จ่านป๋ายได้ยินเช่นนั้นแล้วก็ว่าพลางหัวเราะ “อย่าว่าแต่ให้ผมใช้เครื่องเจียระไนเลย ถ้าคุณอยากจะให้ผมทุบ ผมก็ทุบออกมาให้คุณได้”
ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “พวกเราไม่สามารถทุบได้หรอก ได้ยินว่าคนที่เข้าใจในการเดิมพันบางคน ก็ทุบเหมือนทุบไข่ไก่ ทุบผิวให้แตกหลุดออกมา”
“ทุบได้จริงเหรอ?” จ่านป๋ายฟังแล้วก็สนใจอย่างมาก “หากมีเวลาพวกเราไปเรียนกันดีไหมครับ”
“ในอนาคตถ้าได้ไปพม่า พวกเราค่อยไปเรียนกันก็ได้” ซีเหมินจินเหลียนพูด
“แน่นอนว่าต้องไปพม่า!” จ่านป๋ายยิ้ม “ถ้าไม่ไปเพื่อหยก พวกเราก็ไปเพื่อตามหาซากของหินที่เทพธิดาฝึก แล้วพวกเราค่อยไปดูกันสักรอบ”
“คุณก็ยังเชื่อเรื่องนี้อยู่หรือ” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“เพียงแค่การก่อตัวของหยก แม้ว่านักธรณีวิทยาเหล่านั้นได้ให้ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์มาบ้างแล้วก็ตาม แต่ถ้าใครมีความรู้ทางธรณีวิทยาก็จะรู้ว่าทฤษฎีเหล่านั้นมันยังขัดแย้งกันอยู่ ในเมื่อเป็นแบบนี้ ผมก็เชื่อตำนานเทพไม่ดีกว่าหรือ?” จ่านป๋ายพูด “ในเมื่อเรื่องเป็นอย่างนี้ ผมก็ยิ่งอยากรู้ว่าหยกราชาเป็นอะไรกันแน่”
“ราชาหยก จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับราชางูแน่ๆ!” ซีเหมินจินเหลียนพูด “นอกจากนี้ถ้าหากฉันทายไม่ผิดล่ะก็ ตอนนั้นผู้อาวุโสหูคงไม่ได้สนใจราชาหยกมากนัก เพราะอย่างนั้นหลายปีนี้เขาเลยไม่ได้ไปหาเรื่องคุณปู่หลิน จนกระทั่งเมื่อเห็นราชางู ไม่รู้ว่าทำไมเลยคิดถึงราชาหยก เพราะอย่างนั้นจึง…”
“ผมก็คิดเหมือนกันกับคุณ จริงสิ วันนี้งานศพของหลินเสวียเหวินจะเริ่มขึ้นหลังเที่ยง คุณจะไปด้วยกันหรือเปล่าครับ” จ่านป๋ายถามขึ้น เมื่อวานหลินเสวียนหลานอุตส่าห์ตั้งใจโทรมาหา หวังว่าเขากับซีเหมินจินเหลียนจะสามารถไปร่วมงานศพของหลินเสวียเหวินได้
“แน่นอนสิ” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้า แม้ว่าหลินเจิ้งกับหวังเซียงฉินจะไม่น่าเคารพนับถือ แม้ว่าตระกูลหลินนอกจากหลินเสวียนหลานแล้วก็คงไม่มีใครต้อนรับพวกเขา แต่เธอก็ยังอยากไปร่วมงานศพของคุณปู่หลิน
เธอไม่สนว่าหลินเสวียเหวินจะเริ่มต้นตระกูลอย่างไร เขาจะขโมยหยกหรือว่ามีหนทางของเขา แต่คนคนนี้เรียกได้ว่าเป็นบุคคลที่โดดเด่น แค่เขามีลูกชายคนโตที่ดูแลภรรยาไม่ดี ไม่มีความกตัญญู มีลูกไม่รักดีอย่างหลินเจิ้งก็ช่างเป็นเรื่องที่น่าอนาถใจ
เมื่อกินข้าวเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว รอจนเวลาเก้าโมงเช้า ธนาคารก็เริ่มเปิด ซีเหมินจินเหลียนและจ่านป๋ายก็ไปที่ร้านของเถ้าแก่โจวอีกครั้ง การโอนเงินสำเร็จด้วยดี พวกเขาเรียกรถมาคันหนึ่งให้นำหยกก้อนใหญ่ทั้งสองก้อนขนส่งไปที่คฤหาสน์ย่านหลานกุ้ยของจินเหลียน
สำหรับก้อนเล็กนั้น ซีเหมินจินเหลียนก็ใส่เข้าในกระเป๋าตัวเองเลย ตอนที่อยู่ในมือเธอ เธอก็อดไม่ได้ที่จะใช้ความสามารถในการมองทะลุผ่านอีกครั้ง ลักษณะของหินหยกก้อนนี้ทำให้เธอชื่นชอบอย่างไม่รู้ตัว
เมื่อกลับไปที่คฤหาสน์ของย่านหลานกุ้ยแล้ว ทั้งคู่ที่ยุ่งมาตลอดทั้งคืน ทำให้ซีเหมินจินเหลียนเกือบทนไม่ไหว เมื่อคิดว่าตอนบ่ายยังต้องไปร่วมงานศพของหลินเสวียเหวินอีก เธอจึงรีบกำชับจ่านป๋ายให้พักผ่อนสักหน่อย แล้วตอนบ่ายค่อยไปพร้อมกัน
จ่านป๋ายไม่มีความคิดเห็นอะไรอยู่แล้ว แต่ในระหว่างที่ซีเหมินจินเหลียนกำลังจะขึ้นไปด้านบนนั้น เสียงมือถือก็ดังขึ้น ซีเหมินจินเหลียนหยิบมือถือขึ้นมาดูแล้วขมวดคิ้วอยู่พักหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าจะเป็นจ่านมู่ฮวา เขาโทรมาหาเธอทำไมกัน? เมื่อกดปุ่มตัดสายแล้วเธอก็ขว้างมือถือไปอีกทาง และนั่งเหม่อลอยอยู่บนโซฟา
เกือบไปแล้ว เธอเกือบลืมในสิ่งที่จ่านมู่ฮวาเคยพูดไว้ คืนนี้เขาจะต้องไปร่วมงานเลี้ยงและให้เธอไปเป็นคู่ควงของเขา นี่มันเรื่องล้อเล่นอะไรกัน? เธอกับเขาไม่ได้สนิทสนมกันสักหน่อย
“จินเหลียน คุณเป็นอะไรไป” จ่านป๋ายถามขึ้นอย่างแปลกใจ เธอเหนื่อยมาตลอดทั้งคืน หรือว่าจะเหนื่อยเกินหรือว่าไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า? คิดอย่างนั้นเขาก็เอื้อมมือไปแตะที่หน้าผาก เห็นว่าก็ปกติดี ไม่มีปัญหาอะไร แต่สีหน้าของซีเหมินจินเหลียนกลับดูไม่สู้ดีนัก
“พี่ชายของคุณ” ซีเหมินจินเหลียนพูดอย่างไร้อารมณ์
“จ่านมู่ฮวา?” จ่านป๋ายขมวดคิ้ว สำหรับคนนี้เขาก็หมดปัญญาจริงๆ
“อืม” ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าพูด “ฉันจำได้ว่าคุณเคยพูดว่าวันนี้เป็นวันเกิดของคุณพ่อคุณ ตอนกลางคืนบ้านของคุณจะมีงานเลี้ยง เขาเลยเชิญฉันให้เป็นคู่ควง”
“คุณจะไปสนใจเขาทำไมกันครับ” จ่านป๋ายยิ้มออกมา “ตอนกลางคืนพวกเราก็ไปเดินช้อปปิ้งกัน ดูสิว่าเขาจะทำอย่างไร”
“แต่คุณบอกว่า ประตูบ้านฉันถ้าถูกคนพังเข้ามามันจะระเบิดนี่” เพราะอย่างนั้นซีเหมินจินเหลียนจึงเป็นห่วงมาก “ถ้าหากเขามาแล้วเห็นประตูปิดอยู่ แล้วพังประตูเข้ามาจะทำอย่างไร?” ทำให้บ้านของเธอระเบิดยังเป็นเรื่องเล็ก แต่ของภายในห้องใต้ดินของเธอมีหยกตั้งมากมาย ถ้าระเบิดไปคงต้องเลวร้ายมากแน่ๆ
บางทีชีวิตนี้ เธอคงไม่สามารถรวบรวมหยกพวกนี้ได้แล้ว หยกฮกลกซิ่ว หยกสีผสม หยกสีเลือด หยกสีเหลือง หยกสีฟ้าอะไรนั่นต่างไม่สำคัญทั้งนั้น แต่หยกราชางูเป็นชีวิตจิตใจของเธอ จะไม่ยอมให้ได้รับความสูญเสียใดๆ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ซีเหมินจินเหลียนนำหยกราชางูย้ายเขามาเป็นหยกสุดที่รักของเธอแล้ว…
“ถ้าอย่างนั้นก็ให้เขาพังเข้ามา!” จ่านป๋ายยิ้ม “อย่างมากก็แค่ระเบิดหน้าของเขา ไม่ถึงขั้นทำให้เขาตายหรอกครับ”
ซีเหมินจินเหลียนได้ยินแล้วก็นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ กว่าจะได้สติกลับคืนมาได้ จู่ๆ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้เองหรือ?
“คุณหมายความว่า ถ้าประตูถูกพังเข้ามาก็จะไม่ระเบิดทั้งคฤหาสน์ แต่จะระเบิดแค่คนสะเดาะกุญแจ?”
“แน่นอนสิ ถ้าระเบิดไปทั้งบ้าน แบบนั้นจะต้องหมดเงินกับค่าซ่อมแซมไปเท่าไหร่กัน คุณคิดว่าผมทำขีปนาวุธอย่างนั้นหรือครับ?” จ่านป๋านยิ้ม “ผมติดตั้งระเบิดบนตัวล็อคประตูอย่างระมัดระวัง ถ้าหากมีคนใช้แรงในการสะเดาะกุญแจ มันก็จะระเบิดใส่ แต่ก็ไม่ได้หนักหนารุนแรงอะไร แถมเจือปนไปด้วยแก๊สน้ำตานิดหน่อย อย่างมากที่สุดก็แค่ทำให้คนหมดสติไปชั่วคราว”
ซีเหมินจินเหลียนนั่งพิงโซฟาอย่างหมดแรง เพียงไม่นานสีหน้าก็เหมือนจะร้องไห้ออกมา “ถ้ารู้ตั้งแต่แรก ฉันก็ไม่ควรให้เขาเข้ามาเลย”
“คุณคงไม่ได้คิดหรอกนะว่ามันจะระเบิดไปถึงทั่วคฤหาสน์ แบบนั้นเลยกังวลไม่หยุดแล้วเปิดประตูต้อนรับคนเลวเข้ามา?” จ่านป๋ายถาม
“คุณ…” ซีเหมินจินเหลียนมองเขาด้วยสายตาดุดัน แต่คิดไปมันก็น่าอายจริงๆ หน้าของเธอแดงก่ำ ก่อนจะหยิบกระเป๋าถือแล้วรีบเดินขึ้นไปด้านบน แต่เดินไปไม่ถึงครึ่งก็หันหลังกลับมาพูดอีกครั้ง “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป คุณก็นอนที่ห้องรับแขกด้านล่างเถอะ เหอะ! ใครใช้ให้ติดตั้งระเบิดกัน!” พูดเสร็จเธอก็เดินขึ้นไปด้านบนต่อ
จ่านป๋ายหัวเราะออกมา เธอจะน่ารักเกินไปแล้ว ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเสียงหัวเราะของจ่านป๋ายแล้ว เมื่อถึงด้านบนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
ลองคิดดูแล้วเธอเองก็เหมือนติดค้างจ่านมู่ฮวาอยู่ เพราะเขาเป็นคนปล่อยหลินเสวียน ไม่อย่างนั้นถ้าเขาลงมือขึ้นมาจริงๆ ไม่ยอมปล่อยหลินเสวียนหลาน ตอนนี้เธอจะมีรอยยิ้มได้อย่างไรกัน?
มือถือดังขึ้นอีกครั้ง มันเป็นเสียงที่สง่างามของขลุ่ย ซีเหมินจินเหลียนมองดู ที่แท้ก็เป็นจ่านมู่ฮวา ครั้งนี้เธอถึงกดปุ่มรับสาย
“จินเหลียน…” เสียงในมือถือมีความกลัดกลุ้มและเกียจคร้าน
“ฉันเอง อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนทักทายแล้วแกล้งเป็นหาว
“อืม อรุณสวัสดิ์ครับ คืนนี้คุณว่างหรือเปล่า” จ่านมู่ฮวาถามอย่างสุภาพ
ซีเหมินจินเหลียนคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงได้พูดขึ้น “กี่โมงคะ ตอนบ่ายฉันต้องไปงานศพของคุณปู่หลิน”
“ถ้าคุณว่าง ตอนหนึ่งทุ่มผมจะไปรับคุณ เป็นอย่างไรครับ” จ่านมู่ฮวาพูด “บางทีพวกเรายังสามารถเจรจาร่วมงานกันเรื่องเพชรได้นะ”
“งานเลี้ยงคืนนี้ จัดที่บ้านคุณใช่ไหม” ซีเหมินจินเหลียนถาม
“ครับ? คุณรู้ได้อย่างไร” จ่านมู่ฮวารู้สึกแปลกใจ
“อืม วันคล้ายวันเกิดครบรอบสินะ?” ซีเหมินจินเหลียนถามอีกรอบ
“ใช่แล้ว” จ่านมู่ฮวาไม่ถามอะไรเธออีก ในเมื่อเธอรู้ถึงขั้นนี้ แสดงว่าจ่านป๋ายเป็นคนบอก
“ถ้าอย่างนั้นตอนกลางคืนฉันกับจ่านป๋ายจะเข้าไปด้วยกัน คุณไม่ต้องมารับหรอกค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูดขึ้น ถึงจะไปร่วมงานเลี้ยงของตระกูลเขา แต่เธอยอมไปกับจ่านป๋ายดีกว่าการที่ไปเป็นคู่ควงกับเขา
จ่านมู่ฮวากำลังจะพูดขึ้น แต่กลับได้ยินเสียงตู๊ดๆๆ กลับมา ซีเหมินจินเหลียนตัดสายเขาไปแล้ว เขาอดไม่ได้ที่จะส่ายหัว ให้จ่านป๋ายมาด้วย? นั่นไม่ใช่เรื่องที่ดีอะไร หรือเธอจะไม่รู้ว่าจ่านป๋ายและคุณพ่อไม่ถูกกันเหมือนน้ำกับไฟ?
ซีเหมินจินเหลียนโยนมือถือไว้บนเตียงแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป ในใจคิดอย่างขันๆ ว่า ตอนบ่ายเธอต้องไปร่วมงานศพ แต่ตอนกลางคืนกลับไปร่วมงานวันเกิด นี่ก็น่าตลกไปหรือเปล่า?
เมื่อคิดไปคิดมา ไม่ว่าจะเกิดหรือตายก็เพียงเท่านี้ ชีวิตคนมีหนทางการตายที่หลากหลายรูปแบบ ไม่สนว่าจะผ่านอะไรที่ยอดเยี่ยมมีสีสันขนาดไหน แต่สุดท้ายก็ล้วนมีจุดจบเหมือนกัน
อากาศในช่วงกลางฤดูใบไม้ร่วง ตอนบ่ายอยู่ๆ ก็มีฝนเม็ดเล็กๆ โปรยปรายลงมา ซีเหมินจินเหลียนกางร่มคันเล็กลายดอกไม้ กระดูกขี้เถ้าของคุณปู่หลินถูกฝังเรียบร้อยแล้ว ญาติมิตรที่ไม่ค่อยสนิทต่างแยกย้ายกันไป เมื่อกลับมาถึงบ้านตระกูลหลิน มีเพียงแต่ญาติสนิทที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทหลินซื่อ จิวเวอรี่
ซีเหมินจินเหลียนบอกลาหลินเสวียนหลานด้วยคำพูดสุภาพ แต่หลินเสวียนหลานกลับให้เธอรอก่อน
เพียงไม่กี่วันที่ไม่ได้เจอกัน หลินเสวียนหลานที่รูปหล่อสง่างามก็ผอมลงไปเยอะมาก จนเห็นกระดูกได้ชัด ดูแล้วเหมือนจะแก่ขึ้นกว่าเก่า…
ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายหามุมนั่งที่ไม่สะดุดสายตาใคร มองไปที่ญาติมิตรตระกูลหลินที่กำลังวุ่นวายกับการเจรจาเรื่องแบ่งทรัพย์สินมรดกอย่างเงียบๆ งานศพผ่านไปแล้ว ประเด็นสนทนานี้เลยไม่ได้ปิดบังต่อไป แถมยังต้องพูดให้กระจ่างกันทั่ว
ทุกคนย่อมรู้ถึงสถานการณ์ของบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ดี ถ้าหากไม่มีใครเพิ่มทุนเข้าไป เช่นนั้นก็เหลือแค่รอถูกซื้อหุ้น ถ้าอย่างนั้นหุ้นที่ถืออยู่ในมือมีเท่าไหร่ ก็เท่ากับว่าสามารถแลกเงินได้ตามเท่านั้น แต่หุ้นของบริษัทตระกูลหลินตกลงมาตลอด ถ้าไม่ตัดสินใจกันตอนนี้ บริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ก็อาจถูกประกาศว่าล้มละลาย แล้วพวกเขาก็จะไม่เหลืออะไรเลย
“แบ่งกันเถอะ พี่ใหญ่ ตอนนี้คุณพ่อก็จากไปแล้ว พี่อายุมากที่สุด พี่ก็พูดอะไรหน่อยเถอะ!” หนึ่งในคนหนุ่มสาววัยเดียวกับหลินเจิ้งกำลังพูดคุยกับหลินเหวิน เผอิญมีบางประโยคที่ซีเหมินจินเหลียนได้ยินเข้ามาในหู
ซีเหมินจินเหลียนเงยหน้าขึ้นเพื่อมองคนๆ นั้นอย่างสงสัย เห็นได้ชัดว่าภายในครอบครัวตระกูลหลินแบ่งเป็นสองฝ่ายล้อมรอบหลินเหวินและหลินเจิ้ง
หลินเจิ้งโอบหวังเซียงฉินที่ท้องยื่นออกมา ด้วยสีหน้าเห็นได้ชัดว่ากำลังได้ใจ ไม่มีความรู้สึกโศกเศร้ากับการตายของคุณพ่อ
“ทุกท่าน กรุณาเงียบหน่อยครับ!” ภายในห้องรับแขก ไม่รู้ว่าหลินเสวียนหลานหาไมโครโฟนมาจากไหน เสียงไม่ดังนักแต่ก็ส่งไปทั่วทุกมุมของบ้าน