ความมืดเข้าปกคลุม และไฟในเมืองส่องสว่างขึ้น
เหนือความคาดหมาย เพราะคลับกระบี่แหลมไม่ได้อยู่ในตัวเมืองเมืองเอกตามที่เย่เทียนคิดเลย ในขณะนี้ เขานั่งอยู่เบาะหลังของรถหรูคันหนึ่ง ชื่นชมภูเขาและต้นไม้ผ่านหน้าต่างรถ
เอี๊ยด!
หลังจากขับรถออกจากตัวเมืองไปหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดรถก็หยุดนิ่ง
“หืม?!”
เมื่อมองสภาพแวดล้อมที่รกร้างนอกหน้าต่างรถ เย่เทียนก็อดไม่ได้ที่จะมองไปยังถังเหวินหลงที่อยู่ข้างๆ อย่างสงสัย
พรึ่บ พรึ่บ พรึ่บ!!!
ก่อนที่เย่เทียนจะพูดอะไร เสียงใบพัดหมุนดังขึ้นจากที่ไม่ไกล ซึ่งเป็นเสียงเฮลิคอปเตอร์ทหารลำหนึ่งที่กำลังบินเข้ามาอย่างช้าๆ!
“ลงรถเถอะ! เปลี่ยนยานพาหนะกัน!”
ถังเหวินหลงยิ้มพูด จากนั้นลงจากรถก่อนแล้วคว้าบันไดเชือกของเฮลิคอปเตอร์แล้วปีนขึ้นไปอย่างว่องไว
เดิมทีคิดว่าคลับจะอยู่ในป่าลึก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นง่ายเกินไป!
ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เย่เทียนระงับความสงสัยในใจและปีนขึ้นบันไดเชือกด้วยจิตวิญญาณเหมือนลิง
เมื่อเข้าไปถึงในเครื่องบิน เย่เทียนก็พบว่าในเฮลิคอปเตอร์ไม่ใช่แค่ผู้โดยสารของพวกเขาเท่านั้น!
นอกจากคนขับ 2 คนแล้ว ยังมีชาย 2 คนและหญิงอีก 1 คน ซึ่งทั้งสามแต่งเครื่องแบบชุดทหารสีเขียวเข้ม จากรูปลักษณ์แล้วเดาได้ไม่ยากว่าพวกเขาคือสมาชิกจากกองทัพ
ส่วนถังเหวินหลงที่ขึ้นมาก่อนก็กำลังพูดพึมพำกับชายสูงอายุคนหนึ่ง แต่เย่เทียนไม่ได้เดินเข้าไปขัดจังหวะพวกเขา ได้แต่เอนตัวนั่งบนที่นั่งว่างอีกฝั่งแล้วมองไปที่ผู้หญิงคนหนึ่งที่ซึ่งดูเย็นชาและนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามเขา
แม้ว่ารูปร่างหน้าตาของผู้หญิงคนนี้จะดูธรรมดา แต่หุ่นของเธอนั้นร้อนแรงไม่เบา รูปทรงตัวเอส แถมยังมีออร่าของทหารในกองทัพผู้มากความสามารถ ซึ่งทำให้คนยาที่จะไม่เหลียวมองเธอจริงๆ!
เย่เทียนอดไม่ได้ที่จะแปลกใจ ดูเหมือนว่าสมัยนี้ หน่วยงานสาขาย่อยจะเต็มไปด้วยสาวงามเลยสินะ!
หลังจากเฉิงหลงกับจี้เยียนหรันปีนขึ้นไปบนเครื่องบินแล้ว เครื่องบินก็สิ้นสุดการหยุดพัก จากนั้นค่อยๆ บินขึ้นไปและล่องไปยังทะเลที่ไกลสุดลูกหูลูกตา
“เย่เทียน ท่านนี้คือพันเอกลู่เกาเจี๋ย ส่วนท่านนี้พันโทต่งเหวิน และท่านนี้พันตรีหยุนเหมิงหยาน ทั้งสามท่านนี้เพิ่งบินตรงมาจากเขตทหารเจียงห้วย”
“ส่วนเฉิงหลงกับเยียนหรันผมคงไม่ต้องแนะนำแล้วนะ เพราะพวกคุณน่าจะรู้จักกันดีแล้ว ส่วนคุณผู้ชายท่านนี้ก็คือคนที่ผมพูดถึง เขาชื่อ เย่เทียน”
ในขณะนี้ ถังเหวินหลงหยุดสนทนากับชายสูงอายุคนนั้นแล้วหันมาแนะนำคร่าวๆ ให้ทั้งสองฝ่ายได้รู้จักกันก่อน
หลังจากแนะนำสั้น ๆ ถังเหวินหลงก็หันกลับไปคุยกับชายคนที่ชื่อลู่เกาเจี๋ยคนนั้นต่อ โดยที่ไม่สนใจรุ่นน้องคนอื่นๆ เลย
“พันตรีเหรอ?”
เย่เทียนที่ได้ยินคำนี้ก็อดใจไม่ได้ที่จะมองอย่างลึกซึ้งไปที่หยุนเหมิงหยานผู้หญิงเซ็กซี่คนนี้
ซึ่งยศพันตรีนั้น เพียงพอที่จะขึ้นรับตำแหน่งผู้บังคับกองพันได้อย่างง่ายดายอยู่แล้ว และผู้หญิงคนนี้ดูไม่ต่างอะไรกับจี้เยียนหรันเลย ถ้าไม่ใช่เพราะฝีมืออันเก่งกาจแล้ว เธอก็คงมีภูมิหลังที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน!
ประเด็นคือเย่เทียนสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า หลังจากที่จี้เยียนหรันขึ้นมาบนเครื่องแล้วเห็นหยุนเหมิงหยานคนนี้ สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป ซึ่งดูเหมือนทั้งสองเคยมีเรื่องกันมาก่อน!
แต่สถานการณ์ก็ได้พิสูจน์ว่าการคาดเดาของเย่เทียนนั้นถูกต้อง เพราะแทบจะทันทีที่เขาเกิดความคิดนี้ เสียงเหน็บแนมของหยุนเหมิงหยานก็ดังขึ้นข้างหูเขา
“อ้าว นี่ไม่ใช่คุณหญิงจากตระกูลจี้ไม่ใช่เหรอ? อะไรกัน? ในที่สุดก็กลายเป็นนักบู๊ ก้าวเข้าสู่ระดับเหลืองแล้วเหรอ?”
จี้เยียนหรันที่ได้ยินเช่นนี้ก็เหมือนเสือที่โดนตบก้น ดวงตากลมโตของเธอเบิกกว้างและกัดฟันพูดว่า “เกี่ยวอะไรกับคุณ!”
“ก็ต้องเกี่ยวสิ!”
หยุนเหมิงหยานส่ายหัวแล้วพูดอย่างเย้ยหยัน “คุณอย่าลืมนะ ตามกฎแล้ว ถ้าคุณเป็นนักบู๊จริงๆ ฉันสามารถท้าประลองคุณได้นะ!”
“แต่ถ้าคุณไม่ได้ก้าวเข้าสู่ระดับเหลืองจริงๆ หรือยังไม่ได้กลายเป็นนักบู๊ แสดงว่าคุณไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นคู่ต่อสู้ของฉันเลยล่ะ!”
“เก่งจริงก็มาลองดูสิ! เชื่อไหมว่าฉันจะจับคุณโยนลงจากเครื่องบินได้!”
จี้เยียนหรันรู้สึกโกรธมาก ด้วยท่าทีที่ใจร้อนของเธอ เชื่อว่าจะลงมือทำร้ายคนได้ทุกเมื่อ
“ไม่สิ เดี๋ยวนะ พวกคุณ……”
ในขณะที่ไฟแห่งสงครามของสองสาวกำลังรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เย่เทียนก็รีบเข้าไปห้ามพวกเธอทั้งสองเพื่อให้ใจเย็นลงก่อน
“หุบปาก!”
แต่น่าเสียดายที่เย่เทียนยังไม่ทันพูดจบ สาวทั้งสองคนก็หันมาพร้อมกันแล้วตะโกนใส่เขา จากนั้นกลับไปทะเลาะกันต่อ
“อะไรกัน?!”
เย่เทียนหดตัวของเขาอย่างอึดอัดใจและเหลือบมองไปที่เฉิงหลงที่กำลังดึงหูฟังออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะรู้ก่อนหน้านี้แล้วว่าสองสาวคู่นี้จะทะเลาะกัน!
เมื่อมองไปที่ต่งเหวินที่อยู่ฝั่งตรงข้าม เย่เทียนก็เห็นว่าเขาได้หลับตาลงเพื่อพักสายตาไปสักพักแล้ว ซึ่งดูเหมือนว่าเขาตั้งใจจะละสายตาจากทุกสิ่งในรอบตัวเขา!
“คุณก็ไม่เตือนผมหน่อยนะ”
มุมตาของเย่เทียนกระตุกเล็กน้อย และเขารีบคว้าหูฟังของเฉิงหลงมาแล้วจ้องมองไปที่เฉิงหลงอย่างไม่สบอารมณ์
เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสองสาวคู่นี้มีอะไรกัน ทั้ง ๆ ที่เสียงใบพัดของเครื่องบินดังมาก แต่เสียงตะคอกใส่กันของทั้งสองยังชัดเจน ซึ่งจะเห็นได้ว่าเสียงตะโกนของพวกเธอนั้นดังแค่ไหน
“คุณชายเย่ คุณจะโทษผมไม่ได้นะ!”
เฉิงหลงคว้าหูฟังกลับมาอย่างใจกล้า จากนั้นหันหน้าไปที่ถังเหวินหลงแล้วทำหน้าบึ้งใส่และยักไหล่พูดว่า “ทีแรกผมก็คิดว่าจะขับรถไป แต่หลังจากเห็นเครื่องบินผมถึงรู้ แล้วก็หูฟังไม่ใช่ของผมนะ ผมยืมกับกัปตันเครื่องบิน”
“แล้วเยียนหรันกับผู้หญิงคนนั้นเป็นอะไรกัน? ทำไมพวกเธอจะต้องทะเลาะกันด้วย?”
เย่เทียนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะต้องใช้เวลาในการเดินทางทางอากาศอีกนานแค่ไหนกว่าจะถึงที่หมาย เขาจึงถามเฉิงหลงด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“ผมไม่รู้สาเหตุหลักหรอกนะ แต่ผมแค่รู้ว่าพวกเธอเป็นเพื่อนในสมัยเรียนมหาลัย ตอนเรียนมหาลัยก็ไม่ถูกกันแล้ว ที่ผมรู้ก็คือ ตั้งแต่ที่ผมรู้จักพวกเธอ ทุกครั้งที่เจอกันพวกเธอจะต้องทะเลาะกันตลอด”
เฉิงหลงกดฟังเพลงไปด้วยแล้วอธิบายให้กับเย่เทียนไปด้วย
“แล้วเมื่อกี้ผู้หญิงคนนั้นบอกจะท้าทายอะไร?”
เย่เทียนพยักหน้าเหมือนครุ่นคิดอะไรบางอย่างและถามเฉิงหลงอีกครั้ง
เขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อพิจารณาจากการแนะนำของถังเหวินหลงเมื่อครู่นี้ เห็นได้ชัดว่าเฉิงหลงไม่ได้เข้าร่วมเป็นครั้งแรก และเขาก็ไม่ต้องการเป็นคนโง่คนหนึ่งที่ไม่รู้อะไรเลย
“ท่านถังไม่ได้บอกอะไรคุณเหรอ?”
เฉิงหลงถึงกับตกใจ จากนั้นยิ้มพูดอย่างช้าๆ “อันที่จริง ท่านถังเป็นเจ้าภาพในการจัดงานของคืนนี้ ซึ่งคนที่สามารถเข้าร่วมได้นั้น โดยรวมแล้วจะเป็นคนที่อยู่ในเขตทหารหลายแห่งที่ท่านถังเป็นผู้รับผิดชอบ”
“ไม่สิ ถ้าพูดตามตรง ทุกคนที่เข้าร่วมนั้น เป็นคนที่อยู่ในเขตการปกครองทางการทหารของท่านถัง และยังต้องเป็นคนที่ทะเบียนการแข่งขันการคัดเลือกถึงจะถูก”
“หืม?!”
เย่เทียนพยักหน้าเหมือนครุ่นคิดบางอย่าง แต่เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมท่านถังบอกว่าคืนนี้จะไม่มีใครมาก่อกวนได้
เพราะคนที่เข้าร่วมกิจกรรมนี้ล้วนเป็นคนที่มีฝีมือของกองทัพ แล้วใครจะกล้าเข้ามาสร้างปัญหาได้ แต่ถ้ามาจริง ก็เหมือนเอาชีวิตมาทิ้ง!
แต่เมื่อย้อนคิดกลับไปแล้ว เย่เทียนก็ยังสับสนใจถามต่อว่า “ไม่สิ! ในเมื่อคุณบอกว่าคนที่เข้าร่วมล้วนเป็นคนที่อยู่ในเขตปกครองทหารของท่านถัง ถ้าอย่างนั้น เขาต้องรู้จักทุกคนเป็นอย่างดีไม่ใช่เหรอ?”
“คุณชายเย่ครับ บางทีการฝึกฝนกับการต่อสู้นั้นเป็นคนละเรื่องเลยนะครับ!”
เฉิงหลงคิดอย่างรอบคอบแล้วอธิบายต่อ “จุดประสงค์สิ่งแรกของท่านถังในการจัดงานนี้คือเพื่อดูความสามารถของบุคลากรที่ถูกเลือกในแต่ละเขต และจะได้รู้ถึงผลลัพธ์หลังจากการคัดเลือกของทีมสายฟ้าในทุกวันนี้”
“ส่วนจุดประสงค์ที่สองคือ หวังว่าทุกเขตทหารของเราจะรับรู้ถึงข้อบกพร่องของกันและกัน และจะได้ผลักดันทหารเกณฑ์ที่มาใหม่ทุกคนให้พัฒนาขึ้นได้”
เมื่อพูดถึงตอนท้าย เฉิงหลงก็ยิ้มอย่างมีความสุข ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขามีความสุขแค่ไหนในการผลักดันทหารใหม่!