ตอนที่ 604 ไม่ค่อยปกติเท่าไหร่
“อืม” มั่วไป๋ขานรับ เขาไปห้องทำงานของเหยียนอวี้ เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ที่ไป๋จิ่งไม่ได้เข้าไปด้วย
ไป๋จิ่งยืนรอมั่วไป๋อยู่นอกประตู เขาคิดว่ามั่วไป๋คงไม่อยากจะบอกเขาเกี่ยวกับอาการที่แท้จริงของตัวเอง
ข้างในห้อง เหยียนอวี้เอามือตบมั่วไป๋เบาๆ “คิดไม่ถึงว่านายจะฟื้นตัวได้ดีกว่าที่ฉันคิดไว้มาก” เขาเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “คิดไม่ถึงว่าไป๋จิ่งจะดูแลนายได้ไม่เลวเลย”
มั่วไป๋ได้ยินเขาเอ่ยถึงไป๋จิ่ง เขาก็หลุบตาลงเล็กน้อย ค่อนข้างเคอะเขินอยู่ในที
“เห็นนายเป็นแบบนี้ ฉันก็มีความสุขมากแล้ว”
มั่วไป๋เงยหน้ามองเหยียนอวี้พร้อมรอยยิ้ม “ลำบากนายมานานขนาดนี้แล้ว”
“พูดคำนี้กับฉันทำไม ถึงยังไงต่อไปนายก็มาลำบากไม่ถึงฉันหรอก” มีไป๋จิ่งแฟนหนุ่มยี่สิบสี่ยอดกตัญญู[1]แบบนั้น ต่อให้เขาอยากจะลำบากด้วยก็ลำบากไม่ถึงเขาแล้ว
เหยียนอวี้กำชับเรื่องที่ต้องระวัง ก่อนที่มั่วไป๋จะออกไปพร้อมกับไป๋จิ่ง
ออกจากโรงพยาบาลมา ไป๋จิ่งเงียบไม่ค่อยจะพูดจามาตลอดทาง มั่วไป๋รู้สึกว่าท่าทีตอบสนองของเขาดูแปลกไป ตัวเองอดไม่ได้ที่จะเอียงหน้ามามองเขาอยู่หลายครั้ง
หลังจากขึ้นรถมาแล้ว ในที่สุดมั่วไป๋ก็ทนไม่ไหว เสียงต่ำเอ่ยถามขึ้น “ไป๋จิ่ง นายไม่เป็นไรใช่ไหม”
ไป๋จิ่งเก็บอารมณ์ที่แสดงบนใบหน้าเข้าไป “ไม่เป็นไร ผมจะมีเรื่องอะไรได้”
มั่วไป๋หรี่ตามองเขาอย่างไม่เชื่อ รู้สึกมาตลอดว่าหลังจากที่เขาไปตรวจอาการมาเสร็จ ไป๋จิ่งก็ไม่ค่อยจะปกติเท่าไหร่
เพียงแต่ว่าไป๋จิ่งไม่ยอมพูด มั่วไป๋เองก็ไม่ได้ถามอะไรมาก
เขาเก็บความคิดในหัวเข้าไป มีสมาธิกับการขับรถ ทั้งสองคนไปกินอาหารกลางวันที่ร้านอาหารข้างๆ หลังจากนั้นถึงได้ขับรถไปยังห้างสรรพสินค้า
เขารู้สึกว่าเสื้อผ้าที่เขาเตรียมให้มั่วไป๋ตอนที่มั่วไป๋มาตอนแรกๆ ดูจะบางไป
ช่วงนี้อุณหภูมิลดต่ำ วันต่อๆ มายิ่งหนาวขึ้นเรื่อยๆ อีกอย่างอยู่ในเขา ถึงแม้ว่าจะมีฮีทเตอร์ แต่ไป๋จิ่งก็ยังกลัวมั่วไป๋จะเป็นหวัดเอาได้
อีกอย่างตอนนี้เหยียนอวี้ยังบอกอีกว่ามั่วไป๋ฟื้นตัวได้ไม่ดี ดังนั้นยิ่งควรที่จะระมัดระวังมากขึ้น
เดิมทีมั่วไป๋คิดว่าไป๋จิ่งจะซื้อเสื้อผ้าที่เข้ากันไม่กี่ตัว แต่พอเข้าห้างสรรพสินค้าไป ไป๋จิ่งก็เอาแต่หยิบเสื้อผ้ามาทาบตัววัดกับเขาตลอด
มุมปากมั่วไป๋กระตุก “นายจะซื้อให้ฉันเหรอ”
ไป๋จิ่งพยักหน้า “แน่นอน”
“ฉันไม่ต้องการ” เสื้อผ้าในตู้เสื้อผ้านั้นของเขาใส่หนึ่งปีก็ยังใส่ไม่หมด
ไป๋จิ่งไม่ได้พูดอะไร ยื่นมือไปหยิบเสื้อกันหนาวไหมพรม เนื้อผ้าชั้นดี ยังเก็บความอุ่นได้ดีที่สุดอีกด้วย
หลังจากนั้นก็หยิบเสื้อคลุมสีครีมมาหนึ่งตัว
มั่วไป๋ยืนอยู่ข้างๆ มองการกระทำของเขาด้วยความขบขัน เมื่อก่อนทำไมเขาถึงไม่รู้สึกเลยว่าไป๋จิ่งจะเป็นพวกชอบซื้อของแบบนี้โดยไม่คาดคิดได้
ร้านนี้เป็นร้านที่ไป๋จิ่งชอบที่สุด ราคาสูงลิ่ว แต่เนื้อผ้าดีมาก ทั้งหมดเป็นผ้าทอมือ
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ไปที่อื่น พามั่วไป๋เข้ามาที่นี่โดยตรง
มั่วไป๋เห็นท่าทีจะซื้อๆๆ ของเขา ตัวเองจึงนั่งลงบนโซฟาที่อยู่ข้างๆ รอไป๋จิ่งเลือกให้เสร็จสรรพ
ไป๋จิ่งเลือกชุดให้มั่วไป๋อยู่หลายตัว ก่อนจะพยักหน้าด้วยความพอใจ
เขาหยิบเสื้อผ้ามาแล้วยืนอยู่ต่อหน้ามั่วไป๋ “เป็นยังไงบ้าง คงจะเข้ากับคุณมากอยู่ใช่ไหม”
มั่วไป๋มองดูทีสองที ไม่พูดไม่ได้ว่าสายตาไป๋จิ่งดีมากจริงๆ
ทุกตัวเข้ากับเขามาก
มั่วไป๋ขานรับ “ได้”
ใบหน้าไป๋จิ่งแต่งแต้มรอยยิ้ม มั่วไป๋ลุกขึ้นจากโซฟา หยิบบัตรของตัวเองยื่นส่งไปให้
ไป๋จิ่งตะลึงงัน หันมามองมั่วไป๋ แววตาฉายสะท้อนความไม่แน่ใจ
มั่วไป๋โน้มตัวเข้าไปใกล้ เอ่ยเสียงต่ำด้วยความขบขัน “ครั้งนี้ฉันเอง”
เขาเองก็เป็นผู้ชาย ทั้งยังเป็นผู้ชายที่มีรายได้ ตอนนี้อาศัยอยู่บ้านไป๋จิ่งทั้งวัน ใช้เงินของไป๋จิ่งด้วย ถ้าแม้แต่เสื้อผ้ายังต้องให้ไป๋จิ่งใช้เงินซื้อให้
ต่อหน้าไป๋จิ่ง เขาก็โงหัวไม่ขึ้นแล้ว
[1] ยี่สิบสี่ยอดกตัญญู เป็นนิทานพื้นบ้านที่นำเสนอถึงความกตัญญูตามปรัชญาขงจื้อ 7 ประการ ได้แก่ การเลี้ยงดูบุพการี การปรนนิบัติรับใช้บุพการีอย่างเสมอต้นเสมอปลาย การให้ความสุขแก่บุพการี การให้อภัยต่อความผิดพลาดของบุพการี การปกป้องบุพการี การรำลึกถึงบุพการี จัดงานศพและเซ่นไหว้บุพการี
ตอนที่ 605 เดินไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว
ถูกไป๋จิ่งเลี้ยงโดยสมบูรณ์แบบนั้น มั่วไป๋ไม่ชอบ
ดังนั้นต่อให้ตอนนี้เขากับไป๋จิ่งมีความสัมพันธ์เป็นคู่รักกัน แต่มีบางมีหลักการ เขาก็ยังต้องการอยู่
ไป๋จิ่งเอียงหน้า สายตาจดจ่อที่ใบหน้ามั่วไป๋ เหมือนจู่ๆ เขาจะเข้าใจความหมายของมั่วไป๋จริงแล้ว
ทันใดนั้นเขาก็ล็อคเอวมั่วไป๋ไว้ “จู่ๆ ผมก็นึกขึ้นมาได้ ผมเองก็ขาดเสื้อผ้าอีกเหมือนกัน ไม่งั้นคุณก็มาช่วยผมซื้อด้วยกันเลยไหม”
มั่วไป๋เพ่งสายตาไปยังเสื้อคลุมตัวใหญ่สีดำที่เมื่อครู่เขาดูอยู่ตั้งนานสองนาน เขาหัวเราะเบาๆ ให้คนหยิบเสื้อคลุมตัวใหญ่มาให้
ไป๋จิ่งเห็นเสื้อคลุมตัวใหญ่แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “วันนี้ตอนเช้าคุณทำชุดนอนผมเปื้อน”
มั่วไป๋ยื่นบัตรให้ แต่ปากกลับเอ่ย “เดี๋ยวซื้อคืนนายแล้ว”
หลังจากไป๋จิ่งได้ยิน เขาก็ยิ้มหัวเราะด้วยความพอใจ
ได้ใส่ชุดนอนที่มั่วไป๋ซื้อให้ตัวเอง นอนกอดมั่วไป๋ คิดดูแล้วช่างเป็นภาพที่สวยงามมากทีเดียว
ชุดที่ซื้อบรรจุลงถุงได้อย่างรวดเร็วมาก เสื้อผ้าทั้งหมดอยู่ในมือของไป๋จิ่ง มีเพียงแค่เสื้อคลุมตัวใหญ่ตัวเดียวเท่านั้นที่อยู่ในมือมั่วไป๋
มั่วไป๋บีบถุงในมือ เขายิ้มอย่างไม่อดกลั้นแล้ว
ดูท่าว่าครั้งนี้ เขาก็ลองก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าวได้แล้ว
……
มั่วไป๋ไปซื้อชุดนอนสองชุดเป็นเพื่อนไป๋จิ่งเรียบร้อย เวลานี้ถึงได้ออกจากห้างสรรพสินค้าไป
เขารู้ว่าเมื่อครู่นี้ในร้านเสื้อผ้า ไป๋จิ่งเข้าใจในจุดยืนของเขาแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้ยืนกรานจะช่วยเขาออกเงิน
เขาใช้เงินของตัวเองช่วยไป๋จิ่งซื้อเสื้อผ้า
ไป๋จิ่งใช้เงินของไป๋จิ่งซื้อของให้เขา
ปฏิบัติต่อกันไปมาเช่นนี้ ถึงจะมีความรู้สึกเหมือนคบกันในฐานะคนรัก
ไม่ว่าเมื่อก่อนจะเป็นเช่นไร ท่ามกลางความรักความผูกพัน เดิมทีต่างฝ่ายต่างก็ควรจะทุ่มเทให้กันและกัน จะมีหรือหลักการที่ให้ทุ่มเทอยู่ฝ่ายเดียว
ตอนแรกเริ่มเขาเป็นฝ่ายทุ่มเท สุดท้ายถึงได้ตกต่ำจนมีจุดจบแบบนั้น
ต่อมาไป๋จิ่งเป็นฝ่ายทุ่มเท ดังนั้นจึงตกต่ำจนมีผลสุดท้ายคือเลิกกัน
ครั้งนี้ในที่สุดมั่วไป๋ก็เข้าใจอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว
ถึงแม้ว่าปากเขาจะพูดไปว่าครั้งนี้เขาไม่สามารถจะเดินไปข้างหน้าอีกได้แล้ว แต่เขาเดินไปข้างหน้าหลายก้าวแล้วโดยไม่รู้ตัว
ตั้งแต่ตกลงปลงใจกับไป๋จิ่ง
ตั้งแต่ยอมปล่อยให้ไป๋จิ่งกอดเขา จูบเขา ทำอะไรที่ดูสนิทชิดเชื้อกันตามอำเภอใจ
เขาก็ควบคุมไม่ให้ตัวเองเดินต่อไปไม่อยู่แล้ว
จู่ๆ มั่วไป๋ก็เงยหน้าขึ้นมองมาที่ไป๋จิ่ง ไป๋จิ่งกำลังคิดทบทวนว่าจะซื้ออะไรกลับบ้านเพิ่มเติมให้มั่วไป๋ดี
ทันใดนั้นมือที่ว่างอยู่ก็ถูกคนจับเอาไว้
ไป๋จิ่งชะงักฝีเท้า เขาหันหน้ามามองมั่วไป๋ คิดว่าเขามีเรื่องอะไร
ก็เพียงแค่เห็นว่ามั่วไป๋ยืนอยู่ที่เดิมมองเขาอยู่ ไป๋จิ่งมองดูสายตามั่วไป๋ที่มองมา รู้สึกว่าไม่ค่อยจะปกติจากที่เคยเป็นมาเท่าไหร่
ความรู้สึกแบบนั้น…
เหมือนมั่วไป๋ แต่กลับไม่ค่อยเหมือน กลับมีกลิ่นอายของหลินฝานเกิดขึ้นทีละนิดๆ
เพราะความคิดนี้ หัวใจไป๋จิ่งจึงเต้นแรงขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว เขาจับมือมั่วไป๋ไว้แน่น เสียงต่ำเอ่ยถาม “เป็นอะไรไป มีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะแล้วส่ายหัวทันที
ไป๋จิ่งเห็นเขายิ้มหัวเราะเบาๆ แต่กลับไม่พูดจา เขาไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่
“ไม่เป็นไรจริงๆ เหรอ” ไป๋จิ่งไม่วางใจ เอ่ยถามต่ออีกประโยค
มั่วไป๋เห็นไป๋จิ่งเป็นแบบนี้ เขาก็อดจะยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ทันใดนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นจูบไป๋จิ่ง
เพียงชั่วขณะไป๋จิ่งตะลึงงันอยู่ที่เดิม ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมา
ผ่านไปครู่ใหญ่ กว่าจะมองมั่วไป๋อย่างที่ไม่กล้าจะเชื่อได้
“คุณ ผม…” ไป๋จิ่งอยากถามอะไรสักอย่าง แต่กลับพูดไม่ออกอีก
ครั้งนี้มั่วไป๋เป็นฝ่ายเอ่ยปากเอง เขามองไป๋จิ่งเอ่ยเน้นคำต่อคำ “ไป๋จิ่ง ฉันคิดดูแล้ว ทางเดินที่เหลืออยู่ ฉันจะเดินเคียงข้างไปด้วยกันกับนาย”
ไป๋จิ่งยังคงตกอยู่ในอาการเมื่อครู่นี้ ยื่นงงๆ มึนๆ อยู่กับที่ เขาคิดทบทวนคำพูดของมั่วไป๋ซ้ำอีกครั้งอย่างถี่ถ้วน
แต่ครุ่นคิดอย่างไรก็คิดไม่ตก มั่วไป๋พูดว่า จะเดินเคียงข้างไปด้วยกันกับเขา หมายความว่าอะไร
มั่วไป๋ดึงมือเขาขึ้นมาอยู่ต่อหน้าไป๋จิ่ง ปล่อยมือแล้วสอดประสานเข้าหากันอีกครั้งทันทีหลังจากนั้น
เขาชูมือที่สอดประสานกันอย่างแนบแน่น “ตอนนี้นายเข้าใจหรือยัง”
นิ้วมือไป๋จิ่งที่ถูกมั่วไป๋ล็อคไว้อยู่ที่ฝ่ามือ สั่นสะท้านขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ ถ้าไม่ใช่ว่าถูกมั่วไป๋จับไว้อย่างแน่นสนิท เขาอาจจะปล่อยมือออกจนขายหน้าได้
มั่วไป๋ยิ้มเบาๆ เอ่ยถามอีกครั้ง “นายอยากจะเดินไปด้วยกันกับฉันไหม”