บทที่ 957 : คัดยอดฝีมือ!
  ทันทีที่ได้เห็นพลองม่วงทองที่วางอยู่บนพื้นตี้เสี่ยวอู๋ถึงกับดวงตาเบิกโพลง และหายใจรุนแรง!
  ความจริงแล้วพลองท่อนนี้ก็ไม่ใช่สีม่วงทองเสียทีเดียวแต่มันเป็นสีดำทองที่มีพื้นผิวเลียบเป็นมันวาวต่างหาก
  “ว้าว..กระบองทองเหรอพี่หยุน” ถังเมิ่งและอาปิงที่วิ่งตามมาติดๆ นั้นถึงกับกรีดร้องออกมาอย่างตกใจ
  หลิงหยุนเห็นตี้เสี่ยวอู๋ยืนอึ้งไม่พูดไม่จาจึงได้แต่นึกขันและพูดขึ้นว่า “เสี่ยวอู๋.. นายใกล้จะเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-7 แล้ว นายต้องหาอาวุธประจำตัวได้แล้ว!”
  เวลานี้ตี้เสี่ยวอู๋นั่งลงกับพื้นและมือที่กำลังสัมผัสพลองม่วงทองนั้นก็สั่นเทิ้ม พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นตกใจ
  “พี่หยุน..นี่มันอาวุธอะไรกัน ใหญ่ขนาดนี้ฉันจะยังไง?”
  หลิงหยุนถึงกับอึ้งไปเล็กน้อยก่อนจะหัวเราะเสียงดังออกมา แล้วจึงตอบไปด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันไม่ได้จะให้นายใช้พลองนี่เป็นอาวุธ ประโยชน์ของมันก็แค่ใช้แทนแขน แต่ต้องฝึกจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับมันเสียก่อน ฉันจะใช้โลหะของพลองนี่สร้างอาวุธให้นายต่างหาก..”
  ตี้เสี่ยวอู๋ซึ่งหลงใหลการฝึกวรยุทธเป็นชีวิตจิตใจเงยหน้าขึ้นมองหลิงหยุนอยู่นาน ในที่สุดก็ตอบไปว่า “พี่หยุน.. ตอนที่อยู่ในแก๊งมังกรเขียว ฉันเคยใช้มีดสั้น กระบองคู่ แล้วก็กระบองสองท่อนเป็นอาวุธ..”
  หลิงหยุนไม่รีบร้อนนักเขายิ้มให้ตี้เสี่ยวอู๋ที่กำลังครุ่นคิด จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “นายไม่ต้องรีบร้อน ค่อยๆคิดดู ดูเหมือนนายจะไม่เคยคิดถึงเรื่องพวกนี้มาก่อนสินะ!”
  ตี้เสี่ยวอู๋ตอบกลับด้วยเสียงทีดังฟังชัด“ครับพี่หยุน!”
  “หรือจะเป็นหอกใหญ่แบบที่อัศวินขี่ม้าขาวใช้ดี!”
  หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออกและได้แต่แอบคิดในใจว่า ‘เสี่ยวอู๋.. ข้าว่าเจ้าคงจะอ่านนิยายต่อสู้มากเกินไป! เฮ้อ.. นี่ข้าต้องหาม้าให้เจ้าด้วยหรือไม่!’
  “ฮ่า..ฮ่า..”
  ตี้เสี่ยวอู๋ได้ยินถังเมิ่งหัวเราะเยาะก็เริ่มกระอักกระอ่วน แต่แล้วไม่รู้ว่าเด็กสาวตัวแสบฉีเสี่ยวหงเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะเสียงของนางดังขึ้นว่า
  “หรือจะเป็นขวานคู่เหมือนของหลี่ขุย– ฉายาพายุดำดีมั๊ยคะ”
  “หงเอ๋อ..พูดได้ดีมาก! หรือไม่ก็เป็นค้อนแบบหลี่หยวนปาก็ได้นะ!” ถังเมิ่งร้องตะโกนเสริมขึ้นมาเพื่อยั่วโมโหตี้เสี่ยวอู๋
  หลิงหยุนเหลือบมองถังเมิ่งก่อนจะหันไปบอกตี้เสี่ยวอู๋ว่า“เอาล่ะ.. ถ้ายังคิดไม่ออกก็ไม่เป็นไร ค่อยๆคิดไป เพราะถึงยังไงตอนนี้นายก็ยังไม่จำเป็นต้องไปสู้กับใคร!”
  ระหว่างนั้น..ถังเมิ่งก็รำพึงรำพันออกมาว่า “พี่หยุน.. แล้วไม่มีของฉันบ้างเหรอ”
  หลิงหยุนหัวเราะเสียงดังพร้อมกับเรียกปืนสั้น Desert Eagle ออกมาสองกระบอก แล้วจึงส่งให้ถังเมิ่งกับอาปิงคนละกระบอก พร้อมกับกำชับว่า
  “ใช้ระวังๆด้วยล่ะ!”
  “ว้าว!Desert Eagle ซะด้วย!”
  ถังเมิ่งและอาปิงร้องอุทานออกมาอย่างดีใจและรีบยื่นมือไปรับปืนมาจากหลิงหยุนทันที จากนั้นทั้งคู่ถึงกับกรีดร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น..
  “นี่มันปืนจริง..ปืนจริงๆด้วย!”
  ทั้งสองคน..คนหนึ่งอยู่ในครอบครัวนายตำรวจ ส่วนอีกคนอยู่ในครอบครัวนายทหาร ทั้งคู่จึงชื่นชอบเรื่องปืนเป็นชีวิตจิตใจ!
  ทั้งคู่เล็งปืนไปทางต้นไม้ใหญ่ด้านหน้าอย่างไม่ลังเลพร้อมกับทำท่าจะลั่นไก แต่หลิงหยุนรีบร้องห้ามไว้ก่อน ถังเมิ่งจึงร้องตะโกนตอบไป
  “พี่หยุน..ฉันรู้น่า!”
  จากนั้นถังเมิ่งจึงกระซิบถามหลิงหยุน“พี่หยุน.. ยังมีปืนอีกมั๊ย”
  หลิงหยุนตอบอย่างไม่ปิดบังเพราะในคืนที่สู้กับแวมไพร์นั้นเขาเก็บมาได้ทั้งปืนยาวและปืนสั้นมากมาย “ยังมีอีกหลายกระบอก..”
  ถังเมิ่งได้ฟังถึงกับหัวใจเต้นแรงจากนั้นหลิงหยุนก็หันกลับไปถามตี้เสี่ยวอู๋กับอาปิงว่า “หลี่ยี่เฟย เจียวเฟย กับมือสไนเปอร์สร้างปัญหาอะไรบ้างมั๊ย”
  ตี้เสี่ยวอู๋กับอาปิงตอบพร้อมกัน“พวกเขาเชื่อฟังคำสั่งดี ไม่มีปัญหาอะไร!”
  เป็นไปตามที่หลิงหยุนคาดไว้เขาจึงพยักหน้าพร้อมกับตอบไปว่า “แบบนี้ฉันค่อยโล่งใจหน่อย!”
  ฉีเสี่ยวหงยังคงยืนฟังทุกคนคุยกันอย่างเงียบๆเธอเป็นเพียงเด็กสาวที่อายุยังไม่สิบหกปีเต็ม แต่รูปร่างและใบหน้านั้นงดงามอย่างยิ่ง ดวงตาดำกลมโตนั้นเป็นประกายระยิบระยับราวกับสายน้ำ
  เวลานี้ฉีเสี่ยวหงได้เปลี่ยนมาสวมเสื้อเชิ้ตที่ฉินตงเฉี่วยเป็นผู้ซื้อให้ทั้งพี่สาวและน้องสาวส่วนกางเกงนั้นก็เป็นกางเกงขายาวสีขาวเผยให้เห็นรูปร่างที่งดงามสมส่วน..
  แม้ว่าตลอดสิบหกปีที่ผ่านมาฉีเสี่ยวชิงจะอยู่เติบโตมาด้วยอาหารการกินที่ไม่สมบูรณ์นัก แต่รูปร่าง และหน้าอกหน้าใจของเธอนั้นกลับโตเกินวัย อีกทั้งยังเป็นเด็กที่มีไอคิวสูงมากด้วย
  หลังจากที่ตื่นขึ้นมาจากอาการโคม่าแล้วเธอก็ถูกรับตัวมาอยู่ที่โรงแรมหรูหราซึ่งเธอแทบไม่เคยกล้าก้าวเท้าเข้าไปด้วยซ้ำ หลังจากได้พบแม่กับพี่สาวแล้ว ครอบครัวของเธอก็ได้ย้ายมาอยู่บ้านหลังใหญ่หรูหราที่รายล้อมไปด้วยหญิงสาวที่ทั้งงดงาม และเพียบพร้อม อีกทั้งยังได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี
  ชีวิตเช่นนี้..อย่าว่าแต่ได้มาอยู่จริงๆเลย สิ่งเหล่านี้ไม่เคยอยู่ในความฝันของฉีเสี่ยวหงด้วยซ้ำไป! จนบางครั้งเธอต้องแอบหยิกต้นขาตัวเองบ่อยๆ เพื่อให้แน่ใจว่านี่คือความจริง และเธอไม่ได้ฝันไป!
  และที่สำคัญ..หลายครั้งที่แม่ของเธอฉียวี่เจินขอกลับไปอยู่ที่บ้านของตัวเอง แต่คำตอบที่ได้ก็จะเหมือนกันทุกครั้งคือ.. “ทำใจให้สบาย!”
  ฉีเสี่ยวหงยืนอยู่ต่อหน้าชายหนุ่มทั้งสี่คนที่สูงล้วนแล้วแต่สูงกว่าตนเองแต่เธอซึ่งสูงเพียงหนึ่งเมตรหกสิบห้าเซ็นติเมตรนั้น กลับไม่มีท่าทีกระอักกระอ่วนใจ หรือเคอะเขินเลยแม้แต่น้อย
  ดวงตากลมโตคู่นั้นจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของหลิงหยุนนิ่งฉีเสี่ยวหงรู้ดีว่าที่ครอบครัวของเธอมีวันนี้ได้ก็เพราะชายหนุ่มรูปหล่อผู้นี้นี่เอง!
  หากนี่เป็นความฝันของเธอกับครอบครัวหลิงหยุนก็คือผู้ที่สร้างฝันครั้งนี้ขึ้นมา!
  หลังจากพบว่าหลิงหยุนหันมามองฉีเสี่ยวชิงก็รีบส่งเสียงทักทายทันที “พี่หลิงหยุน..”
  หลิงหยุนเองก็นึกชมที่เด็กสาวตัวแสบกล้าออกมาข้างนอกคนเดียวเช่นนี้จึงยิ้มให้พร้อมกับถามขึ้นว่า
  “มีอะไรเหรอหงเอ๋อ”
  แต่คำตอบของเด็กสาวตัวแสบเกือบจะทำให้หลิงหยุนและชายหนุ่มอีกสามคนตกใจจนแทบช็อค
  “ฉันขอยืมปืนเล่นหน่อยจะได้มั๊ยน่าสนุกดีจัง..”
  เรื่องแบบนี้..แม้แต่สาวใจกล้าอย่างหลงหวู่กับเสี่ยวเม่ยหนิงยังไม่เคยพูดออกมาเลย
  “ห๊ะ..เอ่อ..”
  หลิงหยุนอึกอักพร้อมกับหันไปมองหน้าถังเมิ่งแล้วตอบไปว่า “ฉันคงให้เธอเล่นไม่ได้นะ มันอันตรายเกินไป..”
  จากนั้นจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที“นี่หงเอ๋อ.. แม่กับพี่สาวของเธอเป็นยังไงบ้างล่ะ เริ่มคุ้นเคยกับการอยู่บ้านพี่เฉินเฉินยังล่ะ?”
  ในเมื่อหลิงหยุนเปลี่ยนเรื่องฉีเสี่ยวหงจึงต้องล้มเลิกความคิดที่จะยืมปืนเล่นไปก่อน และตอบหลิงหยุนไปว่า “พี่หลิงหยุน.. แม่ดีขึ้นมากแล้ว! แต่ก็เอาแต่ทำงานบ้านทุกวันเลย..”
  “ส่วนพี่เสี่ยวชิง..หลังจากช่วยแม่ทำงานบ้านแล้ว ก็เอาแต่เขียนอะไรก็ไม่รู้ แล้วก็ไม่ยอมให้ฉันดูด้วย..”
  หลิงหยุนพยักหน้ารับรู้และตอบไปว่า “ถึงแม้ท่านป้าจะอาการดีขึ้นแล้ว แต่ร่างกายก็ยังต้องการการพักผ่อน เธอกลับไปบอกแม่ว่าต่อไปไม่ให้ทำอะไร ให้พักผ่อนเยอะๆ เข้าใจใช่มั๊ย”
  ฉีเสี่ยวชิงพยักหน้าอย่างเข้าใจและรีบพูดต่อทันที “พี่หลิงหยุน.. แม่บอกว่าพี่เป็นเซียนที่สวรรค์ส่งมาช่วยครอบครัวของเรา แม่บอกว่าอยากให้พี่แวะไปที่บ้านสักครั้ง แม่จะได้ทำอาหารเลี้ยงพี่เป็นการตอบแทน..”
  พวกเธอทั้งครอบครัวต่างก็มาอาศัยอยู่กินในบ้านหรูหราใหญ่โตมีข้าวของเครื่องใช้ให้ใช้ได้อย่างสะดวกสบาย แต่ฉียวี่เจินกลับสามารถตอบแทนหลิงหยุนได้เพียงแค่การทำอาหารเลี้ยงเขาเท่านั้น..
  แน่นอนว่าหลิงหยุนไม่ปฏิเสธคำเชิญและร้องบอกฉีเสี่ยวหงด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “พี่ไม่กล้าอ้างตัวเป็นเซียนบนสวรรค์หรอกนะ.. แต่เรื่องคำเชิญพี่ไม่ปฏิเสธ ไว้มีเวลาพี่จะแวะไปทานอาหารฝีมือท่านป้า!”novel-lucky
  ฉีเสี่ยวชิงยกมือขึ้นชี้ไปในบ้านพร้อมกับพูดขึ้นว่า“พาป้าฉิน พี่หลิงยู่ พี่เฉินเฉิน พี่เม่ยหนิง พี่เสี่ยวเหมา แล้วก็พี่เซียนเอ๋อไปด้วยนะคะ..”
  ถังเมิ่งร้องสวนขึ้นมาทันที“ไม่เชิญพวกเราด้วยเหรอ”
  ฉีเสี่ยวชิงตอบกลับอย่างเฉลียวฉลาด“พี่ถังเมิ่งช่วยพี่เสี่ยวชิงไว้เหมือนกัน อยากจะกินเมื่อไหร่ก็มาได้เลยค่ะ..”
  จู่ๆหลิงหยุนก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “หงเอ๋อ.. คนชั่วที่ทำร้ายเธออยู่ที่นี่แล้ว อยากจะไปดูมั๊ย”
  ฉีเสี่ยวชิงทำเสียงฟึดฟัดพร้อมตอบกลับไปอย่างโมโห“มีอะไรที่ฉันไม่กล้าบ้าง ฉันจะเตะมันด้วย..”
  “งั้นพวกเราก็ไปกันเลย..”
  หลิงหยุนพูดพร้อมกับเดินนำหน้าพาทุกคนไปที่สวนหลังบ้านทันทีแต่ก็เห็นเสี่ยวเม่ยหนิงร้องตะโกนบอกว่า
  “นี่..พวกผู้ชายไม่กินข้าวก็ไม่มีใครว่า แต่อย่าให้หงเอ๋อต้องเสียเวลากินข้าวไปด้วย!”
  ชายหนุ่มทั้งสี่คนต่างก็ชะงักและหันไปมองหน้ากันหลิงหยุนจึงหันไปร้องตะโกนบอกเสี่ยวเม่ยหนิง “ขออีกห้านาที!”
  พอลกับเจสเตอร์เห็นหลิงหยุนเดินเข้ามาจึงรีบเดินออกมาจากห้องเก็บของพร้อมกับยกมือขึ้นกันแดด แม้ว่าทั้งคู่จะได้รับเลือดของหลิงหยุนเข้าไป และเกิดการเปลี่ยนแปลงในร่างกายมาก แต่ถึงอย่างไรแสงอาทิตย์ก็ยังเป็นสิ่งที่แวมไพร์ปรับตัวได้ยากอยู่ดี..
  “เจ้านายที่เคารพ!”
  “พวกเจ้าไม่ต้องออกมา..เข้าไปข้างในได้แล้ว!”
  จากนั้นจึงหันไปพูดกับฉีเสี่ยวชิง“ที่บ้านหลังนี้มีแวมไพร์เหมือนในหนังด้วยนะ เธอกลัวมั๊ย”
  แม้จะใจสั่นตามสัญชาติญาณแต่ปากก็ตอบไปว่า “พี่ๆ บอกฉันแล้ว แต่ฉันไม่กลัว!”
  หลิงหยุนหัวเราะเสียงดังอย่างถูกอกถูกใจพร้อมกับเอ่ยชม“ดูเหมือนเธอจะไม่กลัวอะไรเลยสินะ!”
  จากนั้นทุกคนก็เดินเข้าไปในห้องเก็บของพร้อมกันภายในห้องสะอาดสะอ้านอย่างมาก และที่พื้นก็มีคนนั่งบ้างนอนบ้างอยู่ถึงห้าคน สองคนคือพี่น้องตระกูลเฉิน – เฉินเจี้ยนกุ่ยกับเฉินเซิน ส่วนที่นอนอยู่อีกสามคนนั้นก็คือหวังเฟยฮู๋กับลูกน้องของมัน..
  ทั้งสามคนดูเหมือนจะบาดเจ็บสาหัสหลิงหยุนยกมือขึ้นชี้ไปทางหวังเฟยฮู๋ แล้วหันไปถามฉีเสี่ยวหง
  “คนใหนที่ทำร้ายเธอ”
  ภายในห้องเก็บของมีถังเก็บเลือดสัตวฺอยู่ที่มุมห้องฉีเสี่ยวชิงถึงกับต้องยกมือขึ้นปิดจมูกในขณะที่หันไปมองหวังเฟยฮู๋กับลูกน้องทั้งสองคน จากนั้นจึงยกมือขึ้นชี้ไปที่หวังเฟยฮู๋กับลูกน้องพร้อมกับร้องบอกหลิงหยุน “เป็นเขา!”
  หลิงหยุนถึงกับยิ้มเย็นชาในขณะที่พูด“ช่างน่าอายนัก! เป็นถึงยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน แต่กลับรังแกเด็กสาวธรรมดาๆคนหนึ่ง!”
  “หงเอ๋อ..จัดการแก้แค้นพวกมันได้เลย!”
  ฉีเสี่ยวหงไม่รอให้หลิงหยุนพูดจบด้วยซ้ำไปเธอวิ่งตรงเข้าไปหาหวังเฟยฮู๋กับลูกน้อง แล้วยกเท้าขึ้นเตะพวกมันทั้งสามคนทันที แต่ยอดฝีมือทั้งสามเพียงแค่ร้องออกมาเบาๆเท่านั้น พวกมันไม่กล้าแม้แต่จะแสดงความโมโหออกมาทางสีหน้า..
  หลังจากเห็นว่าพอสมควรแล้วหลิงหยุนจึงดึงร่างของฉีเสี่ยวหงออกมาพร้อมกับพูดยิ้มๆ “หงเอ๋อ.. กลับไปบ้านแล้วอย่าลืมบอกท่านป้ากับพี่เสี่ยวชิงล่ะ ว่าเธอได้แก้แค้นให้พวกเขาแล้ว!”
  จากนั้นหลิงหยุนก็ส่งสายตาให้ถังเมิ่งเป็นการบอกว่าต้องการให้ถังเมิ่งพาเด็กสาวออกไปจากที่นี่ก่อน..
  แต่ฉีเสี่ยวชิงกลับพูดขึ้นว่า“พี่หลิงหยุน.. ฉันไม่กลัวพวกมัน ฉันจะอยู่ที่นี่!”
  หลิงหยุนเหลือบมองฉีเสี่ยวหงและไม่ปฏิเสธที่จะให้เธออยู่ด้วย จากนั้นหลิงหยุนจึงหันไปถามหวังเฟยฮู๋กับลูกน้องทั้งสองคนด้วยน้ำเสียงเย็นชา  “ตอบข้ามา..พวกเจ้าทั้งสามคนอยากมีชีวิตอยู่ หรือว่าอยากจะตาย”
  “ถ้าพวกเจ้าอยากจะตาย..ก็ขายชีวิตของพวกเจ้าให้กับตระกูลซันต่อไป! ข้าก็จะจับพวกเจ้าโยนลงไปที่ก้นหลุมยักษ์ให้เป็นอาหารปลา!”
  “แต่หากพวกเจ้าอยากมีชีวิตอยู่ต่อก็หันหลังให้กับตระกูลซัน และมาภักดิ์ดีกับข้า! ข้าจะรักษาอาการบาดเจ็บให้กับพวกเจ้า”
  “เวลานี้..ในเมืองจิงฉูจะเกิดการต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย พวกเจ้าจะมีชีวิตรอดหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งของพวกเจ้าเอง แล้วก็โชคของพวกเจ้าด้วย!”
  หลิงหยุนมียอดฝีมือที่จะช่วยเหลืองานไม่เพียงพอจึงได้แต่ตัดสินใจว่าจะใช้ยอดฝีมือทั้งสามคนนี้ดู..
  และแน่นอนว่า..เมื่อมีชีวิตตนเองเป็นเดิมพันเช่นนี้ หวังเฟยฮู๋และลูกน้องของเขาก็สามารถตัดสินใจเลือกได้ทันที..
  หวังเฟยฮู๋คุกเข่าทำการคาราวะหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า“หวังเฟยฮู๋และลูกน้องขอตายแทนคุณชายหลิง!”
  หลิงหยุนเรียกยันต์บำบัดออกมามอบให้กับตี้เสี่ยวอู๋และให้เขาจัดการรักษาอาการบาดเจ็บให้กับยอดฝีมือทั้งสามคน จากนั้นจึงจัดการคลายจุดให้บางส่วนให้กับทุกคน
  เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว..ทั้งสามคนก็หายจากอาการบาดเจ็บสาหัส และทั้งหมดก็ได้แต่อึ้งจนพูดอะไรไม่ออก
  ฉีเสี่ยวหงเองก็ตกใจและอึ้งไปเช่นกันเธอคิดว่าในโลกนี้จะไม่มีสิ่งใดทำให้เธอตกใจและหวาดกลัวได้ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ทำให้เธอรู้ตัวว่าได้คิดผิดไปอย่างมาก!
  หลิงหยุนจึงเอื้อมมือไปลูบไหล่ของฉีเสี่ยวหงแทนการปลอบโยนจากนั้นจึงพูดกับทั้งสามคนที่อยู่ตรงหน้าว่า
  “ข้าไม่ได้กลัวว่าเจ้าจะหนีไปแต่กลัวว่าหากพวกเจ้าทั้งสามคนเป็นอิสระ จะคิดมาจัดการกับคนรอบตัวข้า ข้าจึงต้องสกัดจุดบางส่วนไว้..”
  หวังเฟยฮู๋ตอบด้วยเสียงที่ดังฟังชัด“พวกเรายินดีที่จะให้คุณชายหลิงสกัดจุดตามที่ท่านต้องการ!”