บทที่ 278
ช่วงเวลาพิเศษ
เฟิงจือหลินรู้เรื่องสถานการณ์ตั้งแต่เช้าแล้วจึงพยักหน้าอย่างไร้คำพูด
“ข้าจะเข้าไปเอง ข้ารู้ว่าพวกทีมสีฟ้าอยู่ตรงไหน เจ้าพาพวกเขาไปที่โถงของพวกระดับสีม่วงเถอะ” เมื่อพูดจบ เธอก็หันหลังและเดินไปอีกทาง
เจ้าหน้าที่เองก็รู้จักเฟิงจือหลิน เธออยู่ในทีมระดับสีฟ้ามานานมากแล้วดังนั้นเขาจึงไม่ได้ห้ามอะไรเธอ เขาหันกลับมาหามู่หรงเสวี่ยและพูดว่า “ทั้งสองเชิญตามข้ามา…”
เฟิงจือหลิงตามเจ้าหน้าที่ไปที่อีกฝั่งของทางเดินแล้วไปหยุดที่ประตู เจ้าหน้าที่เคาะไปที่ประตู “ก๊อก ก๊อก!”
“เข้ามา!” น้ำเสียงสง่างามดังออกมาจากข้างใน!
เจ้าหน้าที่เปิดประตูอย่างระวังแล้วโค้งคำนับให้กับชายผู้แข็งแกร่งที่นั่งอยู่ในห้องประชุมแล้วพูดออกมาว่า “ต้องขออภัยด้วยนะครับท่านสุภาพบุรุษ ยังมีสมาชิกอีกสองท่าน…”
มู่หรงเสวี่ยมองแค่แวบเดียวก็เห็นว่าไม่มีสมาชิกที่เป็นวัยรุ่นเลย มีแต่ผู้ใหญ่ที่อายุน่าจะประมาณ 40 เกือบจะ 50 คน เธอรู้สึกได้ถึงแรงกดดันและการตรวจสอบจากสายตาทุกคู่
“ห้ามพาคนที่อยู่ในระดับต่ำกว่าสีม่วงเข้ามาในนี่ เจ้าลืมเรื่องกฎไปแล้วหรือไง?” หนึ่งในผู้อาวุโสพูดออกมาอย่างไม่พอใจ
เพราะมู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงขึ้นไปถึงระดับสูงสุดของระดับสีม่วงแล้ว พวกเขาจึงไม่ได้เปิดเผยระดับการฝึกตน ผู้คนที่อยู่ในโถงไม่มีใครเห็นระดับการฝึกตนของพวกเขาแต่เมื่อพวกเขาเห็นใบหน้าเด็กๆของเฟิงจือหลิง พวกเขาต่างก็คิดว่าเจ้าหน้าที่ทำผิดพลาด
เจ้าหน้าที่ก้มหัวต่ำลงไปอีก “ท่านสุภาพสตรีและสุภาพบุรุษ ทั้งสองท่านนี้อยู่ในระดับที่สูงสุดของระดับสีม่วง…”
“อะไรนะ?! ไร้สาระ!!! จะมีคนในระดับสีม่วงที่เด็กขนาดนี้ได้ยังไง…”
“ใช่แล้ว ระดับสีม่วงทั้งที่ยังเด็กแบบนี้เนี่ยนะ? ล้อกันเล่นหรือเปล่า…”
“ข้ามองระดับการฝึกตนไม่ชัดเจนเลย ข้าเดาว่าคงใช้อาวุธเวทมนตร์อะไรปิดบังไว้สินะ?”
“ถ้าเป็นแบบนั้น คนที่อยู่ในระดับการฝึกตนอย่างเจ้าหน้าที่ก็คงจะถูกหลอกแล้ว…”
“นี่เป็นช่วงเวลาพิเศษ มาประชุมกันเถอะ”
“…”
หลายคนในโถงเปิดปากพูดอย่างไม่พอใจพร้อมทั้งมองมาที่คนทั้งสองด้วยสายตาไม่เป็นมิตร
สีหน้าของเจ้าหน้าที่ซีดเผือด ไม่มีใครรู้เรื่องระดับการฝึกตนของมู่หรงเสวี่ยดีไปกว่าเขา เขาเพิ่งจะทดสอบพวกเขาเอง แล้วจะผิดพลาดได้ยังไงล่ะ? แม้แต่เขาเองก็ยังไม่อยากที่จะเชื่อ
เมื่อสองเดือนก่อน ระดับการฝึกตนของเฟิงจือหลิงยังอยู่ในระดับขั้นสูงสุดของระดับสีฟ้าแต่เพียงสองเดือนต่อมาเท่านั้น เขาก็ขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุดของระดับสีม่วง ช่างเป็นระดับการฝึกตนที่เร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ในทวีปเฟิงหยุนมีเพียงห้าคนเท่านั้นที่ขึ้นมาอยู่ในระดับสูงสุดของระดับสีม่วงได้ และมีเพียงสองคนเท่านั้นที่อยู่ในห้องประชุมตอนนี้
เจ้าหน้าที่ตัวสั่นและพยายามที่จะอธิบาย
“เงียบ ทั้งสองคนนี้อยู่ในระดับสีม่วง ใช่แล้ว!” เป็น หลงหมิง ชายแข็งแกร่งที่อยู่ในระดับสูงสุดของระดับสีม่วงที่นั่งอยู่ตั้งแต่แรกพูดขึ้นมา ตอนแรกเขาไม่ได้พูดอะไรเพราะกำลังตกใจอยู่
ทันทีที่คำพูดของชายที่แข็งแกร่งที่สุดดังออกมา ทุกอย่างก็เงียบลงทันทีและเหล่าผู้คนที่นั่งอยู่ที่ปลายโต๊ะต่างก็ถึงกับเบิกตากว้าง ถ้าเป็นคนอื่นพูดพวกเขาก็อาจจะไม่เชื่อแต่พวกเขาต่างก็คุ้นเคยกับชายที่นั่งหัวโต๊ะเป็นอย่างดี นอกจากท่านหลานซุนที่เป็นที่สุดของทวีปเฟิงหยุ่นแล้วก็มีเพียงเขาคนนี้แหละ
“งั้น…ท่านหลงทำไมเราถึงมองไม่เห็นระดับการฝึกตนของพวกเขาเลยล่ะ…” หนึ่งในพวกเขาที่อยู่ในระดับต้นของระดับสีม่วงพูดออกมา
หลงหมิง ชายที่แข็งแกร่งที่สุดที่อยู่ในระดับสูงสุดของระดับสีม่วงมองไปที่เขาและพูดออกมา “ที่เจ้าไม่เห็นระดับการฝึกตนของพวกเขามันก็เป็นเรื่องปกติ ทั้งสองคนนี้อยู่ในระดับการฝึกตนระดับเดียวกับข้า บางทีพวกเขาอาจจะแข็งแกร่งมากกว่าข้าด้วยซ้ำ พวกเขาต่างก็อยู่ในระดับสูงสุดของระดับสีม่วง…”
ในทวีปเฟิงหยุนมีคนหนุ่มที่แข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? พวกเขาไม่ได้ยินข่าวอะไรเลย มันแย่มากที่เป็นวัยรุ่นในระดับสีม่วง
เหล่าผู้คนที่ตั้งคำถามก่อนหน้านี้รู้สึกราวกับถูกตบหน้าและต่างก็หลบสายตาด้วยความอับอาย
“ท่านที่เคารพทั้งสอง เชิญเข้ามา ข้าหวังว่าพวกท่านจะไม่ถือสาเรื่องเสียมารยาทเมื่อกี้” หลงหมิงพูดกับมู่หรงเสวี่ยด้วยท่าทางเป็นมิตร
เฟิงจือหลิงพยักหน้าและเดินเข้าไปพร้อมกับมู่เทียน
เจ้าหน้าที่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้เห็นสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ท่านทั้งสองนี้เป็นกลุ่มคนที่หาได้ยากในช่วงเวลาปกติ ผู้คนแบบพวกเขามีแต่จะสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เขาทำความเคารพเหล่าผู้อาวุโสในห้องประชุมอีกครั้งและค่อยๆเดินออกไปพร้อมปิดประตูตาม
“จือหลิง เจ้าเพิ่งได้เลื่อนขึ้นไปอยู่ในระดับสีม่วงงั้นเหรอ?” พ่อของเฟิงจือหลิง เฟิงหลีเองก็อยู่ในกลุ่มพวกเขาด้วยแต่เพิ่งจะพูดอะไรออกมาเท่านั้น
ทันทีที่เสียงของเฟิงหลีดังออกมา ก็ดึงดูดสายตาของทุกคนให้หันกลับไปมองได้ทันที
“ขอรับท่านพ่อ!” เฟิงจือหลิงตอบกลับด้วยความเคารพ
“มาเถอะ มานั่นตรงนี้ นี่เป็นช่วงเวลาพิเศษ ไม่จำเป็นต้องมีพิธีรีตองอะไรมากมาย…” เฟิงหลีลมถอนหายใจอย่างโล่งอกและพูดกับลูกชายด้วยความภูมิใจ
“ข้าไม่คิดเลยว่านี่จะเป็นลูกชายของพี่เฟิง ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นเลยจริงๆ!”
“ทุกวันนี้คลื่นลูกหลังๆช่างเป็นคลื่นที่ไฟแรงกันจริงๆ อายุเพียงแค่นี้แต่มาได้ไกลขนาดนี้ แบบนี้การกลายเป็นเทพคงอยู่ไม่ไกลแล้วล่ะ”
“…”
ผู้คนเอาแต่พูดชมเชยไปมาซึ่งทำลายความอับอายเมื่อกี้ไปได้จนหมด
“ยินดีต้อนรับเจ้าเสมอนะ…” เฟิงหลีพูดอย่างเป็นทางการแต่รอยยิ้มบนสีหน้าเขากลับดูสดใสอย่างมาก
“ข้าไม่รู้ว่าคนที่อยู่ข้างๆเจ้าคือใครกัน?” ครั้งนี้พูดถึง มู่หรงเสวี่ย
เพราะมู่หรงเสวี่ยยังคงสวมหมวกปิดบังใบหน้าไว้ทั้งหมดซึ่งในสายตาของหลิวเหว่ยดูแปลกไปสักหน่อย อีกอย่างนี่ไม่ค่อยสุภาพเท่าไรเลยด้วย
“เขาชื่อมู่เทียน เป็นลูกศิษย์ของท่านหลานซุน!” เฟิงจือหลิงตอบ
“ลูกศิษย์ของท่านหลานซุนนี่เอง ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเขาถึงมีระดับการฝึกตนที่สูงขนาดนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย…”
ดูเหมือนว่าท่านหลานซุนจะทรงอำนาจจริงๆ ขนาดทำให้เด็กที่อายุไม่เท่าไรแต่ก็ยังขึ้นมาอยู่ในระดับสีม่วงได้ พวกเขาไม่แปลกใจเลยเพราะไม่มีใครรู้เลยว่าท่านหลานซุนอยู่ในระดับการฝึกตนขั้นไหนแต่ต่างก็เดากันไปว่าเขาน่าจะกลายเป็นเทพไปแล้ว ส่วนเหตุผลที่ทำไมเขาไม่ไปไหนทั้งๆที่กลายเป็นเทพแล้ว นั่นก็เป็นเรื่องที่พวกเขาไม่มีทางรู้
แม้แต่ชายในระดับสูงสุดของระดับสีม่วงก็ยังผ่านหมัดแรกของท่านหลานซุนไปไม่ได้เลย นั่นคือฝีมือระดับเทพเลย
“แต่เจ้าก็น่าจะถอดหมวกออก หรืออย่างน้อยก็ให้เราเห็นหน้าหน่อยได้ไหม?” มีบางคนแนะนำขึ้นมา
สีหน้าของเฟิงจือหลิงเปลี่ยนไปและเขาอยากที่จะร้องห้ามแต่ก็ถูกมู่เทียนห้ามไว้ เธอค่อยๆถอดหมวกออก เผยให้เห็นผมสีม่วงที่สดใสแล้วจึงถอดหน้ากากออก ใบหน้าที่เต็มไปด้วยอักษรรูนปรากฏต่อสายตาทุกคน
ทั้งห้องโถงต่างเงียบกริบ
วินาทีต่อมาก็เกิดเสียงเอะอะ… “นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”
“นี่มัน…”
“พระเจ้า…”
“…”
มู่หรงขมวดคิ้ว “ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาสนใจเรื่องรูปลักษณ์ของข้า แต่ควรที่จะสนใจเรื่องสถานการณ์ของป่าแห่งความตายก่อน!”
“แน่นอน เราต้องหารือกันเรื่องป่าแห่งความตายแต่เจ้า…ก็ควรจะอธิบายตัวเองด้วย…”
เดิมทีเป็นเพราะวิกฤตที่กะทันหันครั้งนี้ถึงได้รวมทุกคนเข้ามาด้วยกันแต่ทุกคนก็ไม่ได้เชื่อใจกันมากนัก แต่ตอนนี้มีเรื่องสวรรค์และภูตผีอีก ดังนั้นทุกคนจึงต้องระวัง
“นี่เป็นเพราะข้าถูกวิญญาณปีศาจของป่าแห่งความตายปนเปื้อน ตอนนี้โชคดีมากที่ข้ายังรอดชีวิตมาได้ ดังนั้นพวกเราจึงไม่มีเวลามากนัก ถ้าเกราะป้องกันแตกออก ทั่วทั้งทวีปเฟิงหยุนจะต้องกลายเป็นเมืองร้าง…” มู่หรงเสวี่ยอธิบายเสียงเบา เธอไม่มีเจตนาที่จะขัดแย้งกับทุกคน ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการแก้ปัญหาก่อน เธอเป็นห่วงเหล่าอาจารย์…
“อะไรนะ? วิญญาณปีศาจงั้นเหรอ?”
“มู่เทียน อะไรคือวิญญาณปีศาจ?”
“หมอกดำในป่าแห่งความตายคือวิญญาณปีศาจ ในช่วงสองเดือนแรก ข้าบังเอิญถูกวิญญาณปีศาจโจมตีที่หน้าผา โชคดีที่ท่านอาจารย์หลานซุนช่วยชีวิตที่เกือบไม่รอดของข้าไว้ แต่ก็อย่างที่พวกท่านเห็นอยู่ตอนนี้ ในตอนนั้นข้าก็อยู่ในระดับสีม่วงแล้ว ดังนั้นคงจะเข้าใจแล้วว่าวิญญาณปีศาจมันร้ายกาจขนาดไหน แม้แต่ระดับการฝึกตนระดับสีม่วงก็ยังต้านทานทันไม่ได้…”
ทันทีที่มู่หรงเสวี่ยพูดจบ สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไปในทันที จะมีอะไรที่เลวร้ายไปกว่านี้ได้อีกล่ะ? ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างก็คิดว่าอย่างน้อยตัวเองก็เป็นกลุ่มคนที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกและพวกเขาก็คงจะไม่ตาย ถึงแม้พวกคนธรรมดาจะต้องตายแต่อย่างน้อยพวกเขาก็จะรอด พวกเขาต่างก็มีความคิดแบบนี้อยู่ในใจกันบ้างไม่มากก็น้อย
“นี่เจ้าพูด…เรื่องจริงเหรอ?” หลงหมิงถามจริงจัง
มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า “จริงแน่นอน! อีกอย่างข้าอยากที่จะถาม ท่านอาจารย์ของข้าอยู่ที่ไหน? ก่อนหน้านี้ข้าสลบอยู่จึงไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง?”
ถึงแม้เฟิงจือหลินจะบอกว่าเขาเข้าไปในป่าแห่งความตาย แต่ขั้นตอนเป็นยังไงล่ะ? เฟิงจือหลินก็ไม่เข้าใจเหมือนกันเพราะเธออยู่ในระดับการฝึกตนสีฟ้าเท่านั้นและไม่มีคุณสมบัติที่จะมีส่วนร่วมในการตัดสินใจสูงสุด
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้สีหน้าของทุกคนก็เคร่งเครียดขึ้นมามากกว่าเดิม ถ้าคนแรกในทวีปเฟิงหยุนที่จะต้องนึกถึงก็คงจะเป็นหลานซุน ถ้าแม้แต่ระดับการฝึกตนอย่างท่านอาจารย์หลานซุนก็ยังหยุดไม่ได้ งั้นจะเหลือความหวังอะไรให้พวกเขาอีก
หลังจากที่เงียบกันไปนาน หลงหมิงก็พูดขัดบรรยากาศที่หนักอึ้งในตอนนี้ขึ้นมา “ท่านหลานซุนพูดเมื่อเดือนที่แล้วว่าจะเข้าไปตรวจสอบสถานการณ์แต่ก็ยังไม่ออกมาเลย!”
“คิดว่าเกราะป้องกันของป่าแห่งความตายคงทนได้อีกไม่นาน ในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้มีหลายจุดที่แตกออกมาแล้ว…” ทุกคนเริ่มที่จะหารือถึงความกังวลใหญ่นี้
“ไม่มีทางหรอก ปกติแล้วเกราะส่วนใหญ่ที่ท่านหลานซุนเป็นคนสร้างขึ้นมาและเราก็คงจะสร้างขึ้นมาใหม่ด้วยระดับการฝึกตนสีม่วงของพวกเราเอง!”
“เกราะที่ใหญ่ขนาดนั้น ต่อให้พวกเราทุกคนรวมพลังกันก็อาจจะทำไม่ได้อยู่ดี…” ดังนั้นพวกเขาจึงมั่นใจมากว่าระดับการฝึกตนของท่านหลานซุนน่าจะขึ้นไปถึงระดับเทพแล้ว
หลายวันผ่านไปหลานซุนก็ยังไม่ออกมา ทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะกังวลกันมากขึ้นและเริ่มที่จะเรียกคนที่แข็งแกร่งที่สุดของทวีปเฟิงหยุนมาเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในตอนนี้หรือไม่งั้นทุกคนคงต้องตายกันหมด!