดเรื่องนี้เลย วิญญาณปีศาจนี่มันเลวร้ายจริงๆและยาต่างๆก็ใช้ไม่ได้ผล” มู่หรงพูดต่อ
“แล้วตอนนี้พวกเราที่เหลืออยู่ไหนล่ะ?” เฟิงจือหลิงหันกลับมาถามน้องสาวตัวเอง
“พวกเขาทุกคนอยู่ที่สหภาพทหารรับจ้าง กำลังหารือเรื่องนี้อยู่และเหล่าอาจารย์ที่อยู่ในระดับสีม่วงหลายคนก็เข้าไปตรวจสอบอยู่ข้างในแต่พวกท่านก็ยังไม่ออกมาเลย…” และไม่รู้ด้วยว่าบาร์เรียนี่จะทนไปได้อีกนานแค่ไหน ในบางจุดก็เกิดรอยร้าวแล้วด้วยและน่าจะมีใครเข้ามาซ่อมแซมมันบ้าง
“ไปกันเถอะ รวบรวมกำลังก่อน ยังมีอีกหลายทาง…” เฟิงจือหลิงแนะนำ
“ไปเถอะ!” มู่หรงสวมหมวกและหน้ากากไว้ตามเดิม
ทั้งสามรีบเร่งฝีเท้าเพื่อไปที่สหภาพทหารรับจ้างทันที
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงและทันทีที่ทั้งสามเดินเข้าไปก็มีบางคนเดินเข้ามา
“พวกท่านมาที่นี่เพราะเรื่องป่าแห่งความตายงั้นเหรอ?” เจ้าหน้าที่ต้อนรับของสหภาพทหารรับจ้างถาม
“ใช่ หายไปไหนกันหมด? ” เฟิงจือหลิงถาม
“รบกวนทดสอบระดับการฝึกตนก่อนด้วย…” เจ้าหน้าที่หยิบลูกบอลคริสตัลออกมาเพื่อทดสอบ เหตุผลที่ต้องมีการทดสอบก็เพื่ออำนวยความสะดวกในการมอบหมายงาน ตอนนี้ยิ่งระดับการฝึกตนสูงมากเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งมีความหวังมากเท่านั้น ยังไงซะคนกลุ่มแรกที่ถูกส่งเข้าไปต่างก็อยู่ในระดับการฝึกตนขั้นต้นของระดับสีม่วง อย่างไรก็ตามหลายวันผ่านไปแต่ก็ยังไม่มีใครออกมาเลย
คนทั้งสามไม่รอช้าและรีบทำการทดสอบทีละคนทันที
สายตาของเจ้าหน้าที่จ้องไปที่ชายที่โตที่สุดแล้วก็มองไปที่สีม่วงในลูกบอลคริสตัล เขาเคยคิดว่าทั้งสามน่าจะอยู่ในระดับสูงสุดของระดับสีฟ้า ไม่คิดว่าจะอยู่ในระดับสูงสุดของระดับสีม่วง
“อย่ามัวแต่ยืนงง รีบพาพวกเราเข้าไปข้างในสิ!” เฟิงจือหลิงพูด
“ขอรับ ขอรับคุณผู้หญิงคนนี้ ท่านอยู่ในระดับสีฟ้า ดังนั้นจุดที่ท่านจะได้เข้าไปจะแตกต่างจากทั้งสองท่านนี้ ตอนนี้ระดับภายในต่างก็ถูกแบ่งแยกไว้ จะมีทีมระดับสีฟ้า ทีมระดับสีม่วง ดังนั้นพวกท่านจะได้รับมอบหมายภารกิจที่แตกต่างกันทีหลัง!” ท่าทางของเจ้าหน้าที่ดูแสดงถึงความเคารพมากกว่าในขณะที่อธิบายถึงสถานการณ์