ตอนที่ 602 นายปล่อยฉันสิ / ตอนที่ 603 อาการไม่ดี

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 602 นายปล่อยฉันสิ

 

 

           มั่วไป๋ยังจดจำได้ วันนั้นเขามองดูดวงตาสีดำขลับของไป๋จิ่ง พลันคิดขึ้นมาว่าถึงอย่างไรเขาก็จะเป็นแบบนี้ไปตลอดชีวิตนี้แล้ว

 

 

           เป็นศพเดินได้ หัวใจดั่งน้ำตาย ตลอดชีวิตนี้คงจะไม่สามารถไปชอบคนอื่นได้อีกแล้วเช่นกัน

 

 

           เขาใจกล้ามาเสมอ แต่นาทีนี้เมื่อได้เผชิญหน้ากับไป๋จิ่ง เขากลับขี้ขลาดขึ้นมาในทันใด

 

 

           เขามองดูใบหน้าไป๋จิ่ง คนที่เขาเคยคิดถึงทั้งวันทั้งคืน ทั้งเช้าทั้งเย็น สู้หัวชนฝาอย่างไรก็อยู่ในใจของเขา

 

 

           นอกจากไป๋จิ่งแล้ว เขาก็ชอบคนอื่นไม่ลงอีกแล้ว

 

 

           ‘ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมจะใจกล้าอีกครั้งไม่ได้…

 

 

           …ถึงยังไงก็จะไม่แย่ไปกว่าตอนนี้ไม่ใช่เหรอ’

 

 

           ดังนั้นเขาจึงเงียบงันเป็นเวลานานมาก กว่าจะพยักหน้าให้ไป๋จิ่ง

 

 

           เขาพูดว่า “ได้ แต่ไป๋จิ่งครั้งนี้ ฉันไม่สามารถจะเดินไปข้างหน้าอีกก้าวเดียวได้แล้วนะ”

 

 

           ……

 

 

           มั่วไป๋หลุดออกจากห้วงความทรงจำ เขายังคงอยู่ในท่าเดิมเอียงหน้ามองไป๋จิ่ง

 

 

           ไป๋จิ่งรับรู้ได้ถึงสายตาของมั่วไป๋ เขากะพริบตาปริบๆ แกมหยอกล้อกับมั่วไป๋

 

 

           มั่วไป๋รีบเก็บสายตากลับทันที ตีสีหน้าเย็นชา แต่ใบหูกลับแดงระเรื่อ

 

 

           ไป๋จิ่งทำแป้งเกี๊ยวเสร็จ มั่วไป๋ยังทำไม่เสร็จ เขาเองก็ไม่รีบร้อน ล้างมือทั้งสองข้างจนสะอาดแล้วเดินไปอยู่ข้างๆ มั่วไป๋

 

 

           มั่วไป๋เห็นแบบนี้ เขาก็ปล่อยมือออก เตรียมจะให้ไป๋จิ่งมาทำต่อ

 

 

           แต่ไป๋จิ่งไม่ได้มารับช่วงทำต่อ แต่เดินไปหามั่วไป๋แล้วยื่นมือไปล็อคเอวเขาไว้ คนทั้งคนสวมกอดเข้าจากข้างหลัง

 

 

           มั่วไป๋ตกใจ มือที่ถือมีดอยู่สั่นเทา เกือบจะจับไว้ไม่อยู่แล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นแบบนี้ เขาก็ปล่อยมือข้างหนึ่งช่วยมั่วไป๋ถือมีด เสียงต่ำเอ่ยขึ้น “มีดต้องจับไว้แน่นๆ ถึงบาดมือขึ้นมาจะทำยังไง”

 

 

           เขาพูดคำแสดงความเป็นห่วงเป็นใย แต่ในน้ำเสียงกลับมีความติดตลกอยู่

 

 

           มั่วไป๋ขบกรามแน่น เอ่ยเสียงต่ำ “นายปล่อยฉันสิ”

 

 

           ไป๋จิ่งไม่ปล่อยมือ ยังกระชับมือแน่นขึ้นอีก “ไม่ปล่อย”

 

 

           มือเขาข้างหนึ่งกุมมือมั่วไป๋ไว้ มืออีกข้างหนึ่งโอบเอวมั่วไป๋ไว้เหมือนพลาสเตอร์หนังหมาไม่มีผิด

 

 

           มั่วไป๋ทำอะไรเขาไม่ได้ ทำได้เพียงถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ ทำไส้ต่อไป

 

 

           ไป๋จิ่งกอดมั่วไป๋ไว้ อดจะแอบยิ้มในใจไม่ได้

 

 

           เขาหัวเราะคิกคักตัวสั่น มั่วไป๋ถูกเขาหัวเราะที่แม้แต่มีดก็ถือไม่ดี เขาหยุดการกระทำในมือลงเสียดื้อๆ แล้วหันหน้ามาถลึงตาใส่ไป๋จิ่ง “นายหัวเราะอีก ก็ออกไปเลย”

 

 

           ไป๋จิ่งโดนต่อว่า เขาก็รีบเก็บรอยยิ้มบนใบหน้าทันที แต่มุมปากกลับหยุดเผยอขึ้นไม่อยู่

 

 

           ตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นมา ไป๋จิ่งกับมั่วไป๋ก็อยู่กันในสภาพนี้อย่างเช่นตอนนี้มาตลอด

 

 

           ก็เหมือนกับที่มั่วไป๋พูดในวันนั้น เขาไม่สามารถจะเดินไปข้างหน้าอีกก้าวเดียวได้แล้ว ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่จะเป็นไป๋จิ่งที่เป็นฝ่ายมาวนเวียนอยู่กับมั่วไป๋ อยากจูบ อยากกอด

 

 

           แต่มั่วไป๋กลับไม่ได้เคยปฏิเสธไป๋จิ่งแม้สักครั้ง

 

 

           เขาอยากจะลองดูเหมือนกันว่าจะเดินกับไป๋จิ่งไปได้ถึงขั้นไหน

 

 

           กว่าจะทำไส้เสร็จไม่ใช่ง่ายๆ ไป๋จิ่งและมั่วไป๋ยืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ทั้งสองคนอยู่ห่อเกี๊ยวอยู่ข้างๆ

 

 

           บางครั้งบางคราวไป๋จิ่งเงยหน้ามองมั่วไป๋ ในดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

 

 

           ถึงแม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะไม่ได้คืบหน้าไปมากเท่าไหร่นัก แต่มั่วไป๋ก็ไม่ขับไล่เขาแล้ว สำหรับไป๋จิ่งแล้วถือว่ามีความคืบหน้าไปมาก

 

 

           ขอเพียงแต่มั่วไป๋ไม่ถอยหลังกลับไป ไม่ช้าก็เร็วสักเขาจะพามั่วไป๋เดินไปข้างหน้าได้

 

 

           ……

 

 

           “วันนี้อากาศใช้ได้ทีเดียว อยากออกไปซื้อของกับผมสักหน่อยไหม จะได้พาคุณไปตรวจด้วยพอดี”

 

 

           หลังจากกินอาหารเช้ากันแล้ว ไป๋จิ่งเอ่ยถามเสียงต่ำ

 

 

           มั่วไป๋คิดดูแล้ว ตัวเองก็ไม่มีธุระอะไร ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ก็ไม่เคยได้ลงไปสักครั้ง ลงไปดูบ้างก็น่าจะได้

 

 

           ด้วยเหตุนี้เขาจึงพยักหน้ารับ “ได้”

 

 

           หล้งจากกินอาหารเสร็จแล้ว ไป๋จิ่งขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า มั่วไป๋เก็บกวาดของบนโต๊ะ

 

 

           กว่ามั่วไป๋จะจัดการเสร็จ ไป๋จิ่งก็เปลี่ยนเสื้อผ้าลงมาเรียบร้อยแล้ว

 

 

           ไป๋จิ่งถือเสื้อคลุมยาวมา “มา ใส่เสื้อคลุมไว้ ข้างนอกหนาว”

 

 

 

 

  ตอนที่ 603 อาการไม่ดี

 

 

           มั่วไป๋เอื้อมมือไปเตรียมจะรับเสื้อคลุมจากมือของไป๋จิ่ง แต่ไป๋จิ่งไม่ได้ส่งต่อให้เขา ตรงกันข้ามกลับกดมือเขาไว้ ช่วยเขาใส่เสื้อคลุมกับมือตัวเอง

 

 

           ยังเป็นห่วงกลัวว่าเขาจะหนาว ยื่นมือไปติดกระดุมเสื้อคลุมให้เขาอีก

 

 

           มั่วไป๋มองเขาด้วยท่าทางระมัดระวัง อดจะพูดขึ้นไม่ได้ “ข้างนอกก็ไม่ได้หนาวขนาดนั้น”

 

 

           ไป๋จิ่งส่ายหัว เอื้อมมือไปหยิบผ้าพันคอแคชเมียร์สีดำจากด้านข้างมาพันคอให้มั่วไป๋โดยไม่ยอมให้มั่วไป๋เอ่ยแย้งใดๆ ทั้งสิ้น เห็นเขาห่อตัวอย่างแน่นหนาแล้ว ถึงได้ปล่อยมือลงด้วยความพอใจ

 

 

           มั่วไป๋มองดูตัวเองอย่างทำอะไรไม่ได้ เขาเป็นผู้ใหญ่มีมือมีเท้าคนหนึ่ง

 

 

           ทำไมต่อหน้าไป๋จิ่งถึงเหมือนกับคนซื่อบื้อไม่มีผิด ทำอะไรก็ไม่ดีทั้งนั้น

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋พันตัวดีแล้ว ถึงได้จูงมือเขาออกประตูไป

 

 

           เวลานี้ได้เคลื่อนเข้าสู่เดือนธันวาคมไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใบไม้ข้างนอกร่วงหล่นไปหมดแล้ว ดูโล่งตา

 

 

           พอพ้นประตูมาก็รู้สึกถึงสายลมหนาวระลอกหนึ่งได้

 

 

           ไป๋จิ่งมองมาทางมั่วไป๋ทันที “เป็นยังไงบ้าง หนาวหรือเปล่า”

 

 

           มั่วไป๋ส่ายหัวด้วยความขบขัน “นายห่อตัวฉันจนเหลือแค่ตาที่อยู่ข้างนอกแล้ว”

 

 

           ไป๋จิ่งเอียงหน้ามองมั่วไป๋ ยิ้มหัวเราะด้วยความเคอะเขิน

 

 

           รถจอดอยู่ด้านข้าง ไป๋จิ่งเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว เขาไปเปิดฮีทเตอร์ข้างในก่อน

 

 

           มั่วไป๋ยื่นมือไปดึงประตูรถเปิดออกแล้วเข้าไปนั่ง ไป๋จิ่งส่งแก้วเก็บอุณหภูมิจากด้านข้างมาให้ “ถือไว้อุ่นมือก่อนนะ”

 

 

           ตั้งแต่ส่งตัวมั่วไป๋จากโรงพยาบาลมาอยู่ที่นี่ ไป๋จิ่งก็ดูแลมั่วไป๋อย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ

 

 

           ราวกับอยากเติมเต็มความเอาใจใส่ที่ขาดหายไปคืนให้มั่วไป๋ทั้งหมดอย่างไรอย่างนั้น

 

 

           มั่วไป๋ก้มหน้าลง รับแก้วจากในมือไป๋จิ่งมา อุณหภูมิกำลังดี ร้อนลวกบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำให้คนถือไม่ไหว

 

 

           มั่วไป๋กุมแก้วเอาไว้ อุณหภูมิความร้อนค่อยๆ แผ่ขยายจากฝ่ามือไปถึงข้างในหัวใจ ละลายหัวใจที่ปิดผนึกของมั่วไป๋ทีละนิดๆ

 

 

           รถเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้าๆ เส้นทางบนเขาไม่ค่อยดี ไป๋จิ่งขับรถค่อนข้างช้า ลงจากเขาไปทีละนิดๆ

 

 

           การเดินทางโดยใช้รถเป็นเวลาสองชั่วโมง เขาใช้เวลาสามชั่วโมงเต็มๆ กว่าจะลงเขามาได้

 

 

           หลังจากลงเขามาแล้ว ไป๋จิ่งขับรถพามั่วไป๋ไปยังโรงพยาบาลก่อน เขานัดเวลากับเหยียนอวี้แล้ว

 

 

           นี่เป็นการตรวจร่างกายครั้งแรกหลังจากการผ่าตัด เมื่อไป๋จิ่งถึงโรงพยาบาล เขาก็ตื่นตระหนกโดยอัตโนมัติ กว่าจะส่งตัวคนถึงมือเหยียนอวี้ไม่ใช่ง่ายๆ

 

 

           เหยียนอวี้พามั่วไป๋ไปทำการตรวจด้วยตัวเอง ไป๋จิ่งเข้าไปไม่ได้ ทำได้เพียงยืนรออยู่นอกประตู

 

 

           เวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง เหยียนอวี้ถึงได้เดินออกมาจากข้างใน

 

 

           พอไป๋จิ่งเห็นเหยียนอวี้ก็เอ่ยถามขึ้นทันที “เป็นยังไงบ้างครับ”

 

 

           เหยียนอวี้เห็นท่าทีร้อนรนของไป๋จิ่ง เขาก็อดจะยกยิ้มมุมปากขึ้นไม่ได้ สายตาประกายแผนการบางอย่าง

 

 

           เขาฉวยโอกาสก่อนที่มั่วไป๋ยังไม่ออกมา ทำหน้าตึงเครียดมองไป๋จิ่ง

 

 

           สีหน้าเหยียนอวี้ดูจริงจังมาก เขามองไป๋จิ่งพลางอ้าปากจะพูด หลังจากนั้นก็พูดไม่ออก

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นเหยียนอวี้เป็นแบบนี้ เขาก็ร้อนใจขึ้นมาเสียเดี๋ยวนั้น

 

 

           “เป็นยังไงบ้างครับ”

 

 

           เหยียนอวี้กังวลว่าเดี๋ยวสักครู่มั่วไป๋จะออกมา เสียงต่ำจึงเอ่ยขึ้น “ฟื้นตัวไม่ค่อยดีเท่าไหร่ครับ”

 

 

           เขาถอนหายใจเงียบๆ หลังจากนั้นก็ส่ายหัวเดินไป

 

 

           ไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋ออกเดินไปไกล สีหน้าก็หนักอึ้งขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ

 

 

           ‘ไม่ค่อยดีหมายความว่ายังไง’

 

 

           เขายังไม่ทันได้ถามต่อ มั่วไป๋ก็เดินออกมาจากข้างใน

 

 

           พอไป๋จิ่งเห็นมั่วไป๋ เขาก็เดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว เอื้อมมือไปคว้าตัวคนเข้ามากอดไว้ในอ้อมอก

 

 

           มั่วไป๋ตะลึงงัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ผลักไป๋จิ่งออก ปล่อยให้เขากอดตัวเองไว้ในอ้อมอก

 

 

           เพียงชั่วขณะหนึ่ง เขายกมือตบไป๋จิ่งเบาๆ “เป็นอะไรไป”

 

 

           ไป๋จิ่งส่ายหัว ไม่ได้ถามมั่วไป๋ ถึงอย่างไรต่อให้ถามมั่วไป๋ มั่วไป๋ก็จะไม่บอกความจริงเขาอยู่ดี  

 

 

           ไป๋จิ่งคลายมือออกอย่างช้าๆ ส่งมือไปกุมมือมั่วไป๋ไว้ “ไปกันเถอะ พวกเรายังมีธุระอย่างอื่นที่ต้องทำ”