ภาคที่ 4 บทที่ 73 ไว้ชีวิต

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 73 ไว้ชีวิต

ชิ้ง ชิ้ง ชิ้ง !

ริ้วแสงถูกซัดออกมา

คมดาบเหล่านั้นเต็มไปด้วยพลังเยียบเย็นที่มอบอำนาจทะลวงผ่านให้ไม่น้อย

เหมียวฉางชิงถูกเข้าไปคราหนึ่ง พลังทะลวงผ่านเกราะพลังเขามาได้สามส่วนแล้วกระแทกร่าง แม้จะไม่อาจผ่านเกราะสู่กำเนิดบนร่าง แต่เขาก็ประหลาดใจนัก

คนพวกนี้ไม่ธรรมดา !

การโจมตีดูธรรมดา หากแต่แสงที่เรืองจากร่างมันอะไรกัน ? ทำไมถึงทำให้มีพลังมหาศาลนัก ? กระทั่งเหมียวฉางชิงยังตกใจและเริ่มรู้สึกกลัว

เช่นนี้แล้วเหมียวฉางชิงจังรู้ว่าหากยื้อต่อไปมีแต่จะแพ้

ดังนั้นเขาจึงเงื้อดาบ

ดาบราตรีจอมทัพบั่นเศียร

ดาบราตรีจอมทัพบั่นเศียรนั้นทรงพลังในยามราตรีนัก เป็นเพราะไม่อาจมองเห็นการโจมตีได้

ยามเหมียวฉางชิงโจมตีจะไม่มีใครเห็นดาบ เห็นเพียงแต่เขาโบกมือแล้วเกิดความมืดหนั่นแน่นขึ้นบางจุดเท่านั้น ความมืดนั่นพลันทะลวงเข้าร่างเป้าหมายแล้วกัดกินไปทั้งตัว

ทว่าวันนี้เหมียวฉางชิงไมได้อยู่ในสถานการณ์เช่นปกติ

เขาขยับดาบราตรีจอมทัพบั่นเศียร แต่กลับไม่เห็นว่าศัตรูล้มลงสักคน

แต่เป็นแสงสีเหลืองอร่ามที่เริ่มส่องออกจากผิวกายของพวกเขา

“เกราะหินผา ?” เหมียวฉางชิงขมวดคิ้ว

วิชาโบราณอาร์คาน่าที่ถูกละทิ้งมานมนาน จู่ ๆ กลับถูกใช้โดยทหารคุ้มเรือนธรรมดาได้อย่างไรกัน ?

แต่นั่นไม่สำคัญ

เขาเดินหน้าโจมตีต่อ

แต่ครั้งนี้เขาเปลี่ยนเป้าหมาย

น่าแปลก แสงสีเหลืองเรืองขึ้นอีกครั้ง

บัดซบ ใช้เกราะหินผาอีกคนหรือ

เจ้าพวกนี้มันอะไรกัน ? ทำไมถึงได้ฝึกวิชาเหมือนกันนัก ?

ความหวั่นกลัวเริ่มแทรกซึม เขาซัดพลังออกไปแปดคราติด ปะทะเข้ากับแสงเรืองสีเหลืองแปดครั้ง

เกราะหินผา เกราะหินผา และเกราะหินผาอีกครั้งหนึ่ง !

เหมียวฉางชิงอึ้งจนชะงักไป

กล้ามเนื้อที่บึกบึนหนาขึ้นฉีกชุดจนขาด เผยให้เห็นลายสลักที่ราวกับถูกสักลงบนผิวหนัง

“นี่มัน……”

เหมียวฉางชิงตกตะลึง

ลายเหล่านั้นเรืองเป็นแสงสีประหลาดไปตามลายเส้น เหมือนมีพลังเต้นตุบอยู่เป็นจำนวนมาก แผ่กลิ่นอายกดดันมีอำนาจออกมา

ตอนนั้นเอง ผู้เชี่ยวชาญพลังราวสิบคนก็ยืนเรียงกันแล้วซัดริ้วดาบเข้ามาพร้อมเพรียง เกิดเป็นริ้วดาบใหญ่สะท้านลงมา ราวกับคิดแยกผืนพสุธา

มันเกิดขึ้นรวดเร็วจนเหมียวฉางชิงรู้สึกว่าตนสู้อยู่กับคนด่านสู่พิสดาร

‘ไม่ !’ เขาตะโกนในใจขณะที่พุ่งไปด้านหน้าเพื่อปกป้องตัวเองอย่างสุดกำลัง

สองฝ่ายเข้าปะทะรุนแรง เหมียวฉางชิงร้องอั่กร่างกระเด็นไป ส่วนผู้เชี่ยวชาญพลังทั้งสิบล้มลงกองลงกับพื้น

“อึก !” เหมียวฉางชิงกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง ลุกขึ้นไม่ไหวอีก

เคราะห์ดีที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ทั้งหมดบาดเจ็บสาหัส

ปะทะกันครั้งนี้ สองฝ่ายสูญเสียไม่แพ้กัน

“นายน้อย……” เหมียวฉางชิงเอ่ยพร้อมลมหายใจหนักหน่วง “อภัยให้ความไร้ค่าของข้าด้วย……”

โจวชิงขวงเอ่ยเสียงเย็น “เจ้าไร้ประโยชน์เสียจริง ขยะกองหนึ่งยังทำเจ้าเจ็บเพียงนี้ได้ แต่ก็ไม่เลว ในเมื่อตอนนี้……”

เขาจ้องหลงเฉ่าโหยว “เหลือเพียงเจ้ากับข้าแล้ว”

ว่าแล้วก็เดินเข้าไปช้า ๆ “ยอมรับเลยว่าฝีมือเจ้าทำข้าประหลาดใจนัก กระนั้นเจ้าก็มาได้เท่านี้”

“อ้อ ?” หลงเฉ่าโหยวหัวเราะ “ลูกน้องที่แกร่งที่สุดของเจ้าบาดเจ็บจนยืนไม่ขึ้น แต่เจ้ายังทำเย่อหยิ่งได้อยู่อีกหรือ ?”

“ย่อมได้” โจวชิงขวงหยุดเดิน “นั่นเพราะข้าแกร่งกว่าเขา !”

พูดแล้วทั้งร่างของโจวชิงขวงก็เริ่มแผ่พลังออกมา

มันเริ่มพลุ่งพล่านและขยายใหญ่กลายเป็นกระเรียนสีชาดตาแดงอยู่เบื้องหลัง เจ้านกสยายปีกออก แสดงความผ่าเผยของราชันอสูรกาย

ฟ้าว !

โจวชิงขวงออกท่าโจมตี

มันเร็วมากจนคล้ายกับจู่ ๆ เขาก็หายไปกลางอากาศ หลงเฉ่าโหยวไม่เห็นตัวคน รู้สึกอีกทีร่างตนก็ลอยขึ้นฟ้ามาแล้ว

พริบตาต่อมา โจวชิงขวงก็กลับมาปรากฏยังที่เดิมราวกับไม่ได้ขยับกายสักนิด

เมื่อกลับมาที่เดิมแล้ว หลงเฉ่าโหยวยังคงลอยอยู่ในอากาศด้วยซ้ำ

ตุบ !

เขาร่วงลงมากลิ้งหลุน ๆ ก่อนจะหยุดแล้วกระอักเลือดออกมา

“เร็วมาก !” หลงเฉ่าโหยวถุยเลือด

“เข้าใจความต่างพลังหรือยัง ?” โจวชิงขวงเดินเอามือไพล่หลังเข้ามาท่าทางหยิ่งยโส

หลงเฉ่าโหยวยกมือขึ้นกุมอกแล้วถอย “ข้าเข้าใจแล้ว เจ้ารวดเร็ว แต่อ่อนแอนัก สมกับที่เป็นสายเลือดราชันอสูรที่เก่งแต่หนีจริง ๆ!”

โจวชิงขวงแผ่ไอสังหารออกมา “รนหาที่ตาย !”

ราชันอสูรตาแดงนั้นมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่ที่เด่นที่สุดคือความสามารถในการหลบหนี ตระกูลโจวย่อมไม่ยินดีพอใจกับชื่อนี้สักนิด

หลงเฉ่าโหยวหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าโจวชิงขวง “ข้ายอมรับว่าหากสู้ตัวต่อตัวข้าคงไม่ไหว แต่อย่าคิดว่าเจ้าวิเศษนัก คนอย่างเจ้า ที่เชี่ยวเรื่องความเร็วจนไม่สนเรื่องกำลังกาย คงจะมีเกราะป้องกันเปราะบางเป็นแน่ หากถูกกระบวนท่าสักคราก็คงรับไม่ไหวแล้ว”

โจวชิงขวงหัวเราะเสียงดัง “แล้วอย่างไร ? ข้าเคลื่อนกายเร็วดั่งสายฟ้า ไปมาราวกับสายลม ใครจะโจมตีข้าได้ ? เจ้าหรือ ?”

หลงเฉ่าโหยวถอนใจ “ข้าย่อมทำไม่ได้ แต่คนข้างหลังเจ้าทำได้”

โจวชิงขวงสั่นสะท้าน รีบหมุนตัวแล้วกระโดดถอยไป แต่ก็ไม่เห็นใคร

ดังนั้นจึงตะคอกเสียงดุดัน “หลอกข้าหรือ !”

หากแต่กลับได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น “เขาไม่ได้หลอก”

โจวชิงขวงสะดุ้งเฮือก ดีดร่างลอยขึ้นมาตามสัญชาตญาณ

สายเลือดราชันอสูรตาแดงทำให้เชาเคลื่อนกายเร็วดั่งแสงก็จริง แต่ตอนนี้มันสายไปแล้ว

การโจมตีราวกับถูกส่งขึ้นมาจากนรก พุ่งเข้ามาหาเขา แรงกดดันที่แผ่ออกมารุนแรงจนแทบหักกระดูกในร่างได้

“สว่านทะลวงเกราะ !”

“อ๊าก !” โจวชิงขวงร่างกระเด็นพร้อมเสียงร้อง บาดแผลเปิดบนหลังมีเลือดกระเซ็นไปทั่ว

แม้จะบาดเจ็บสาหา แต่ก็ไม่ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย พริบตาเดียวก็หนีการโจมตีไปได้โดยที่หมัดโลกันตร์คลั่งยังไม่ทันได้ถูกใช้

แต่กลับหนีไปผิดทาง

“กรงเล็บเพลิงเงา”

น้ำเสียงเย็นเยียบดังขึ้นที่เบื้องหน้า ตามมาด้วยมือหนึ่งที่มีเพลิงสีดำปะทะเข้าที่อก

โจวชิงขวงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เครื่องรางที่ห้อยคอไว้แตกกระจายออก แสงสีเขียวหยกเริ่มจางลง กรงเล็บเพลิงเงาจึงเปลี่ยนมาทำลายแสงนั่นแทน ระเบิดเป็นแสงจ้าแสบตาออกมา

แสงสีขาวค่อย ๆ จางลง

โจวชิงขวงฉวยโอกาสพุ่งร่างถอยออกไปต่อก่อนที่อีกฝ่ายจะตามทัน

ทว่าเขาไม่คิดเลยว่าจะยังมีคนรออยู่ที่กลางอากาศได้อีก

เป็นข้ารับใช้เงา

“ระเบิดเหยี่ยวเพลิง !”

เหยี่ยวปีกเพลิงพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ

ก่อนจะพุ่งเข้าปะทะช่วงท้องของโจวชิงขวง กระอักเอาเลือดคำใหญ่ออกมาได้ ก่อนร่างจะปลิวไป

หากแต่เขายังไม่ตาย

เขาก้มหน้าลง ใบไม้สีฟ้าใบหนึ่งผลุบเข้าปากไป ทั่วร่างเกิดเป็นแสงีเขียวบาง ๆ เรืองออกมา ส่งผลให้บาดแผลที่เพิ่งได้รับมาฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว

หากแต่จังหวะนั้นริ้วแสงสองริ้วก็ดาหน้าเข้ามาอีก

ฟ้าว !

คมดาบทั้งสองซัดเข้าที่ขาโจวชิงขวง

“อ๊ากก !” โจวชิงขวงร้องโหยหวนด้วยความสิ้นหวัง

ครั้งนี้เขากระโจนไม่ได้อีก ล้มคะมำลงไปกับพื้น

คนทั้งห้าเผยกายออกจากความมืด และเพราะเร้นกายอยู่ โจวชิงขวงจึงจับสัมผัสไม่ได้ พวกเขาเดินเข้ามามัดร่างเขาไว้อย่างรวดเร็ว

คนผู้หนึ่งใช้ดาบด้านทื่อกระแทกเขา ส่งผลให้ใบไม้สีฟ้าหลุดออกจากปากโจวชิงขวง

เมื่อไม่มีใบไม้ช่วยฟื้นสภาพร่างแล้ว ความสามารถในการฟื้นฟูของโจวชิงขวงจึงหมดลง

คนอีกสี่คนต่างเงื้อดาบขึ้นพร้อมเพรียงกัน

โจวชิงขวงเผยแววตาสิ้นหวัง

แต่พริบตานั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น

“ไว้ชีวิตเขา !”