บทที่ 959 ศัตรูที่น่ากลัวทั้งสาม

Dragon Emperor Martial God จักรพรรดิ์เทพมังกร

“เอาล่ะ..ผมเล่าทุกอย่างไปมาก มีอะไรอยากจะถามบ้างมั๊ย แล้วก็ไม่ต้องวิตกกังวลมากไปนัก!”
  สายพิณที่ถูกขึงจนตึงเกินไปก็อาจขาดได้..หลิงหยุนจึงหยุดอยู่เพียงแค่นี้ และร้องบอกให้ทุกคนผ่อนคลาย
  ความกลัวของมนุษย์ล้วนมาจากความไม่รู้..แต่หากมนุษย์ได้เห็น ได้ยิน และได้ล่วงรู้ความจริง พวกเขาก็จะเลิกหวาดกลัว และเลิกกังวล แล้วหันหน้าเผชิญกับความยากลำบาก และค่อยๆข้ามพ้นมันไปทีละเรื่อง
  หลิงหยุนเปิดเผยทุกอย่างเช่นนี้ก็เพื่อให้ทุกคนได้เข้าใจความจริง จะได้ลดแรงกดดันที่อยู่ในใจ และปลดปล่อยมันออกมา
  แม้แต่หลิงหยุนเองก็เช่นกันในสถานการณ์ที่ตึงเครียดเช่นนี้ ศัตรูของเขาล้วนแล้วแต่แข็งแกร่งอย่างมาก หากเขาไม่สามารถขจัดความกดดันต่างๆ เหล่านี้ออกไปจากใจได้ เขาก็ยากที่จะรับมือกับความยากลำบากในวันข้างหน้าได้เช่นกัน
  “เมิ่งหาน..เหยาลู่.. คืนนี้พวกคุณสองคนนอนที่ห้องของผม สองสามวันนี้อย่าเพิ่งคิดอะไรมาก นอนหลับพักผ่อนฟื้นฟูสภาพร่างกายก่อน เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมเข้าสู่ขั้นเซียงเทียน!”
  “ส่วนคนอื่นๆก็ทำตัวตามปกติ ถึงเวลากินก็ต้องกิน ถึงเวลาฝึกก็ต้องฝึก ในบ้านหลังนี้ไม่มีอันตรายอะไร อย่าได้กังวลจนกลายเป็นความกดดัน และที่สำคัญอย่ากดดันตัวเองจนมากเกินไป..”
  หลังจากพูดจบแล้วหลิงหยุนก็โบกมือให้ทุกคนพร้อมกับถามขึ้นว่า “พวกคุณยังมีอะไรค้างคาใจอีกมั๊ย ถ้าไม่มีก็แยกย้ายกันได้ ผมมีเรื่องที่ต้องปรึกษากับน้าหญิงต่อ..”
  วันนี้หลิงหยุนเปิดโอกาสให้ทุกคนได้พูดได้ถามเต็มที่เพราะหลังจากนี้เขามีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องไปจัดการ..
  เมื่อหลิงหยุนกับฉินตงเฉี่วยมีเรื่องต้องปรึกษากันทุกคนจึงรู้ดีว่าคงไม่สามารถช่วยอะไรได้มากนัก อยู่ต่อก็คงวุ่นวายเสียเปล่าๆ จึงเลือกที่แยกย้ายกันไป
  ถังเมิ่งดูเหมือนไม่ต้องการจะแยกจากหลิงหยุนเขายกมือขึ้นเกาหัว และพูดอึกอัก “พี่หยุน.. แล้วเรื่องของฉันล่ะ!”
  หลิงหยุนตอบยิ้มๆ“นายจะร้อนใจอะไรนักหนา รอฉันปรึกษากับน้าหญิงให้เสร็จก่อน แล้วจะเอาให้นาย!”
  “โอเค!”
  ถังเมิ่งร้องตะโกนออกมาด้วยความดีใจแล้วรีบยื่นมือไปลากแขนอาปิงวิ่งขึ้นไปบนห้องทำงานของหลิงหยุน และใช้ที่นั่นเป็นสำนักงานชั่วคราว..
  หลังจากที่ทั้งสองคนออกไปแล้วตี้เสี่ยวอู๋ที่ยืนนิ่งอยู่จึงพูดขึ้นว่า “พี่หยุน.. ฉันจะไปฝึกที่สวนด้านนอก”
  หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมย้ำว่า“เสี่ยวอู๋.. ถึงแม้นายจะร้อนใจมาก แต่ก็ต้องอดทน อย่างเร่งรีบที่จะก้าวหน้ามากจนลืมรากฐานที่มั่นคงไป เพราะรากฐานที่มั่นคงจะส่งผลให้การฝึกฝนได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และได้ประโยชน์สูงสุด!”
  ในที่สุดหลิงหยุนก็มีโอกาสได้อยู่ตามลำพังกับฉินตงเฉี่วย!
  ในเมื่อเหลืออยู่กันเพียงแค่สองคนแล้วฉินตงเฉี่วยก็ไม่สามารถหลบสายตาแหลมคมของหลิงหยุนได้อีกต่อไป นางจึงแสร้งทำเป็นยิ้ม และพูดกับหลิงหยุนว่า
  “เจ้าเด็กดื้อ..จู่ๆ เจ้าก็มาบอกเรื่องน่าตกใจกับทุกคนเช่นนี้ เจ้าอาจสบายใจ แต่คนอื่นๆจะทนได้งั้นรึ”
  หลิงหยุนมองฉินตงเฉี่วยด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและตอบกลับอย่างมั่นนใจ “ข้าเชื่อว่าทุกคนจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง!”
  “น้าหญิง..พวกเราไปคุยกันที่ทะเลสาบจะดีกว่า!”
  เรื่องที่จะพูดต่อจากนี้..หลิงหยุนไม่ต้องการพูดในบ้านหลังนี้ เขาจึงชวนฉินตงเฉี่วยไปที่คุยที่ทะเลสาบจิงฉู
  ฉินตงเฉี่วยพยักหน้าเห็นด้วยแล้วทั้งคู่ก็เดินเคียงข้างกันออกจากบ้านไปทันที โดยไม่สนใจแสงแดดเจิดจ้าบนศรีษะ และทั้งสองคนก็ค่อยๆ หายออกไปจากบ้าน
  ไม่นาน..ฉินตงเฉี่วยกับหลิงหยุนก็เดินมาถึงริมฝั่งทะเลสาบจิงฉู ทั้งคู่ไปยืนอยู่ใต้ต้นไม้เพื่ออาศัยร่มเงาบดบังแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมา สายลม และไอเย็นพัดโชยมาจากทะเลสาบ น้ำสีฟ้าใสทอประกายระยิบระยับกับแสงแดด ดูช่างงดงามยิ่งนัก..
  หลังจากที่ได้ชื่นชมสายน้ำและภูเขาที่ล้อมรอบอยู่ครู่หนึ่ง อารมณ์ของฉินตงเฉี่วยก็เริ่มดีขึ้นมาบ้าง นางจึงเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นว่า
  “เจ้าเด็กดื้อ..เจ้าสังเกตเห็นหรือไม่ ในระหว่างที่เจ้าพูดเรื่องศัตรูของตนเองนั้น หลิงยู่บีบมือข้าไว้แน่น ร่างกายของนางสั่นเทาราวกับลูกนก..”
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า“ข้าย่อมต้องเห็นอยู่แล้ว.. ไม่เพียงหลิงยู่ ข้าเห็นทุกคนในห้องแม้กระทั่งผู้ชายสามคนต่างก็เป็นเช่นนั้น! แต่ความจริงก็คือความจริง.. แม้จะรู้สึกกดดัน แต่บางครั้งแรงกดดันก็กลับกลายเป็นแรงขับเคลื่อนได้เช่นกัน!”
  “หากข้าต้องเผชิญหน้ากับเหล่าชาวยุทธเช่นนี้แต่กลับไม่ยอมบอกความจริงให้ทุกคนรับรู้ นั่นไม่เพียงไม่ใช่การปกป้องทุกคน แต่กลับจะเป็นการทำร้ายทุกคนทางอ้อมแทน!”
  ฉินตงเฉี่วยได้แต่ยิ้มและตอบกลับไปว่า“วันนี้ข้าจึงไม่ห้ามเจ้ายังไงเล่า! แต่ต้องยอมรับว่าจู่ๆ ให้ทุกคนมารับรู้เรื่องนี้กะทันหัน คงส่งผลต่อจิตใจของพวกเขามากทีเดียว!”
  แต่หลิงหยุนตอบกลับไปยิ้มๆ“น้าหญิง.. คงจะไม่หนักหนาอย่างที่ท่านคิด! อย่างน้อย.. เกาเฉินเฉินก็เคยพบเห็นแวมไพร์มามากมายกว่าสองร้อยตน ตี้เสี่ยวอู๋กับถังเมิ่งก็เคยเห็นข้าสังหารศัตรูมานักต่อนัก และในวันที่ข้าสังหารยอดฝีมือตระกูลซัน ทั้งหนิงน้อยแล้วก็เสี่ยวเหมาต่างก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย..”
  “หลังจากที่ข้าพูดออกไปในวันนี้บรรยากาศภายในบ้านจะต้องเปลี่ยนไป ทุกคนจะกล้าพูดจาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในเรื่องนี้ แต่หากข้าไม่พูดเรื่องนี้ออกมา และพวกนางต่างก็ไม่กล้าเอ่ยถาม ความกดดันจะยิ่งทวีคูณมากขึ้น..”
  “ข้าเชื่อว่าหลังจากนี้สักสองวันทุกคนจะยอมรับได้มากขึ้น!”
  ฉินตงเฉี่วยพยักหน้า“ข้าก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น! แต่ความจริงแล้ว.. ในเมื่อทุกคนเลือกที่จะติดตามเจ้า ก็ควรที่จะให้พวกเขาได้รับรู้ ไม่เช่นนั้นยิ่งปิดบังความจริงไป ก็รังแต่จะสร้างปัญหาเพิ่มขึ้น!”
  จากนั้น..ฉินตงเฉี่วยก็หันหน้าไปมองใบหน้าหลิงหยุนจากด้านข้าง นางยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “เจ้าเด็กดื้อ..ธิดาพรรคมารเย่ซิงเฉินผู้นั้นยินดีที่จะเป็นพันธมิตรกับเจ้าจริงๆรึ”
  สีหน้าของหลิงหยุนเปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้น“น้าหญิง.. ท่านเองก็รู้ว่าข้ากลับเข้าตระกูลหลิงแล้ว และข้าเองก็มั่นใจว่าตนเองนั้นเป็นบุตรชายของหลิงเสี่ยวกับธิดาพรรคมารคนก่อน..”
  “แม้ว่าในคืนนั้น..ข้ากับเย่ซิงเฉินต่างก็ไม่ยอมเปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตนเอง แต่ข้าก็สังหรณ์ใจว่าเย่ซิงเฉินจะต้องเป็นศิษย์ของท่านแม่!”
  หลังจากที่ได้ฟังหลิงหยุนพูดถึงแม่ผู้ให้กำเนิดตนเองในใจของฉินตงเฉี่วยกลับรู้สึกปลาบแปลบอย่างบอกไม่ถูก แต่แล้วก็ฝืนยิ้ม และถามขึ้นว่า “เจ้าแน่ใจแล้วรึ”
  “ข้ามั่นใจ!หลังจากที่สังหารศัตรูทั้งสามคนตายแล้ว ข้ากับนางก็ได้พูดคุยกันนานกว่าสองชั่วโมง ระหว่างนั้นข้ากับนางต่างก็ลองใจซึ่งกันและกัน นางถึงกับถามข้าว่าแซ่หลิงของข้าเกี่ยวข้องกับตระกูลหลิงที่ปักกิ่งอย่างไร..”
  “แล้วเจ้าตอบนางไปเช่นไร”
  “ข้าต้องไม่ตอบนางอยู่แล้ว..เรื่องนี้แม้กระทั่งหลิงยู่ยังไม่รู้ ข้าจะให้คนนอกรู้ได้อย่างไรกัน ข้าก็เลยแกล้งโง่พูดเฉไฉไปเรื่องอื่นแทน..”
  ฉินตงเฉี่วยยิ้มพร้อมกับพูดอย่างสงสัย“แล้วเจ้าคิดที่จะปกปิดฐานะตนเองไปถึงเมื่อไหร่”
  หลิงหยุนมีท่าทีระล้าระรังแต่ก็ตอบกลับไปว่า “ปิดได้ถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นล่ะ! เพราะหากไม่กังวลเรื่องความปลอดภัยของท่านพ่อ หลังจากที่ข้ากลับเข้าตระกูลหลิง ท่านปู่คงต้องรีบประกาศเรื่องของข้าให้ชาวยุทธรู้อย่างแน่นอน!”
  “แต่ต่อให้เจ้ากลับเข้าตระกูลหลิงและพบกับพ่อแม่ที่แท้จริงแล้ว เจ้าก็ห้ามลืมพี่สาวของข้าล่ะ..”
  หลิงหยุนตอบกลับจากใจจริง“น้าหญิง.. ท่านกับท่านแม่เป็นญาติสนิทที่สุดของข้านะ!”
  ฉินตงเฉี่วยยิ้มพร้อมกับยกมือขึ้นหยิกแก้มหลิงหยุน“เจ้านี่ช่างปากหวานนัก!”
  หลิงหยุนยังคงยิ้มและย้ำหนักแน่น“น้าหญิงท่านเป็นญาติสนิทที่สุดของข้าจริงๆ! แต่ตอนนี้ท่านกำลังทำข้าเจ็บ..”
  ฉินตงเฉี่วยปล่อยมือจากแก้มของหลิงหยุนแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เอาล่ะ.. มาพูดธุระของเรากันดีกว่า! เวลานี้แม้แต่ยอดฝีมือที่แข็งแกร่งของตระกูลเฉินก็ถูกเจ้าฆ่าตาย ตระกูลซันคงไม่กล้าส่งใครมาตายอีกเป็นแน่!”
  “ก็คงเหลือแต่ตระกูลเก่าแก่กับสำนักต่างๆ อ่อ.. แล้วก็พรรคมารฝ่ายตรงข้ามเย่เซิงเฉินด้วยสินะ”
  หลิงหยุนพยักหน้า“ข้าขอบอกท่านตามตรง.. ในเวลานี้ข้ากลับไม่กังวลเรื่องยอดฝีมือจากตระกูลเก่าแก่นัก แม้ว่าพวกเขาจะเป็นถึงยอดฝีมือขั้นเซียเทียน-9 ก็ตาม..”
  และไม่รอให้ฉินตงเฉี่วยตอบโต้หลิงหยุนจึงพูดต่อทันที “สำหรับข้า.. ศัตรูที่น่ากลัวมีเพียงสามฝ่ายเท่านั้น!”
  “ฝ่ายแรกคือฝ่ายของโอรสพรรคมารซือกงวู่จี๋คนผู้นี้อยู่ในที่มืด อีกทั้งยังแข็งแกร่งมากยิ่งนัก ข้าเองไม่อาจประมาทได้!”
  “ฝ่ายที่สองก็คือดยุคแดร๊กคิวล่าซึ่งเวลานี้พักพิงอยู่ที่คฤหาสน์ตระกูลเฉิน!”
  “ส่วนนินจาญี่ปุ่นนั้น..เนื่องจากข้าได้สังหารโทคุงาวะ มุโตะไปแล้ว คาดว่าในระยะเวลาสั้นๆนี้ พวกมันคงไม่น่าจะมาก่อกวนข้าได้!”
  ฉินตงเฉี่วยเม้มริมฝีปากเล็กน้อยแล้วจึงพูดขึ้นว่า “เจ้าพูดเรื่องนี้ให้ข้าฟังตอนนี้ ไม่กลัวว่าข้าจะเป็นห่วงเจ้าบ้างหรือยังไง เมื่อเช้าข้าเองก็ได้ยินเจสเตอร์เล่าว่าแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสสามารถใช้เวทย์มนต์ด้วย..”
  หลิงหยุนตอบกลับไปทันที“นี่เป็นอีกเรื่องที่ข้าต้องการจะมาเตือนน้าหญิง! แวมไพร์ขั้นมาร์ควิสขึ้นไปทำอะไรได้มากมายกว่าที่เราอ่านเจอในอินเทอร์เน็ต พวกมันมีเวทย์มนต์มากมาย และสามารถใช้เลือดของตัวเองเสกเป็นธนูโลหิต เป็นกำแพงโลหิต และอีกมากมาย ยากที่จะคาดเดาได้เลยทีเดียว..”.novel-lucky
  “หากท่านเผชิญหน้ากับศัตรูที่เป็นแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสขึ้นไปท่านต้องระมัดระวังตัวให้มาก!”
  “ส่วนข้านั้น..ท่านไม่ต้องเป็นห่วงและกังวลใจไป ข้ามีวิธีที่จะจัดการกับแวมไพร์มากมาย และต่อให้เป็นดยุคแดร๊กคิวล่ามาด้วยตัวเอง แม้ข้าจะไม่สามารถเอาชนะมันได้ แต่อย่างน้อยก็สามารถหนีรอดได้อย่างไม่มีปัญหา”
  ฉินตงเฉี่วยได้ฟังเช่นนี้จึงค่อยรู้สึกโล่งใจและได้แต่ย้ำว่า “ช่วงนี้เจ้าเองก็ต้องระมัดระวังตัวให้มากเช่นกัน!”
  หลิงหยุนหันไปจ้องหน้าฉินตงเฉี่วยพร้อมกับถามขึ้นว่า..
  “น้าหญิง..เมื่อเช้าถังเมิ่งเล่าให้ข้าฟังว่าสำนักดาบสวรรค์ส่งสาส์นมาให้ท่าน เกิดอะไรขึ้นงั้นรึ”