ท่าทีซย่าโหวฉิงเทียนที่ปฏิบัติต่ออวี้เฟยเยียน แม้แต่อวี้จิงเหลยก็มองออก
เจ้าหนุ่มนี่ ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะตามจีบอวี้เฟยเยียนอย่างนั้นหรือ
อวี้จิงเหลยจ้องมองซย่าโหวฉิงเทียน เขากัดริมฝีปากแน่น
หากไม่นับรวมเสียงเล่าลือที่ไม่ดีเกี่ยวกับเขาละก็ หลายวันที่ผ่านมาอวี้จิงเหลยก็พบข้อดีมากมายของเขา
แน่นอนว่า ประมุขแห่งตระกูลอวี้อย่างไรก็ไม่ยอมรับว่าตนถูกตำรา ’เบญจพิชัยยุทธ’ ของซย่าโหวฉิงเทียนซื้อใจ
ในระยะนี้ซย่าโหวฉิงเทียนมักจะแวะเวียนไปที่จวนจงอี้กงอยู่บ่อยครั้ง แต่เขามิได้มาพบอวี้เฟยเยียนแต่อย่างใด เพราะอวี้เฟยเยียนให้การรักษาผู้คนอยู่ที่หอคืนชีพ ซย่าโหวฉิงเทียนจึงมาทำความคุ้นชินสนิทสนมกับเขาผู้เป็นปู่ของนางให้มากเข้าไว้ น้ำหยดลงบนหินทุกวันหินยังกร่อน แล้วนับประสาอะไรกับใจคน เมื่อเอาชนะใจผู้เป็นปู่ได้แล้วเท่ากับเป็นการจัดการอุปสรรคชิ้นใหญ่ให้หมดไปนั่นเอง
ซย่าโหวฉิงเทียนแวะเวียนมาที่จวนทุกวัน ไม่ได้ทำสิ่งอื่นใดนอกจากคุยเรื่องสงครามและการวางแผน
ประมุขแห่งตระกูลอวี้ใช้ชีวิตอยู่กับชุดเกราะบนหลังม้ามาชั่วชีวิต เขาตั้งค่ายริมมหาสมุทร ศัตรูของเขาจึงเป็นพวกโจรสลัดหรือโจรต่างๆ ที่ไม่มีหลักแหล่งที่แน่นอน ดังนั้นจึงเชี่ยวชาญการตั้งรับ
แต่ซย่าโหวฉิงเทียนที่ถึงแม้เป็นผู้นำกองทัพเพียงไม่นาน แต่อุปนิสัยเขาก็เป็นตัวกำหนดวิธีการนำพาทหารไปออกรบ ซึ่งมีเพียงบุกโจมตี เป็นฝ่ายรุกเท่านั้น และจะต้องโจมตีศัตรูให้แพ้ราบคาบ ตัดรากถอนโคนเท่านั้นจึงจะเพียงพอ
คนทั้งสอง คนหนึ่งรุกคนหนึ่งรับ หากร่วมมือกันจะต้องเป็นผลดีอย่างมาก
แต่คนหนึ่งแก่คนหนึ่งหนุ่มซึ่งไม่ยอมลดราวาศอกยอมรับในฝ่ายใด จึงมักจะคิดว่าวิธีการตนเองดีที่สุด โดยเฉพาะท่าทางยโสโอหัง ข้ามันแน่เชิญท่านดาหน้าเข้ามาได้เลยของซย่าโหวฉิงเทียน ทำเอาอวี้จิงเหลยโมโหหัวเสียแทบจะทุกครั้งไป
คนทั้งสองไม่มีใครต่างยอมลงให้ใคร จึงกลับกลายเป็นการทดสอบทางการทหาร ที่ทดลองปฏิบัติบนกระดานทราย ซึ่งคนทั้งสองก็แข่งขันอย่างไม่มีใครยอมใคร
แน่นอน ซย่าโหวฉิงเทียนเมื่อย่างก้าวเข้าสู่สนามรบ เขาก็จะกลายเป็นคนหน้าเหล็กไร้ใจทันที
ถึงแม้ว่าก่อนลงสนามทุกครั้ง ซย่าโหวฉิงเทียนจะพยายามให้สัญญาเตือนตนเองอย่างลับๆ ว่า เพื่อแมวน้อย ในวันนี้ต้องอ่อนข้อให้ผู้อาวุโสชนะ
ทว่า เมื่อถึงเวลาที่เขาต้องบังคับการจริงๆ เขาก็ลืมทุกอย่างจนหมดสิ้น
ซึ่งผลลัพธ์ก็น่าจะรู้กันอยู่…
แต่ทว่าเป็นเพราะซย่าโหวฉิงเทียนที่เป็นเช่นนี้ อวี้จิงเหลยจึงได้มองเข้าเปลี่ยนไป
รู้ทั้งรู้ว่าเป้าหมายของเจ้าหนุ่มนี่คืออวี้เฟยเยียน แต่เมื่อถึงเวลาสำคัญ ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยังยึดมั่นในอุดมการณ์ ไม่เปลี่ยนแปลง นี่ต่างหากจึงนับว่าเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง!
“ท่านพ่อ ท่านจะมองดูหมอนั่นแย่งเอาเสี่ยวเยียนเยียนไปหรือ”
อวี้เชียนเสวี่ยมองอ่านความคิดอวี้จิงเหลยออก เขาที่นั่งข้างๆ จึงกล่าวถามขึ้น
“ไม่ได้!”
อวี้จิงเหลยส่ายศีรษะเบาๆ
“เยียนเอ๋อร์มีความคิดความอ่านเป็นของตัวเอง เรื่องนี้ให้นางตัดสินใจด้วยตัวเอง! อีกอย่างต่อให้เยียนเอ๋อร์เต็มใจก็ตาม แต่นางอายุยังน้อย คงต้องรออีกสักสองปี!”
“ใช่ ต้องรออีกสองปี! ให้หมอนี่กลายเป็นโคแก่กินหญ้าอ่อน หึหึ…”
อวี้เชียนเสวี่ยหัวเราะออกมาด้วยความ ‘ไม่ปรารถนาดี’ แต่จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บจี๊ดที่ต้นแขน ที่แท้แล้วเป็นมู่เหนี่ยนซีที่หยิกเขา
ซึ่งมันทำให้อวี้เชียนเสวี่ยเข้าใจอะไรขึ้นมา
หากเปรียบเทียบตัวเขากับซย่าโหวฉิงเทียนละก็ เขาต่างหากที่เป็นวัวแก่ตัวจริง! ยังจะมีหน้าไปทับถม ซย่าโหวฉิงเทียนอีก!
อวี้เฟยเยียนได้กินกุ้งมังกรรสเลิศ จึงอารมณ์ดีเป็นพิเศษ มาที่นี่จึงได้ลิ้มรสชาติอาหารที่แท้จริงแบบต้นตำรับ ไม่มีสิ่งใดเจือปน มันช่างหอมอร่อยยิ่งนัก!
ผู้ที่ถูกเชิญมา ยังมีหมอเทวดาฮั่วอีกคน
นักกินเช่นเขากำลังง่วนอยู่กับการยัดอาหารเลิศรสลงท้องอย่างเมามัน กินเต็มกำลัง ทำให้อวี้เฟยเยียนกังวลใจ หมอเทวดาฮั่วกินเข้าไปมากมายเพียงนี้ จะกินจนกระเพาะพังหรือไม่นะ!
แต่ก็อดพูดไม่ได้ว่า เพื่อที่จะได้พบหน้าอวี้เฟยเยียนแล้ว ซย่าโหวจวินอวี่ลงทุกลงแรงไปมากมาย
แต่หากว่าเชิญนางทั้งสองคนมา อวี้หลัวช่ากับอวี้เฟยเยียน ซย่าโหวฉิงเทียนจะเอาอกเอาใจใครกันนะ
หากหญิงทั้งสองต่อสู้กันขึ้นมา ผลลัพธ์ที่ตามมาแทบไม่กล้าคาดคิด คงจะทำให้วังหลวงทั้งวังราบเป็นหน้ากลองเลยทีเดียว!
ในฐานะพ่อ ซย่าโหวจวินอวี่จึงต้องไตร่ตรองอย่างรอบคอบด้วยความเห็นใจทุกฝ่าย
ดังนั้นในตอนที่ฝ่าบาททรงพระราชทานป้ายคำอวยพรให้กับหอคืนชีพนั้น ยังทรงส่งคนให้แจ้งกับอวี้หลัวช่าเป็นพิเศษอีกด้วยว่า ระยะนี้นางทำเพื่อความดีเพื่อต้าโจวมากมาย ลำบากนางแล้ว หากมีโอกาสให้หาเวลาพักผ่อนเสียบ้าง!
เมื่อได้ฟังกระแสรับสั่งนี้ของฝ่าบาท อวี้เฟยเยียนจึงตามน้ำปฏิเสธการเข้าวังในนามอวี้หลัวช่าในครั้งนี้
แต่ในฐานะอวี้เฟยเยียน นางยังต้องติดตามผู้เป็นปู่เข้าวังอยู่ดี ซึ่งหากว่าอวี้หลัวช่าต้องเข้าวังพร้อมๆ กับอวี้เฟยเยียนขึ้นมา ถึงตอนนั้นจะทำอย่างไรกันดี
ตัดแบ่งคนออกเป็นสองคนอย่างนั้นหรือ
สุดท้าย พระดำริของฝ่าบาทเป็นที่น่าพอใจทั้งสองฝ่าย
ท่าทีซย่าโหวฉิงเทียนที่ปฏิบัติต่ออวี้เฟยเยียน เหล่าบรรดาราชนิกุล และขุนนางผู้ใหญ่ล้วนประจักษ์แก่สายตาเช่นกัน
ซึ่งทุกคนแอบซุบซิบกันอย่างลับๆ มานานแล้ว ว่าบุปผางามแห่งตระกูลอวี้คนนี้ จะไปออกผลที่ใครกัน
เพราอย่างไรเสียผู้ที่อาจหาญจะแต่งงานกับจอมเทวา ไม่เพียงต้องมีฐานะทัดเทียมกับจวนจงอี้กงแห่งตระกูลอวี้ อีกทั้งยังต้องมีความสามารถเทียบเท่ากับอวี้เฟยเยียนถึงจะเหมาะสม
งานเลี้ยงในคืนนี้ไขความกระจ่างให้กับทุกคนโดยที่ไม่มีใครคาดคิด
หลินเจียงอ๋องถูกตาต้องใจใต้เท้าอวี้หรือนี่
ข่าวนี้ สั่นสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วเมืองหลวงเป็นแน่!
ภาพที่อวี้เฟยเยียนใช้ดาบบั่นคอโจวเลี่ยกลางอากาศ ทุกคนจดจำได้เป็นอย่างดี
อย่าดูว่านางอายุยังน้อย ทว่ากลับสามารถฆ่าคนได้โดยไม่มีท่าทีใจอ่อนเลยแม้แต่น้อย…
ซย่าโหวฉิงเทียนคนเดียวก็โหดเ**้ยมมากแล้ว หากซย่าโหวฉิงเทียนและอวี้เฟยเยียนรวมกันละก็ จะก่อกำเนิดเป็นสามีภรรยาที่โหดเ**้ยมที่สุดในประวัติศาสตร์เชียวนะ!
หากคู่นี้ร่วมมือกัน! จะกลายเป็นคู่ไร้เทียมทานของแผ่นดิน!
น่าหวาดกลัวชะมัด!
ผู้คนมากมายมองภาพเอาไว้ล่วงหน้า หากงานแต่งงานในครั้งนี้เกิดขึ้นจริง จะก่อเกิดหลายสิ่งที่เป็นอันดับหนึ่งในประวัติศาสตร์มากมายเพียงใด!
เมื่อเห็นสายตาหลากหลายของผู้คนรอบข้างที่มองมา อวี้เฟยเยียนก็เกิดความสงสัย
ช่วงเวลาที่นางเผยโฉมหน้าก็ไม่มาก พบเจอผู้คนก็ไม่มากเท่าไหร่ เหตุใดทุกคนถึงได้ใช้สายตาที่แปลกประหลาดเช่นนี้มองมาที่นางด้วย น่าแปลกจริงเชียว!
ไม่รอให้อวี้เฟยเยียนเข้าใจในการกระทำนั้น ซย่าโหวฉิงเทียนก็ใช้สายตาที่น่ากลัวกวาดมองไปที่ผู้คนภายในตำหนักนั้น
ทันทีทันใด สายตาแปลกประหลาดที่จับจ้องไปที่อวี้เฟยเยียนก็มลายหายไปภายในพริบตา ทุกคนเอาแต่ก้มหน้าก้มตาดื่มสุรา รับประทานอาหาร หรือไม่ก็ชมการแสดง ไม่กล้าสบสายตาดุดันที่กวาดมองมาสักนิด
ครั้งนี้เป็นอีกครั้ง ที่อวี้เฟยเยียนได้ประจักษ์กับสายตาตนเองว่า อำนาจบารมีของซย่าโหวฉิงเทียนมีพลังมากเพียงใด
ทำให้ทุกคนหวาดกลัวมากถึงเพียงนี้ ถือเป็นความสามารถของเขานะเนี่ย!
หลิวเปยรับประทานอาหารไปพลาง สายตาก็คอยมองสำรวจไปถ้วนทั่ว หูก็ตั้งใจฟังตลอดเวลา
เมื่อสายตาไปปะทะกับอวี้เฟยเยียนเข้า ทำเอาเขาตกตะลึงไปชั่วขณะ
สาวน้อยที่เปี่ยมด้วยพระสวรรค์อายุเพียงแค่สิบห้าปี นางสามารถเป็นจอมเทวาได้เร็วกว่าอวี้หลัวช่า จึงถูกยกย่องให้เป็นยอดคนในหมู่ยอดคน…
แสงเรืองรองเปล่งประกายอยู่รอบตัวอวี้เฟยเยียน
จะกระทั่งหลิวเปยมองเห็นรูปร่างหน้าตาอวี้เฟยเยียนชัดๆ เข้า เขาก็เบะปากน้อยๆ
หน้าตาก็ออกจะธรรมดานี่นา!
อย่างมากก็แต่สดใส…
ดังนั้นบอกได้เลยว่า หน้าตาและความสามารถของผู้หญิงยากนักที่จะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน!
นอกเสียจากว่านางจะเป็นลูกรักของเทพเจ้า!
การที่หลิวเปยมาด้วยตัวเองในครั้งนี้ เหตุผลแรกนั่นก็คือแสดงความจริงใจ ขณะเดียวกันก็แสดงถึงการดำรงอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ซย่าโหวจวินอวี่ เพื่อให้ว่าที่พ่อตาผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ช่วยสนับสนุนให้เขาขึ้นเป็นรัชทายาท
อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ต้องการที่จะเห็นอวี้เฟยเยียนและอวี้หลัวช่าสองนารีที่เป็นดั่งเทพนิยายก็ไม่ปานด้วยตาของตนเอง
ถึงแม้ว่าหลิวเปยจะรูปร่างหน้าตาธรรมดา แต่เขาก็มีจิตใจที่ยิ่งใหญ่และกล้าแข็ง
อย่างเช่นว่า เขาเคยคิดจินตนาการว่าตนเองจะดึงดูดความสนใจของจอมเทวาหญิงทั้งสองอย่างไร ที่จะทำให้อีกฝ่ายประทับใจในตัวเขายอมมอบกายมอบใจให้ หลงรักเขาหัวปักหัวปำ ไม่ยอมแต่งงานกับผู้ใดนอกเหนือจากเขา
หากว่ามีเรื่องเช่นนี้ที่จู่ๆ ก็มีเนื้อร่วงหล่นมาจากฟ้าละก็ อย่าว่าแต่ซย่าโหวเสวี่ยเลย ต่อให้เป็นต้าโจวทั้งแคว้นเขาก็จะเตะกระเด็นให้พ้นทาง
จอมเทวา!
มีค่ากว่าซย่าโหวเสวี่ยเป็นกอง!
ขอเพียงแต่เขาสามารถทำให้จอมเทวาคนใดคนหนึ่งหลงรักเขาหัวปักหัวปำได้ อย่าว่าแต่ขึ้นเป็นฮ่องเต้ซีเย่ว์เลย ต่อให้อยากจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินใหญ่แห่งนี้ ก็มิใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
ทว่า เหล่านี้ล้วนแต่เป็นการวาดฝันด้วยความหลงตัวเองของหลิวเปยเพียงฝ่ายเดียว