บทที่ 72 ความละโมบหลอกหลอน
กู่จิ่นถังได้ของแล้วก็ไป ทิ้งซูเฉิน กู่ชิงลั่ว และชายหนุ่มอีกคนไว้
ซูเฉินเคาะนิ้วบนโต๊ะเบา ๆ พักใหญ่ ก่อนเอยขึ้น “ในเมื่อกู่จิ่นถังกินเหยื่อแล้ว เช่นนั้นเฉ่าโหยว ไปดำเนินแผนส่วนสองได้”
ชายหนุ่มด้านข้างรับคำ “ขอรับ !”
เขาคือหลงเฉ่าโหยว
หลังจากสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงล่มสลายไปแล้ว ซูเฉินก็ยังกุมอำนาจเหนือพวกเขาไว้ ครั้งนี้เขาพาหลงเฉ่าโหยวมาเป็นทัพเสริมที่เขาขอไปด้วย
หน้าที่ของหลงเฉ่าโหยวเรียบง่ายนัก นั่นคือการขอแต่งงาน
ใช่แล้ว เขาคือคนที่เสนอ 6 ล้านให้กู่เซวียนเหมี่ยนเพื่อขอแต่งกับกู่ชิงลั่วนั่นเอง
ซูเฉินในตอนนี้ยังออกหน้าเองไม่ได้ เช่นนั้นจะเป็นการเผยจุดประสงค์ที่แท้จริง และตระกูลกู่ก็จะสงสัยทุกย่างก้าวของเขาได้
ซูเฉินต้องการทำลายการหมั้นของโจวชิงขวง ไม่จำเป็นต้องเป็นเขาเผยตัวทำเองเสียหน่อย
หาคนอื่นมาขอหมั้นก็ได้ผลอย่างที่หวังเช่นกัน ทั้งเขายังวางแผนอยู่เบื้องหลังได้อีก เขามั่นใจว่าด้วยนิสัยกู่เซวียนเหมี่ยนคงไม่ยอมรับหลงเฉ่าโหยวหรอก และถึงจะยอมก็ไม่ใช่ปัญหา ทั้งยังอาจง่ายกว่าเก่า เขาแค่หาเหตุผลให้หลงเฉ่าโหยวหายตัวไป จากนั้นเขาก็โผล่มาเสนอสิบล้านให้ ไม่แน่ว่าเช่นนั้นจะง่ายกว่าด้วยซ้ำ
หลงเฉ่าโหยวมาจากตระกูลสายเลือดชั้นสูง หน้าตาก็ดูผ่าเผย ดังนั้นจึงเหมาะกับบทบาทนี้มาก
หลังรับคำจากซูเฉิน หลงเฉ่าโหยวก็เดินออกมา
หนึ่งวันให้หลัง หลงเฉ่าโหยวก็พากลุ่มคนกลับมาที่คฤหาสน์ตระกูลกู่
เป้าหมายคือเพื่อมาขอแต่งงาน
หากแต่ครั้งนี้เพิ่มของเป็นหินพลังสิบล้านก้อน
กู่เซวียนเหมี่ยนดีใจนัก แต่ก็ยังปฏิเสธ โจวชิงขวงยังพักอยู่ที่นี่ เขาคงบอกโจวชิงขวงไม่ได้ว่าลูกสาวจะไปแต่งกับหลงเฉ่าโหยวแทน เพราะตระกูลอีกฝ่ายยังมีอิทธิพลอยู่บ้าง !
ปัญหาใหญ่ที่สุดของหลงเฉ่าโหยวคือไม่ใช่ว่าเขาเสนอเงินไม่มากพอ แต่ยังใช้ไหวพริบไม่มากพอก็เท่านั้น
ตระกูลสายเลือดชั้นสูงเองก็ต้องมีหน้าตากันบ้าง !
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่หลงเฉ่าโหยวจึงกลับมาโดยไร้ชัย
และไม่แปลกที่ข่าวเรื่องนี้ เพียงครึ่งวันก็ถึงหูโจวชิงขวง
โครม !
ถ้วยเซรามิกลายฟ้าขาวถูกเขวี้ยงจนแตกกระจายกับพื้น
โจวชิงขวงเผยสีหน้าแข็งกระด้าง “หลงเฉ่าโหยวผู้นี้เป็นใครกันแน่ ?”
เหมียวฉางชิงตอบ “ข้าสืบมาบ้าง เหมือนจะเป็นตระกูลสายเลือดชั้นสูงในมณฑลอีกาดำที่มาด้วยเหตุใดข้าไม่ทราบ พกเงินติดตัวมามากมาย ไม่แน่ว่าอาจต้องการตั้งรกรากที่นี่ และอาจเป็นเหตุผลเบื้องหลังจากขอดองกับตระกูลกู่ขอรับ”
“ใช้หินพลังสิบล้านก้อนเพื่อเรื่องนั้นน่ะหรือ ?”
เหมียวฉางชิงเอ่ย “เขาก็มีแต่เงินนั่นล่ะขอรับ”
“มีแต่เงิน ?” โจวชิงขวงตาเป็นประกาย
“ขอรับ” เหมียวฉางชิงพยักหน้า “หลงเฉ่าโหยวผู้นั้นดูจะนำทหารคุ้มกันมาเพียงสิบกว่าคน มีคนเดียวที่เป็นด่านสู่พิสดาร”
โจวชิงขวงแหงนหน้าหัวร่อ “เขาคงเสียสติแล้วกระมัง ! มีเงินมาก แต่กลับไร้กำลังปกป้องพวกมัน ฉางชิงเจ้าคิดเหมือนข้าหรือไม่ ?”
เหมียวฉางชิงตอบกลับ “เหมือนแย่งขนมจากเด็กเลยขอรับ”
“ใช่แล้ว !” โจวชิงขวงผุดลุกขึ้น “ในเมื่อเขามีเงินแต่ไร้พลัง ดูจะเป็นอริกับเราเสียด้วย เช่นนี้ก็เหมือนลูกแกะรอถูกเชือด ไม่ฉวยโอกาสนี้ก็คงน่าเสียดายแย่กระมัง ?”
เหมียวฉางชิงว่า “นายน้อยพูดถูกขอรับ แต่อย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่ถิ่นเรา”
“แล้วอย่างไรเล่า ?” โจวชิงขวงเอ่ยเสียงทะมึน “ข้าเป็นว่าที่ลูกเขยตระกูลกู่ เท่านี้ก็แทบจะกลายเป็นคนเมืองกลืนธาราไปแล้ว อีกทั้งหินพลังสิบล้านก้อน…… หากเราได้มายังจะมีสตรีใดที่คว้าไว้ไม่ได้อีก ? ถึงจะไม่ได้กู่ชิงลั่วก็เอาเถอะ คนที่คิดการใหญ่จะมาล้มคะมำกับความรู้สึกไม่สำคัญไม่ได้ !”
หลงเฉ่าโหยวอาศัยอยู่ที่ชานเมืองของมณฑลกลืนธาราในคฤหาสน์เงียบสงบ บ้านเรือนที่ใกล้ที่สุดก็ห่างไกลนัก นับว่าเหมาะจะวางแผนสังหารมาก
โจวชิงขวงกับลูกน้องจึงเดินทางไปพร้อมกันด้วยความฮึกเหิม และเมื่อมาถึงก็พลบค่ำแล้ว มีคนเพียงน้อยนิดเท่านั้น
โจวชิงขวงชี้นิ้วไปที่ประตูคฤหาสน์หลง “โจมตี !”
ทหารตระกูลโจวจึงพุ่งออกไป
ตระกูลโจวเป็นตระกูลสายเลือดจักรพรรดิอสูร ดังนั้นพวกลูกน้องจึงไม่ใช่คนอ่อนแอ
และเมื่อพังประตูได้แล้วก็ได้ยินเสียงร้องตกใจดังขึ้น “ใครกันช่างกล้า !?” ตามด้วยเสียงตะโกนและต่อสู้
โจวชิงขวงยืนหัวเราะเสียงเย็นอยู่หน้าประตู รอได้ยินเพียงข่าวดีเท่านั้น
ชั่วครู่ต่อมา เสียงก็สงบลง โจวชิงขวงเดินนวยนาดเอามือไขว้หลังเข้าไป ตามมาด้วยเหมียวฉางชิง
หากแต่เมื่อเดินเข้ามาที่เรือนใหญ่ โจวชิงขวงก็ต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็น
เขาไม่คิดเลยว่าพวกลูกน้องที่เขาคิดว่าต้องสังหารศัตรูอย่างง่ายดาย ทุกคนล้วนกลายเป็นศพนอนกองอยู่กับพื้น
ที่น่าตกใจที่สุดคือศพทั้งหมดเป็นของทหารตระกูลโจวที่รุดหน้าเข้าไปทั้งสิ้น
ใบหน้าศพทั้งหลายหวาดกลัวสุดขีด เห็นได้ชัดว่าตายอย่างทรมาน ราวกับได้เห็นภาพที่ไม่อาจเอ่ยก่อนสิ้นใจ ใบหน้าถึงได้หวาดกลัวเช่นนั้น
เป็นไปได้อย่างไร ?
โจวชิงขวงตกตะลึงนัก
เขาหมุนตัว หมายจะออกไป แต่ประตูเบื้องหลังกลับปิดดังปึง
ตรงหน้าเขาปรากฏคนผู้หนึ่ง คือหลงเฉ่าโหยว
ด้านหลังมีคนอยู่สองสามคน ดูไร้สิ่งผิดปกติใด หากแต่แผ่กลิ่นอายกระหายเลือดออกจากร่าง เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่สังหารลูกน้องเขาจนสิ้น
หลงเฉ่าโหยวหยุดอยู่ไม่ห่างจากโจวชิงขวงนักแล้วหัวเราะออกมา “อ้อ ? นายน้อยตระกูลโจวไม่ใช่หรือ ?”
โจวชิงขวงหน้าทะมึน “เจ้าจำข้าได้หรือ ?”
หลงเฉ่าโหยวเอนศีรษะ “ตระกูลโจวแห่งเมืองกระเรียน โจวชิงขวง ชื่อเจ้าดังก้องอยู่ในหูข้ามานานแล้ว”
“แล้วรู้หรือไม่ว่าข้าเป็นคู่หมั้นกู่ชิงลั่ว ?”
หลงเฉ่าโหยวเลิกคิ้ว “ก็ได้ยินมาบ้าง แต่เท่าที่รู้มา เจ้ายังไม่ใช่อย่างเป็นทางการ”
“ไม่นานก็เป็น ที่ข้ามาที่นี่ก็เพื่อมาจัดการเรื่องแต่งให้เรียบร้อย !”
“หากเจ้าตายเสียก็ไม่ต้องจัดการเรื่องแต่งแล้ว” หลงเฉ่าโหยวตอบง่าย ๆ ซัดดาบเข้าใส่โจวชิงขวง
โจวชิงขวงสีหน้าเครียดขึง “โอหังนัก !”
“ข้าสิควรพวกคำนั้น เจ้าคิดว่าสายเลือดจักรพรรดิอสูรสูงส่งนักหรือ ? คิดว่าจะบุกบ้านคนอื่น สังหารลูกน้องเขา และชิงเอาสมบัติเขาไปได้ง่าย ๆ หรือ ? ใต้หล้าไร้ความยุติธรรมแล้วหรือไร ?” หลงเฉ่าโหยวว่าพลางตวัดดาบ “สังหารเสีย ! ตระกูลหลงเพียงปกป้องตนเอง รักษาความยุติธรรมในใต้หล้าเท่านั้น !”
คนหลุ่มหนึ่งพุ่งมาจากด้านหลังหลงเฉ่าโหยวในพลัน
“ฉางชิง สังหารเขา !” โจวชิงขวงตะโกน
คนในกลุ่มไม่มีใครแกร่งไปกว่าด่านกลั่นโลหิต ส่วนเหมียวฉางชิงนั้นอยู่ด่านทะลวงลมปราณขั้นสุด เขาคนเดียวก็สังหารสิ้นได้ โจวชิงขวงจึงเชื่อมั่นในตัวข้ารับใช้นัก
หากแต่พริบตาต่อมาก็เกิดเรื่องเหลือเชื่อขึ้นอีก คนพวกนั้นเริ่มเรืองแสงแปลก ๆ ออกจากร่าง ก่อนที่กำลังในการต่อสู้จะพุ่งสูงขึ้น ทำให้สามารถต้านการโจมตีของเหมียวฉางชิงได้
สายเลือดจักรพรรดิอสูรเองก็ไหลเวียนในร่างเหมียวฉางชิง นับว่าแกร่งกว่าคนอื่น ๆ ที่มีด่านพลังเทียบเท่ากันมาก
ถึงกระนั้นคนด่านกลั่นโลหิตราวหก ด่านก่อเกิดลมปราณราวเจ็ดถึงแปดคนก็สามารถรวมพลังกันต้านเขาไว้ได้ ไม่เพียงเท่านั้น ยังเหลือพลังไว้โต้กลับได้อีก พวกเขาทั้งรุกทั้งถอยไปพร้อมกัน ร่วมมือกันอย่างดีราวกับถูกออกแบบมา เหมียวฉางชิงจึงตกเป็นรองมากขึ้นเรื่อย ๆ
เป็นตอนนั้นที่โจวชิงขวงพลันเข้าใจถึงสาเหตุที่ทหารทั้งหลายของเขาถูกสับเละคล้ายกับเป็นเพียงพืชผัก