ศิษย์เขาหลีซานผู้นั้นยืนอยู่ที่ด้านหน้าถ้ำพำนัก เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด แต่กลับไม่เคยถอยแม้เพียงก้าวเดียว ทั้งที่เผยความกลัวออกมา แน่นอนว่าไม่ต้องสงสัยถึงความกล้าหาญและจงรักภักดี แต่ในเวลานี้กลับอดไม่ได้ที่จะถามคำถามเช่นนี้ออกมา บนยอดเขาได้เงียบสนิท และก็เป็นเพราะเหตุผลเดียวกัน ศิษย์เขาหลีซานส่วนใหญ่ล้วนยืนหยัดที่จะอยู่ข้างเดียวกับหัวหน้าพรรค ความโกรธแค้นที่มีต่อความไร้ยางอายของพวกผู้อาวุโสเสี่ยวซงกงทั้งสามคน ในตอนนี้กลับมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว…ซูหลีเป็นแบบอย่างของเขาหลีซาน ถ้าหากคำพูดของผู้อาวุโสเสี่ยวซงกงเป็นความจริง เช่นนั้นแบบอย่างนี้ก็ค่อยๆ พังทลายลง
ที่ยอดเขาหลอมศิลาที่อยู่ด้านหน้ามีเสียงของศิษย์คนหนึ่งดังขึ้นมา “ถ้าหากศิษย์พี่ชีเจียนเป็น…ทายาทของเผ่ามารจริงๆ เช่นนั้นบางที…ก็ควรให้โถงบทบัญญัติสอบสวนสักหน่อย”
ไป๋ไช่ได้ยินเข้าจึงโมโหอย่างมาก แต่ไม่ทันได้พูดอะไร ก็ได้เห็นเพียงว่าที่ด้านข้างมีศิษย์เขาหลีซานผู้หนึ่งคุกเขาลงไป และโขกศีรษะกับเงาหลังของหัวหน้าพรรคติดๆ กันจนกระทั่งหน้าผากมีเลือดสดๆ ไหลออกมา
“อาจารย์ ถ้าหาก…ศิษย์น้องเล็กเป็นบุตรสาวของอาจารย์ปู่เล็กกับองค์หญิงเผ่ามารจริงๆ เหตุใดท่านต้องปกป้องนาง หลายวันก่อนล้วนพูดกันว่าศิษย์น้องเล็กฆ่าศิษย์พี่สาม จะอย่างไรข้าก็ไม่เชื่อ แต่…ถ้าหากในร่างของนางมีเลือดสกปรกของเผ่ามารไหลเวียนอยู่ แล้วยังสมคบกับปีศาจเผ่าหมาป่านั่นอีก เช่นนั้นยังมีเรื่องอะไรที่นางไม่สามารถกระทำได้อีก”
หัวหน้าพรรคมองศิษย์ผู้นี้ที่ในยามปกติเคารพตนเองที่สุด แล้วถอนหายใจเบาๆ ศิษย์ผู้นี้ถูกกองทัพใหญ่ของเผ่ามารฆ่าล้างตระกูล หรือว่าเขายังจะสามารถโทษอะไรได้อีก
ไป๋ไช่มองศิษย์สองคนนั้น ได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ค่อยๆ ดังขึ้นจากยอดเขาที่ไกลออกไป เพลิงโกรธยิ่งโหมกระหน่ำขึ้น จึงตวาดขึ้นมา “เป็นถึงศิษย์เขาหลีซานถึงกับถูกวาจาของศัตรูล่อลวง เจตจำนงกระบี่ไปอยู่ที่ใดแล้ว!”
แต่ละยอดเขาสงบขึ้นมาบ้างแล้ว ยอดเขาหลักก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน
เสี่ยวซงกงกลับหัวเราะเยาะขึ้นมา มองดูเขาแล้วพูดขึ้น “หากเจตจำนงกระบี่ไร้การแปดเปื้อนจริงๆ เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงมีความกล้าเพียงแค่ตวาดพวกเขา ตัวเองกลับไม่กล้าไปถามอาจารย์ของเจ้า และยืนยันว่าเรื่องนี่เป็นจริงหรือเท็จ”
ไป๋ไช่มองเขาด้วยความโกรธ กัดฟันแต่กลับนิ่งเงียบไม่พูดจา
ความนิ่งเงียบ บางครั้งนั้นแทนความโกรธเกรี้ยวที่พุ่งขึ้นไปถึงขีดสุด บางครั้งแทนการไร้คำพูด บางครั้งก็เป็นการยอมรับ…ตั้งแต่ที่เสี่ยวซงกงพูดว่าชีเจียนเป็นบุตรสาวของซูหลีกับองค์หญิงเผ่ามาร จนถึงตอนนี้ได้ผ่านมาช่วงเวลาหนึ่งแล้ว หัวหน้าพรรคเขาหลีซานยืนอยู่ที่หน้าถ้ำพำนักด้วยท่าทีอ้างว้าง ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้พูดจา ที่จริงความหมายก็ชัดเจนอย่างมากอยู่แล้ว
ศิษย์เขาหลีซานนับสิบคนที่อยู่ด้านหน้าถ้ำพำนัก ศิษย์เขาหลีซานในจำนวนที่มากยิ่งกว่าบนยอดเขาต่างๆ ล้วนพากันมองมาที่หัวหน้าพรรค
มาจนถึงตอนนี้แล้ว พวกเขาก็ยังคงจงรักภักดีกับเขาหลีซาน ยังคงสนับสนุนหัวหน้าพรรค ไม่สนใจเสี่ยวซงกงกับผู้อาวุโสโถงบทบัญญัติที่หน้าไม่อายสองคนนั้น แต่ว่าในตอนนี้ พวกเขาเริ่มจะเชื่อว่าชีเจียนไปจนถึงซูหลีมีความสัมพันธ์กับเผ่ามาร ไม่เช่นนั้นก่อนศิษย์พี่สามเหลียงเสี้ยวเซียวจะตาย เหตุใดถึงได้ใช้สายตาที่ซับซ้อนเจ็บปวดเช่นนั้นมองไปยังนาง
แม้กระทั่งเจตจำนงกระบี่ของไป๋ไช่ในตอนนี้ก็ยังถูกสั่นคลอน ความรู้สึกก็ค่อนข้างจะผิดหวัง
สิบกว่าปีก่อน ตั้งแต่เขาหลีซานไปจนถึงทั่วทั้งโลกมนุษย์ เพราะว่าสตรีสองนางนี้ได้ก่อความวุ่นวายจนพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน สิบกว่าปีให้หลัง ในที่สุดเรื่องนี้ก็กลับมาที่เขาหลีซานอีกครั้ง อีกทั้งยังเริ่มเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ในเขาหลีซานไป
ก็เป็นในตอนนี้เอง ในที่สุดหัวหน้าพรรคเขาหลีซานก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง เขามองตาของเสี่ยวซงกงแล้วพูดขึ้น “เจ้าไม่น่าจะรู้เรื่องเหล่านี้ เพราะว่าคนที่รู้เรื่องเหล่านี้ในตอนนั้นได้ตายไปหมดแล้ว นอกจากนักปราชญ์ทั้งสามท่านกับข้า ไม่มีผู้อื่นรู้เรื่องนี้ แม้แต่ราชามารก็ยังไม่รู้ เช่นนั้น เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร”
นี่เป็นคำถามที่ยากจะตอบข้อหนึ่ง ดังนั้นสีหน้าของเสี่ยวซงกงจึงผวาขึ้นมาในทันที และไม่มีเจตนาที่จะเอ่ยปากตอบคำถามนี้
“ต่อให้จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับใต้เท้าสังฆราชต้องการจะฆ่าอาจารย์ปู่เล็ก แต่เส้นทางจิตใจของนักปราชญ์อยู่ที่ทะเลแห่งดวงดาว ไม่อาจที่จะผิดต่อคำสาบานในปีนั้น นักปราชญ์อีกท่านยิ่งไม่มีทางคิดร้ายต่ออาจารย์ปู่เล็ก”
หัวหน้าพรรคไม่ได้อธิบายว่าเหตุใดนักปราชญ์ท่านนั้นถึงไม่มีทางคิดร้ายกับซูหลี ที่พูดก็ดูสมเหตุสมผลอย่างมากแล้ว หลังจากนั้นเขาก็พูดขึ้นต่อ “เช่นนั้น เจ้ารู้ความลับเรื่องนี้ได้อย่างไร”
เสี่ยวซงกงยิ้มหยันแล้วพูดขึ้น “ข้าพูดไปแล้ว โลกใบนี้ไม่มีความลับที่เด็ดขาด”
หัวหน้าพรรคพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ในปีนั้นอาจารย์ปู่เล็กบุกขึ้นเหนือไปที่เมืองสวินหยาง และฆ่าคนที่รู้เรื่องนี้ในจวนเหลียงอ๋องทั้งหมด จักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์กับใต้เท้าสังฆราชได้ลงมือเก็บกวาดไปแล้ว เพื่อที่จะเก็บรักษาความลับนี้ไว้ ข้านั้นอยากจะรู้อย่างมาก พวกเขาทั้งสามคนได้ละเลยใครไปกันแน่”
เมื่อเสี่ยวซงกงได้ยินสีหน้าก็หวาดกลัวขึ้นมา เขาเองก็เพิ่งรู้เบื้องหลังการฆ่าสังหารในปีนั้น ที่แท้ก็เป็นเจตนาของบุคคลที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามคนนี่เอง
หัวหน้าพรรคพูดต่อ “ถ้าหากเจ้าพูดที่มาไม่ได้ เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงเดาว่านี่เป็นฝีมือของคนชุดดำ”
นี่เป็นการคาดเดาที่หยาบอย่างมาก แต่ในแผ่นดินตะวันออกของดินแดนต้าลู่ นี่กลับเป็นการคาดเดาที่สามารถยอมรับได้อย่างมาก เพราะว่าโลกมนุษย์กับอาณาเขตเผ่ามาร และเผ่าปีศาจได้มีความรู้หนึ่งที่ใกล้เคียงกับสัจธรรม…คนชุดดำนั้นล่วงรู้ความลับทั้งหมดในโลก
“ถ้าหากเป็นคนชุดดำบอกพวกเจ้าจริงๆ…เจ้าพูดว่าอาจารย์ปู่เล็กร่วมมือกับเผ่ามาร เช่นนั้นพวกเจ้าล่ะ กุนซือของเผ่ามารใช้มือของพวกเจ้ามาทำลายรากฐานของเขาหลีซาน! นี่นับว่าเป็นการร่วมมือหรือไม่!”
สมแล้วที่เป็นหัวหน้าพรรคของพรรคกระบี่เขาหลีซาน คำพูดแต่ละคำราวกระบี่ แม้ร่างกายบาดเจ็บสาหัสหลังจากที่ถูกลอบโจมตี แต่น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธและจงใจตะโกนขึ้นมานี้ เป็นราวกับเสียงฟ้าผ่าก็มิปาน สะท้อนก้องไประหว่างยอดเขาต่างๆ ทำให้เสียงวิพากษ์วิจารณ์บนยอดเขาพากันหยุดลง สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสโถงบทบัญญัติทั้งสองคนไม่รู้ที่มาของข่าวนี้ จิตใต้สำนึกจึงสั่งให้มองไปที่เสี่ยวซงกง ในที่สุดเสี่ยวซงกงก็รับอานุภาพของคำพูดที่คมดั่งกระบี่ไม่ไหว และพูดขึ้นด้วยใบหน้าที่ค่อนข้างจะซีดขาว “เป็นจดหมายที่เหลียงเสี้ยวเซียวที่ไว้ก่อนตาย”
เมื่อหัวหน้าพรรคได้ยินก็นิ่งเงียบไป แล้วพูดขึ้น “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
เขามองไปที่ผู้อาวุโสของพรรคฉางเซิงผู้นั้น “จำได้ว่าในปีนั้น เป็นศิษย์พี่เจียงที่พาเด็กสองคนนั้นมาส่งให้เขาหลีซาน ตอนนี้ลองคิดดูแล้วในตอนนั้นเขาก็รู้ชาติกำเนิดของตัวเองอยู่แล้ว”
ผู้อาวุโสเจียงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้น “ข้าไม่รู้ว่าเขารู้ชาติกำเนิดของตัวเองตั้งแต่เมื่อไหร่ ข้าเองก็ได้เห็นจดหมายก่อนตายฉบับนั้นที่จวงห้วนอวี่แอบส่งให้พรรคฉางเซิง ถึงได้รู้เรื่องราวเหล่านี้”
หัวหน้าพรรคพูดขึ้น “เห็นได้ชัดว่าปั้นหูไม่รู้ชาติกำเนิดของตน และยิ่งไม่รู้เรื่องราวใหญ่โตในปีนั้น อายุของเสี้ยวเซียวน้อยกว่าอยู่บ้าง เหตุใดก่อนตายผู้อาวุโสเหลียงถึงได้เอาเรื่องการแก้แค้นมาฝากเอาไว้กับเขา”
ผู้อาวุโสเจียงพูดขึ้น “บางทีผู้อาวุโสเหลียงก็มองออกตั้งแต่สิบกว่าปีก่อนแล้วว่าเหลียงปั้นหูซื่อสัตย์เกินไป เทียบไม่ได้กับน้องของเขาที่สุขุมโหดเหี้ยม”
ความจริงก็เป็นเช่นนี้ หากพูดถึงความสุขุมโหดเหี้ยม ในบรรดาคนรุ่นเยาว์ จะมีใครเป็นคู่มือของเหลียงเสี้ยวเซียวได้กัน ต่อให้เขาจะตายไปแล้ว
อัจฉริยะหนุ่มผู้หนึ่ง ระดับพลังก็แค่ขั้นทะลวงอเวจี แต่ว่าเพื่อสังเวชด้วยปณิธานอันยิ่งใหญ่ กล้าทำให้นักปราชญ์เหยียบเข้าไปในทะเลของความเจ็บปวด เขาใช้การตายของตัวเอง ในเขาหลีซานไม่รู้ว่าสร้างความวุ่นวายขึ้นมาเท่าไหร่! ที่ต่อกรกับเฉินฉางเซิงกับวั่วฟูเจ๋อซิ่ว นั่นเป็นเพียงการพรางตา เป็นลูกเล่นที่เขาใช้กวนน้ำให้ขุ่น แน่นอนว่านี่ก็เป็นเรื่องที่เขายินยอมจะถือโอกาสลงมือทำ เป้าหมายที่แท้จริงของเขาตั้งแต่ต้นจนจบก็คือเขาหลีซาน คือซูหลี
เหลียงเสี้ยวเซียวรู้ดีว่าทั้งชีวิตของตนไม่มีโอกาสที่จะฆ่าซูหลี แม้แต่จะแอบทำร้ายชีเจียนก็ยังยากลำบากอย่างมาก ดังนั้นเขาจึงเลือกเส้นทางที่เด็ดขาดมากที่สุด ใช้ลูกเล่นที่สุดโต่งที่สุด เขาต้องทำลายชื่อเสียงของชีเจียน เรื่องของชื่อเสียงนี้ไม่จำเป็นต้องใช้หลักฐานใดๆ ขอเพียงการคาดเดาด้วยเจตนาร้ายก็สามารถที่จะทำลายได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ในสายตาของผู้คน เขาเป็นศิษย์พี่ที่เอ็นดูชีเจียนมากที่สุด เขาต้องการทำลายตำนานของซูหลี เรื่องของตำนานนี้ เป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขามที่สุด แต่ก็ถูกทำให้แปดเปื้อนได้ง่ายที่สุด เพราะว่าเดิมทีตัวของซูหลีเองก็เคยทำหลายเรื่องที่ง่ายต่อการจะทำให้ชื่อเสียงต้องแปดเปื้อน
เขากับกุนซือเผ่ามารผู้ลึกล้ำยากจะหยั่งถึงที่อยู่ ณ พื้นที่ราบหิมะผู้นั้น คนหนึ่งอยู่เหนือคนหนึ่งอยู่ใต้ร่วมมือกันจากที่ห่างไกล และสร้างสถานการณ์ทั้งด้านนอกด้านในสวนโจว และสวินหยางกับเขาหลีซานที่เป็นสถานการณ์สังหารซ้อนสองชั้น
เพื่อสิ่งนี้ เขาเพียงแค่จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยชีวิต หลังจากนั้นก็ทิ้งสายตากับจดหมายก่อนตายเอาไว้
ก่อนที่จะตาย คิดว่าเขาก็คงคาดการณ์เอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว ถึงแม้ตนเองจะตายไปแล้ว แต่คนนับไม่ถ้วนก็จะดำเนินการต่อตามที่เขาจัดวางเอาไว้ และใช้สายตากับจดหมายก่อนตายของเขาไปต่อสู้ต่อ
ทั่วทั้งโลกจะแก้แค้นแทนเขา แก้แค้นแทนคนในรุ่นอาวุโสของเขา
เชื่อว่าในนาทีที่เขาหยุดลมหายใจที่ด้านนอกสวนโจวนั้น เหลียงเสี้ยวเซียวได้ไปอย่างสงบและเป็นสุข
……
……
เสี่ยวซงกงไม่ได้พูด ผู้อาวุโสโถงบทบัญญัติทั้งสองคนไม่ได้พูด ผู้อาวุโสเจียงจากพรรคฉางเซิงผู้นั้นก็ไม่ได้พูดขึ้นอีก หัวหน้าพรรคยืนอยู่ด้านหลังแสงกระบี่นับสิบสาย มองดูกระบี่ที่อยู่ในมือขวาของตนอย่างสงบ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ พวกเขาเป็นผู้แข็งแกร่งของโลกในระดับรวบรวมดวงดาวขั้นสูง คนรุ่นหลังอย่างเหลียงเสี้ยวเซียวนี้ แค่โบกมือขึ้นมาก็สามารถฆ่าได้อย่างง่ายดาย แต่ในตอนนี้หลังจากที่พวกเขาเข้าใจเจตนาทั้งหมดไปจนถึงเรื่องที่เหลียงเสี้ยวเซียวเคยทำอะไรไปแล้ว ความรู้สึกที่มีต่อคนรุ่นหลังที่ตายไปแล้วผู้นี้ กลับมีความรู้สึกเกรงกลัวขึ้นมาอย่างน่าประหลาด
ถ้าหากพวกเขารู้ว่าโจวทงเคยพูดว่าเหลียงเสี้ยวเซียวเป็นผู้สืบทอดที่เหมาะสมที่สุดของเขา บางทีอาจจะเกิดความรู้สึกที่เหมือนกัน
ในเวลาที่สั้นอย่างมาก หัวหน้าพรรคเขาหลีซานก็เหมือนจะชราลงไปบ้างแล้ว เมื่อเข้าใจทั้งหมดแล้ว ในใจของเขาก็เกิดความรู้สึกผิดขึ้นมา เหลียงเสี้ยวเซียวตั้งแต่เด็กถึงเพียงนั้นก็ต้องมีชีวิตอยู่ภายใต้ความโกรธแค้น กลับต้องปิดบังแม้แต่กับพี่น้องแท้ๆ เช่นนั้นจะเป็นความเจ็บปวดแบบไหนกัน เหตุใดตั้งแต่ต้นจนจบตนถึงไม่พบความผิดปกติของเขากัน
ความสงบในท้ายที่สุดก็ถูกทำลายไป ผู้ที่พูดขึ้นมาก็คือประมุขของตระกูลชิวซาน ก่อนเช้าตรู่ ที่ตามพวกเสี่ยวซงกงขึ้นยอดเขาหลักมา หลังจากนั้นประมุขตระกูลชิวซานผู้นี้กับผู้ติดตามที่มีความแข็งแกร่งลึกล้ำยากจะหยั่งผู้นั้น ก็ไม่พูดไม่จามาโดยตลอด ถึงแม้ตำแหน่งที่พวกเขายืนจะแสดงชัดถึงจุดยืนของพวกเขาตั้งแต่แรกแล้วก็ตาม
“เรื่องนี้อย่างไรก็ต้องถูกจัดการ” ประมุขตระกูลชิวซานมองหัวหน้าพรรคอย่างอ่อนโยนแล้วพูดขึ้น
ประมุขตระกูลมีชื่อของเทียนหนานผู้นี้ ใบหน้าถึงขนาดมีรอยยิ้ม คำพูดที่ออกมากลับแข็งกร้าวขนาดนั้น “ในเมื่อร่างของชีเจียนมีสายเลือดของเผ่ามารไหลเวียนอยู่ แน่นอนว่าก็ควรจะให้โถงบทบัญญัติสอบสวน ท่านซูหลีที่ปกปิดเรื่องนี้ควรจะต้องรับผิดชอบ แต่ในเมื่อเขาได้เสียชีวิตลงที่เมืองสวินหยางไปแล้ว แน่นอนว่าก็ต้องแล้วกันไป และหัวหน้าพรรคท่าน…ข้าคิดว่าที่จริงก็ควรจะต้องสละตำแหน่งแล้ว”
เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่เสี่ยวซงกงเคยร้องขอมาก่อน ประมุขตระกูลชิวซานได้ย้ำขึ้นมาอีกรอบ
เหล่าศิษย์เขาหลีซานของแต่ละยอดเขาต่างพากันเคร่งเครียดขึ้นมาอีกครั้ง
ความวุ่นวายภายในในครั้งนี้ นี่เป็นการปะทะกันของขั้วอำนาจสองฝ่าย ขนาดที่ข้ามขอบเขตของเขาหลีซานไปแล้ว แต่เป็นการปะทะกันของขั้วอำนาจใหญ่สองฝ่ายของเทียนหนาน ที่แย่งชิงกันคือตำแหน่งหัวหน้าพรรคของเขาหลีซาน ด้ามจับของหมื่นกระบี่ทลายเมฆา! จนถึงตอนนี้ เลือดที่หลั่งรินยังไม่มากพอหรือ รึว่าเขาหลีซานในวันนี้จะต้องถูกย้อมอาบไปด้วยเลือดจริงๆ
ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ถึงแม้คำพูดนี้จะเป็นการทวนซ้ำ แต่กลับออกมาจากปากของประมุขตระกูลชิวซาน นี่จึงมีความแข็งกร้าวมากกว่าการต่อต้านที่เสี่ยวซงกงทำก่อนหน้านี้ ไม่ใช่เพียงเพราะตำแหน่งของตระกูลชิวซานในเทียนหนาน แต่เป็นเพราะ…เขาคือบิดาของชิวซานจวิน