เธอหยุดร้องไห้ไม่ได้
เปปเปอร์ยิ้มอย่างแผ่วเบา รวมกับใบหน้าที่ซีดขาวและตัวที่เปียกชื้นของเขา ไม่เพียงแต่ไม่มีความน่าอนาถ แต่กลับมีความหล่อเหล่าของผู้ชายที่ดูจิตวิปริตและยุ่งเหยิง
เขายกมือขวาขึ้น ใช้นิ้วชี้เช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเธอเบาๆแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง “อย่าร้องไห้ เดี๋ยวจะไม่สวย”
มายมิ้นท์ได้ยินเขาพูดแบบนี้ เธอก็มองบนใส่เขาด้วยความโมโห “เราพึ่งจะรอดตาย ยังจะสนใจว่าสวยหรือไม่สวย?”
เปปเปอร์วางมือลง “คุณพูดถูก”
“เอ่อใช่” มายมิ้นท์ยืดตัวตรง “ทำไมเมื่อกี้คุณถึงจมลงไปก้นทะเลสาบ?”
เปปเปอร์หลับตาลงเบาๆ “ตอนที่ตกลงไป ผมอยู่ใต้คุณ แล้วยังตกลงมาจากที่สูง แรงกดของผิวน้ำรุนแรงมาก มันเลยแข็งขึ้น ตอนที่ตกลงไปในน้ำ หัวและหลังของผมเหมือนจะกระแทกโดนหินก้อนใหญ่ ผมเลยหมดสติไป”
ที่แท้ก็เป็นแบบนี้
“แล้วหัวและหลังของคุณเป็นอะไรรึเปล่า? ”มายมิ้นท์รีบมองไปที่ท้ายทอยของเขา
เปปเปอร์ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่เป็นอะไร แค่รู้สึกเวียนหัว อยากจะอ้วกนิดหน่อย”
นอกจากนี้แล้ว หลังของเขาก็ยังรู้สึกปวดแสบปวดร้อน
รอยแผลแส้บนหลังของเขายังไม่หายดี เพราะมีสะเก็ดแผลที่ยังไม่หลุดไม่หมด ตอนนี้คาดว่า ตรงที่สะเก็ดยังหลุดไม่หมด รอยแผลคงจะแตกอีกครั้ง
แต่ว่า มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ปัญหาที่รุนแรงก็คือแขนซ้ายของเขา
ดูเหมือนแขนซ้ายของเขาจะไม่รู้สึกอะไรเลย…
แน่นอนว่า เรื่องนี้เปปเปอร์ไม่มีทางบอกมายมิ้นท์แน่นอน
“เวียนหัว อยากจะอ้วก?” ได้ยินอาการตอนนี้ของเปปเปอร์ มายมิ้นท์ก็ตกใจ
ปกติอาการเวียนหัวและอยากอ้วนมักเกิดขึ้นที่ศีรษะ และมักจะเกิดขึ้นเมื่อศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง
เหมือนกับครั้งก่อน เธอถูกเจินเจินให้ไม้ทุบหัว ทำให้สมองถูกกระทบกระเทือน หลังจากนั้น เธอก็เวียนหัวและอยากอ้วกอยู่ตลอด
ดังนั้นตอนนี้ เธอมั่นใจมากว่าสมองของเขาถูกกระทบกระเทือน
และสมองถูกกระทบกระเทือนต้องไปหาหมอทันที ไม่อย่างนั้น ต่อไปมันอาจจะมีอาการปวดหัวที่รักษาไม่หาย
คิดแบบนี้ มายมิ้นท์บอกให้เปปเปอร์นั่งลง ตัวเองยืนขึ้นมา “ไม่ได้ เราจะรอให้ใครมาหาเราอยู่ที่นี่ไม่ได้ คุณต้องไปหาหมอเดี๋ยวนี้ตอนนี้ แล้วเสื้อผ้าของเราก็เปียก ตอนนี้หนาวขนาดนี้ รอให้มันแห้ง ก็คงจะหนาวจนเป็นไข้พอดี เราทิ้งสัญลักษณ์เอาไว้แล้วออกไปจากที่นี่ก่อน ไปดูว่าข้างนอกป่านี้มีคนอาศัยอยู่รึเปล่า ถ้ามี เราก็รอดแล้ว”
พูดจบ เธอก็ก้มตัวลงไปประคองแขนเปปเปอร์
และตอนที่เธอจับแขนซ้ายของเขา เธอก็รู้สึกว่าบางอย่างผิดปกติ
แขนซ้ายของเขาอ่อนโปกเปียก จุดที่ไหล่เชื่อมต่อกับแขนซ้ายก็ไม่ตรง เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่แขนของคนปกติ
คิดแบบนี้ รูม่านตาของเปปเปอร์ก็หดตัวลง สีหน้าของเธอเปลี่ยนไป เธอมองไปที่เปปเปอร์ด้วยสายตาที่ตกใจ อ้าปากค้างอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “คุณ… แขนของคุณ … “
“ดูเหมือนจะหักแล้ว” เปปเปอร์ยิ้มอย่างแผ่วเบา เขาตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้านว่า ดูเหมือนจะหักแล้ว ราวกับว่ามันไม่ใช่แขนของเขา
มายมิ้นท์ตกใจ เธอถึงกับสะดุด จากนั้นก็ยืนนิ่งแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา “หักแล้ว? หักตอนอยู่บนหน้าผาเหรอ?”
เธอจำได้ว่า ตอนที่เขาอยู่บนหน้าผา ตอนที่ต้นไม้แห้งหัก ท่าทีของเขาผิดปกติ แล้วตอนนั้นเขาก็เหงื่อออกเยอะมาก ตอนนั้นเธอคิดว่า ที่เขาเป็นแบบนั้นก็เพราะว่าเขารับน้ำหนักของคนสองคนไม่ไหว
แต่คิดดูตอนนี้ ไม่ใช่เพราะว่าเขารับน้ำหนักไม่ไหว แต่เพราะว่าแขนของเขาผิดปกติ
เปปเปอร์ได้ยินมายมิ้นท์ถามแบบนี้ ขนตาของเขาสั่น ดวงตาเป็นประกาย แต่กลับไม่พูดอะไร
มายมิ้นท์เห็นเขาเป็นแบบนี้ จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าตัวเองพูดถูกแล้ว เธอกัดริมฝีปากและกำมือแน่น “ทำไม? เปปเปอร์ ทำไมคุณถึงไม่บอกฉัน?”
เปปเปอร์เห็นเธออารมณ์ร้อนแบบนี้ เขารู้ว่าจะเงียบต่อไปไม่ได้แล้ว เขาจึงพูดว่า “ไม่ใช่ไม่อยากบอกคุณ แต่ว่าตอนนั้นเราตกลงไปแล้ว ผมคิดว่าเราจะตาย เรื่องแบบนี้ แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องบอกคุณ”
“ถึงจะพูดแบบนี้ แล้วตอนนี้ล่ะ? เรารอดแล้ว เมื่อกี้ฉันถามคุณ คุณบอกแค่ว่าเวียนหัว แต่ไม่ได้บอกว่าแขนของคุณหัก ถ้าฉันไม่เห็นเอง คุณก็จะไม่ยอมบอกใช่ไหม? “ มายมิ้นท์มองเขาด้วยดวงตาที่แดงก่ำและท่าทางโมโห
เปปเปอร์หลบตาด้วยความรู้สึกผิด
มายมิ้นท์เห็นแบบนี้ เธอก็โมโห “ได้ คุณคิดแบบนั้นจริงๆ เปปเปอร์คุณ…คุณมันน่าโมโหที่สุด”
เธออดไม่ได้ที่จะกระทืบเท้า
แต่หลังจากนั้นก็นึกขึ้นมาได้ว่า เขาได้รับบาดเจ็บ ก็เพราะว่าช่วยเธอ เธอสูดหายใจเข้าลึกๆ ระงับความโมโหในใจแล้วถามด้วยความอดทน “เปปเปอร์ คุณบอกฉันมาตามตรง มีแผลที่อื่นอีกรึเปล่า? ข้างหลัง? ฉันจำได้ว่าคุณพูดเมื่อกี้ ว่าหัวกับหลังกระแทกลงไปในน้ำ หัวของคุณยังมีแผล งั้นหลังก็ต้องมีแผลใช่ไหม?”
เปปเปอร์มองดูมายมิ้นท์ที่กำลังพยายามระงับความโมโห เขารู้ว่าตัวเองจะปิดบังอะไรไม่ได้อีกแล้ว ไม่เช่นนั้นถ้าเธอรู้ทีหลัง มันจะทำให้เธอโมโหกว่าเดิม เขาจึงเม้มริมฝีปากอันบอบบางแล้วพยักหน้าเบาๆ “อืม”
“จริงๆด้วย” หน้าอกของเปปเปอร์สั่นอย่างแรง “มีที่ไหนอีก?”
เปปเปอร์ส่ายหน้า “ไม่มีแล้ว”
“ไม่มีจริงๆเหรอ?” มายมิ้นท์มองไปที่เขาด้วยความไม่เชื่อ
ไม่ใช่ว่าเธอไม่เชื่อเขา แต่คนอย่างเขา มีเรื่องอะไรก็ชอบเก็บไว้ในใจ ไม่ยอมพูดออกมา
ดังนั้นเธอจึงไม่เชื่อ
เปปเปอร์พยักหน้า “ไม่มีแล้วจริงๆ”
“โอเค หวังว่าที่คุณพูดจะเป็นความจริง ถ้าฉันรู้ทีหลังว่าคุณยังมีแผลที่อื่นอีก เปปเปอร์ คุณอย่าโทษว่าฉันไม่ไว้หน้าคุณ”
พูดจบ เธอก็ปล่อยแขนซ้ายของเขา เปลี่ยนไปประคองแขนขวาแล้วดึงเขาขึ้นมา
“ยืนได้ไหม?” มายมิ้นท์ถามอีกครั้ง
เปปเปอร์พยักหน้าเบาๆ “ได้”
ถึงแม้ว่าจะเวียนหัว แต่ก็ยังยืนได้
“งั้นก็ดี รอแป๊บหนึ่ง” มายมิ้นท์ปล่อยแขนเขา จากนั้นก็ถอดเสื้อคลุมออก
ถึงแม้ว่าเปปเปอร์ไม่รู้ว่าเธอจะทำอะไร แต่เขาก็ไม่ได้ห้ามเธอ
เพราะว่าเสื้อเปียก จะถอดหรือไม่ถอดมันก็หนาว
ท่ามกลางสายตาที่สงสัยของเปปเปอร์ มายมิ้นท์หยิบเสื้อคลุมเดินไปข้างหน้าสองก้าว จากนั้นก็เก็บก้อนหินที่มีปลอายแหลมขึ้นมา ใช้ปลายแหลมของก้อนหินฉีกเสื้อคลุม
เห็นแบบนี้ เปปเปอร์ก็รู้แล้วว่าเธอจะทำอะไร เขายิ้มอย่างดีใจ
ทันใดนั้น มายมิ้นท์ก็กลับมาพร้อมผ้าและท่อนไม้เล็กๆ สองสามท่อนที่เก็บขึ้นมาจากพื้น “อุปกรณ์มีจำกัด ฉันต้องพันแขนของคุณไว้ก่อนชั่วคราว เดี๋ยวออกไปแล้ว ค่อยให้คุณหมอต่อแขนของคุณกลับไป”
“อืม” เปปเปอร์ยิ้มแล้วพยักหน้า
มายมิ้นท์นำผ้าที่เหลือวางไว้บนพื้น ถือไว้เฉพาะที่ต้องใช้ จากนั้นก็เริ่มพันแขนของเปปเปอร์
และเปปเปอร์ก็ก้มหน้ามองเธอด้วยสายตาที่อ่อนโยนอยู่ตลอด
มายมิ้นท์รู้สึกถึงสายตาที่มองลงมา แต่เธอไม่สนใจ เธอกำลังใจจดใจจ่ออยู่กับการพันแขนให้เขา
ไม่กี่นาทีต่อมา เธอก็ผูกปมตายที่แขนของเขา พันแขนเสร็จเรียบร้อย
“รู้สึกยังไงบ้าง? แน่นเกินไปรึเปล่า?” มายมิ้นท์ถอยหลังออกมาแล้วเงยหน้าถามเขา
เปปเปอร์มองดูแขนที่ห้อยอยู่ตรงหน้าอกของตัวเอง เขายิ้มแล้วส่ายหน้า “ไม่ แน่นหน่อยก็ดี กระดูกจะไม่เคลื่อนอีก”
“ฉันก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน ก็เลยมัดแน่นหน่อย” มายมิ้นท์ยิ้ม
หลังจากนั้น เธอก็เก็บเศษผ้าบนพื้นขึ้นมา กำลังจะพูดอะไร จู่ๆก็เห็นร่างสูงใหญ่ของเปปเปอร์โน้มตัวลงมาที่เธอ