บทที่ 482 ช่องว่างระหว่างผู้หญิงสองคน

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

ด้วยคำอธิบายของเฉิงหลง ในที่สุดเย่เทียนก็เข้าใจจุดประสงค์ของกิจกรรมในคืนนี้

หากพูดตรงๆ มันก็คือการที่ถังเหวินหลงอยากให้เขตทหารหลายเขตคัดเลือกคนออกมาเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันทดสอบฝีมือของฟ้าร้อง และต้องการประเมินความสามารถผ่านการแข่งขันนี้

ส่วนประการที่สอง เขาอยากใช้วิธีนี้เป็นการผลักดันให้กับทุกเขตทหาร เพื่อจะส่งเสริมความก้าวหน้าของกันและกัน

แต่ไม่ว่าจะยังไง หลังจากทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องการเดินทางในครั้งนี้ผ่านเฉิงหลง เย่เทียนก็ค่อนข้างโล่งใจ

เพราะท้ายที่สุดแล้ว คนเรามักจะกลัวในสิ่งที่ตนไม่รู้ไม่เข้าใจ และเย่เทียนซึ่งเป็นคนเกิดใหม่ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน!

หลังจากเหลือบมองจี้เยียนหรันกับหยุนเหมิงหยานที่ยังคงโต้เถียงกันอยู่ เย่เทียนทำได้เพียงส่ายหัวอย่างจนใจ จากนั้นหลับตาลงและฟังเพลงอย่างเงียบๆ

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เย่เทียนที่กำลังพักสายตาอยู่ต้องถูกเฉิงหลงปลุกให้ตื่น และหลังจากลืมตาขึ้น เขาก็เห็นแสงจ้าที่ส่องสว่างจากด้านล่าง

เมื่อมองลงไปจากที่ไกล มันคือสำราญขนาดใหญ่!

ไม่สิ ถ้าพูดให้ถูกต้องคือ เรือยักษ์ในมหาสมุทรนั้นไม่ใช่เรือสำราญเลย แม้มันจะมีขนาดใหญ่ไม่แพ้กัน แต่ความพิเศษของมันคือยังมีลานจอดเครื่องบินได้หลายลำ และดวงตาที่เฉียบคมของเย่เทียนยังสามารถมองเห็นป้อมปืนใหญ่หลายจุดบนเรืออีกด้วย!

“นั่นคือที่ที่เรากำลังจะไปในคืนนี้ พวกเราเรียกมันว่าเรือสำราญกระบี่แหลม!”

เฉิงหลงชี้ไปที่เรือสำราญในทะเลและแนะนำให้กับเย่เทียนอย่างภาคภูมิใจ

“เรือสำราญกระบี่แหลม?”

แต่น่าเสียดายที่เย่เทียนพึมพำคำเดียวและไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติม

ในฐานะคนฉลาดคนหนึ่ง เขารู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ควรถาม และอะไรคือสิ่งที่ไม่ควรถาม

เมื่อเห็นสีหน้าไร้ความสนใจของเย่เทียน เฉิงหลงได้แต่กลืนคำพูดที่เตรียมไว้กลับไปอย่างน่าอึดอัดใจ

เพราะเขารู้จักเย่เทียนมาสักพักแล้ว ดังนั้นเขาจึงพอรู้สึกนิสัยของเย่เทียน

ถ้าหากเย่เทียนหลงใหลในชื่อเสียงจริงๆ เกรงว่าบริษัทแซ่เฉินคงเปลี่ยนชื่อเป็นแซ่เย่ไปนานแล้ว

ซึ่งทุกครั้งที่นึกถึงจุดนี้ ในใจที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานของเฉิงหลงก็รู้สึกหดหู่ คนที่ไม่มีความปรารถนาเลยสักนิด วันหนึ่งเขาจะก้าวข้ามมันไปได้หรือ?

ถ้าหากเย่เทียนคิดเหมือนเฉิงหลง เกรงว่าเขาคงตะโกนร้องทุกข์ไปนานแล้ว

แต่ใครว่าเขาไม่มีความปรารถนาเลยล่ะ? ลองให้สาวสวยหนึ่งร้อยคนแก้ผ้าแล้วขึ้นเตียงด้วยกันสิ! หรือลองเอาธนบัตรสักพันล้านเหรียญมาฟาดใส่เขาก็ได้!

ไม่ใช่ว่าเย่เทียนจะไม่มีความปรารถนาใดๆ เลย แต่จวบจนวันนี้ เขายังไม่พบกับสิ่งที่คู่ควรแก่ความปรารถนาของเขามากกว่า

หลังจากนั้น เฮลิคอปเตอร์ก็ค่อยๆ ลงจอดบนเรือยักษ์นั้น และกลุ่มคนของเย่เทียนก็เดินลงจากเครื่องบิน

ลมทะเลพัดเข้าใส่ใบหน้า ทำให้เส้นผมสีดำเงาทั้งหัวของเย่เทียนถูกพัดเสยไปด้านหลัง และมันก็ทำให้เย่เทียนต้องดึงคอปกเสื้อของเขาโดยไม่รู้ตัว

แม้อยู่บนเครื่องเขาจะไม่ได้ถามรายละเอียดมากมายกับเฉิงหลง แต่เมื่อไปถึงเรือยักษ์ลำนี้ ดวงตาสีเข้มของเขาก็ต้องเปล่งประกายเหมือนเด็กที่เกิดความรู้สึกอย่างรู้อยากเห็น

เพราะชาติก่อนเขาเป็นแค่ทหารรับจ้าง โดยส่วนใหญ่แล้วจะทำการสู้รบบนพื้นดิน และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสยุทโธปกรณ์ทางน้ำในระยะประชิดขนาดนี้ ดังนั้นเขาจึงเกิดความอยากรู้อยากเห็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หลังจากเดินตามถังเหวินหลงเข้าไปในเรือยักษ์นั้น พวกเขาก็พบว่าด้านในมีคนรออยู่มากมายแล้ว แม้คนส่วนใหญ่จะสวมชุดธรรมดา แต่ออร่าในตัวที่พวกเขาเปล่งออกมานั้นดูก็รู้ว่าเป็นกลุ่มคนจากกองทัพ

“เสี่ยวเย่ ผมขอไปทักทายกับเพื่อนเก่าหน่อยนะ คุณตามเยียนหรันไปเดินดูก่อนก็ได้!”

หลังจากถังเหวินหลงทักเย่เทียนเสร็จ เขาก็พาลู่เกาเจี๋ยเดินเข้าไปยังจุดที่มีคนเยอะที่สุด

และหลังจากที่เขาเดินจากไป ต่งเหวินกับหยุนเหมิงหยาน แม้กระทั่งเฉิงหลงก็เดินจากไปทันที

เพราะสำหรับงานเลี้ยงแบบนี้ ไม่ว่าจะด้วยวัตถุประสงค์อะไร คนที่มาร่วมงานล้วนจะไม่ปล่อยโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์อยู่แล้ว

“ยังไง? คุณจะพาผมไปดูรอบๆ ใช่ไหม?”

แต่เย่เทียนไม่ได้สนใจในการผูกมิตรกับพวกเขา เมื่อเทียบกับชายฉกรรจ์ทั้งหลาย เขาสนใจพูดคุยกับสาวๆ มากกว่า

แม้ทั้งสองจะเจอกันในช่วงกลางวันแล้ว แต่ตอนนั้นมีผู้หลักผู้ใหญ่อย่างถังเหวินหลงอยู่ด้วย ดังนั้นทั้งสองจึงไม่มีการสนทนาใดๆ

แต่ในที่สุดตอนนี้ทั้งสองก็มีเวลาส่วนตัวแล้ว เมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ที่คลุมเครือและอธิบายไม่ได้กับเย่เทียน เธอก็เกิดความรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที

“อื้ม”

เมื่อได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยแรงดึงดูดของเย่เทียน จี้เยียนหรันก็รีบตั้งสติแล้วพยักหน้าตอบอย่างเขินอายเล็กน้อย จากนั้นเธอก็หันหลังไปและเดินนำทางไปข้างหน้าโดยไม่พูดอะไรสักคำ

เย่เทียนรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้หญิงคนนี้เป็นอะไร เพราะนี่ไม่ใช่ใช่สไตล์ของเธอเลย!

แต่เมื่อเห็นใบหน้าเคร่งขรึมของจี้เยียนหรัน และสายตาของเหล่าชายฉกรรจ์ที่จับจ้องมาที่เธอ เย่เทียนจึงจำเป็นต้องระงับความสับสนในใจและเดินตามเธอไปอย่างเชื่อฟัง

ซึ่งมันแตกต่างกับผู้คนโดยรอบที่มีบทสนทนาที่มีสีสันมาก เพราะตอนนี้ทั้งสองได้ตกอยู่ในภาวะเงียบงันจนน่าขนลุก และมันก็กลายเป็นความรู้สึกสดใหม่ของระหว่างทั้งสอง!

ห้านาทีต่อมา สีหน้าของเย่เทียนก็เริ่มหม่นหมอง

นอกเหนือสิ่งอื่นใด เพราะจี้เยียนหรันไม่ได้พาเขาเดินเที่ยวเรือสำราญกระบี่แหลมเลย แต่กลับพาเขาเดินกลับไปที่ดาดฟ้า!

“คุณเจ้าหน้าที่จี้ที่เคารพครับ ต่อให้คุณไม่อยากพาผมเดินเที่ยว คุณก็ไม่จำเป็นต้องพาผมมาตากลมบนดาดฟ้านี้ว่าไหมครับ?”

ปลายจมูกได้กลิ่นเค็มของทะเล เย่เทียนลูบจมูกของเขาและในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะถามคำถามนี้

“หืม?!”

ดูเหมือนว่าจี้เยียนหรันเพิ่งรู้ตัว เธออดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา ใบหน้าสวยงามและบอบบางของเธอแดงก่ำในทันที และเธอพยายามที่จะอธิบาย

“ช่างมันเถอะ ไหนๆ ก็มาแล้ว ตากลมสักหน่อยก็ดีเหมือนกัน”

แต่จี้เยียนหรันยังไม่ทันได้พูด เย่เทียนก็ยักไหล่อย่างไม่ถือสาและยกมือจับราวกั้นแล้วมองดูพระจันทร์เสี้ยวที่อยู่ไกลแสนไกล

จี้เยียนหรันที่เห็นเช่นนี้ก็กลืนคำพูดที่ติดอยู่ในลำคอเข้าไปและยืนอยู่อย่างเงียบๆ

“ผมได้ยินเฉิงหลงบอกว่าคุณกับผู้หญิงที่ชื่อหยุนเหมิงหยานคนนั้นเป็นเพื่อนสมัยเรียนมหาลัยเหรอ?”

เย่เทียนหยิบบุหรี่ออกมาจุดไฟแล้วคาบไว้ในปาก แต่เขาไม่ได้สูบมัน เพียงเพราะว่าเขาไม่ชินกับกลิ่นคาวของทะเลเท่านั้น

“อื้ม”

จี้เยียนหรันพยักหน้าแล้วถามอย่างตรงไปตรงมา “หัวหน้าเฉิงพูดถูก ฉันกับหยุนเหมิงหยานเคยเป็นเพื่อนในสมัยเรียนมาก่อน”

“คุณน่าจะอยากถามฉันว่าทำไมฉันถึงทะเลาะกับเธอใช่ไหม?”

หญิงสาวลูบผมที่ปลิวไสวด้วยสายลมจากทะเล และเธอไม่ได้รู้สึกอึดอัดใจอะไรเลย

เย่เทียนก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่รอฟังประโยคต่อไปของเธอ

“ถ้าพูดตามความเป็นจริง ฉันเป็นฝ่ายที่ต้องขอโทษนางด้วยซ้ำ”

หลังจากไตร่ตรองอยู่พักหนึ่ง จี้เยียนหรันก็ค่อยๆ พูดต่อ “ความจริงแล้ว ตอนนั้นเราเป็นเพื่อนสนิทกันเลย เราไม่ได้แค่พักอยู่ที่เดียวกันเท่านั้น แต่เรายังสอบเข้าโรงเรียนตำรวจพร้อมกันด้วย”

“แต่ว่า คืนก่อนที่จะสอบ ฉันกับเพื่อนคนอื่นหนีไปดื่มเหล้า เหมิงหยานเป็นห่วงฉันก็เลยตามมาหา แต่ฉันดันไปมอมเหล้านางหลายขวด”

“เดิมทีนางเป็นประเภทที่ดื่มแก้วเดียวก็เมาแล้ว คงไม่ต้องพูดถึงหลายขวดหรอก สุดท้าย ฉันทำให้นางเข้าสอบในเช้าวันที่สองไม่ทัน”

“ถ้าฉันไม่ได้มอมเหล้านาง หรือฉันตื่นไปปลุกนางตอนเช้า นางคงไม่ต้องขาดสอบหรอก……